เซียงวั่งซูพาน้องชายออกเดินเตร็ดเตร่ในเมืองหลวงจินตั้งแต่ยามเหม่า มิหวั่นตนเองจะต้องเผชิญอากาศหนาวเย็น ความอยากรู้อยากเห็นของเขามีอยู่ในตัวมากกว่าผู้ใด เครื่องแต่งกายที่ออกไปซื้อหามาเพิ่มเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายขึ้นอุ่น
ผู้คนที่นี่ล้วนเรือนร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำ สุดปลายถนนกลางเมืองจะมีย่านของกลุ่มคนผิวขาว รูปร่างสันทัด คนพื้นเมืองทั้งสองเผ่านี้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ สองพี่น้องทำทีไปดื่มน้ำชา และหาอาหารเช้ากินที่ร้านมวลมิตร
“เจ้าคงไม่ค่อยได้มาร้านแบบนี้ล่ะสินะ”
“ใครจะมีโอกาสเหมือนท่านเล่า? อยู่เมืองหมิงก็ต้องระวังคนรู้จัก ข้าจะปลอมตัวไปก็ไม่ใคร่สะดวก แต่อยู่ที่นี่คงจะมาได้บ่อยๆ”
“เจ้าดูผู้คนสิ ล้วนแต่รูปร่างสูงใหญ่กันทั้งนั้น”
เซียงเฉินกงนึกถึงหญิงสาวที่ฆ่าเสือ ผิวของนางคล้ำจัดยิ่งกว่าคนพื้นเมืองที่นี่ แต่ดวงตาของนางเป็นสีฟ้า มันคล้ายกับดวงตาของเหยี่ยวที่เขาเลี้ยงไว้
“ดวงตาของนางเหมือนตาของหลันเซ่อ”
เซียงวั่งซูตบพับในมือดังป้าบ! “ใช่! หญิงที่ฆ่าเสือมีตาสีฟ้าเหมือนหลันเซ่อของเจ้า”
“พี่วั่งซูท่านคิดเหมือนข้าหรือไม่?”
จอมยุแยงนึกถึงชื่อที่คนผู้ยืนอย่างองอาจบนภูผานั้นเรียกนาง “เฟิ่งเอ๋อร์” ลักษณะของนางช่างเหมือนกับข่าวที่พวกเขาได้มา องค์หญิงจินเฟิ่ง โหดเหี้ยม ดุดัน ป่าเถื่อน นางเคยฆ่าหมีป่า และเสือ ผิวคล้ำ รูปร่างบึกบึน
“นางอาจจะเป็นองค์หญิงจินเฟิ่งของเจ้า”
“ของข้าที่ใดกันเล่า? ท่านอย่าพูดจาส่งเดช” เมื่อนึกถึงตอนที่นางขี่อยู่บนหลังเสือโคร่งตัวใหญ่ที่หมอบอยู่แทบเท้าเขา ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมีรังสีสังหารรุนแรงนัก
“นางองอาจสามารถสมดังคำร่ำลือปานนั้น หากฮ่องเต้หวังจะให้เจ้าอภิเษกสมรสแล้วมาหาหนทางฮุบเหมืองทองคำของแคว้นจิน คงจะยากยิ่งนัก”
“อาจจะโดนนางแทงคอตายเหมือนเสือตัวนั้นก็ได้” แค่คิด บัณฑิตและนักประดิษฐ์อย่างจวิ้นอ๋องก็ขนอ่อนลุกเกรียว ดูก็รู้ว่า วิทยายุทธของนางล้ำเลิศปานใด นางกระโดดมาจากหน้าผาสูงราวสิบจิ้งได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังรวดเร็วจนทันเสียบดาบสั้นปักลงที่คอเสืออย่างพอดิบพอดี
“คนอย่างเจ้า แม้จะชอบอาวุธลับ และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เหมือนข้า แต่หากเจอกับภรรยาที่โหดเหี้ยมอย่างนาง เห็นทีจะต้องเสียชีวิตก่อนมีบุตรเป็นแน่”
หลังจากนั่งแช่อยู่ร้านมวลมิตรเพื่อแอบฟังโต๊ะข้างๆ คุยกันอยู่สักครึ่งชั่วยาม เซียงเฉินกงก็ชวนพี่ชายกลับร้านขายข้าวสารของตน
จินฉิงอีและคนทั้งสามที่เดินทางตามหลังขบวนคาราวานใกล้จะมาถึงเมืองหลวงแคว้นจิน เย็นนั้นแม้แดดจะร้อนเปรี้ยง แต่จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พวกเขาจึงเข้าไปหลบฝนในศาลเจ้าร้าง ฉีเจียตงซึ่งอยู่บนภูเขาตั้งแต่เล็ก หูตาว่องไว เขาได้ยินเสียงอู้อี้
“ไม่เห็นจะมีสักหน่อย เจ้าหูแว่วหรือไร?” ซ่งฮุ่ยจูหันมาดุ
ฉีเจียตงไม่เชื่อจึงเดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูป “ซ่งเหวินฉีเจ้ามาดูนี่!”
“คุณหนู มีคนโดนจับตัว” ซ่งเหวินฉีรีบนั่งลงใช้ดาบตัดเชือกที่มัดมือมัดเท้านางออก หญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูพอมีราคา ร่ำไห้ออกมา
“เจ้าใจเย็นๆ พวกเราจะช่วยเจ้าเอง”
“พวกเจ้ารีบหนีกันไปเร็ว พวกมันย้อนกลับไปขนเอาสมบัติที่ปล้นมา อีกไม่นานอาจจะกลับมาที่นี่”
จินฉิงอีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางสั่นระริก “พวกมันมีกี่คน”
“สี่คน มันดักปล้นรถม้าของข้าที่ตำบลใกล้ๆ แต่เพราะมีคนไปแจ้งทางการจึงเอาข้ามาทิ้งไว้ที่นี่ แล้วพากันย้อนกลับไปเอารถม้าและขนของที่ซ่อนไว้ทีหลัง”
จินฉินอีรีบบอกให้ซ่งเหวินฉีไปซ่อนรถม้าไว้ข้างหลัง แล้วทั้งสี่คนก็ซ่อนตัวรอโจรเหล่านั้นกลับมา ถึงอย่างไรโจรถ่อยพวกนี้ย่อมนึกเสียดายหญิงงาม
โจรทั้งสี่เมื่อได้รถม้าพร้อมหีบสมบัติมาแล้ว คราแรกก็คิดจะทิ้งหญิงสาวไว้เพราะกลัวเหล่ามือปราบจะตามมาทัน แต่เพราะเจ้าหัวหน้าใคร่อยากจะเชยชมนางนัก หากเบื่อหน่ายค่อยเอาไปขายยังหอคณิกาต่างเมือง จึงย้อนกลับมาที่ศาลเจ้าร้าง
เมื่อฉีเจียตงนับจำนวนโจรครบถ้วน และเห็นว่า ไม่มีผู้ตามมาอีกจึงส่งสัญญาณให้ซ่งเหวินฉีรู้ ฝนฟ้ายังเทกระหน่ำ แต่ท้องฟ้าไม่ถึงกับมืดมิด ในศาลเจ้าร้างพอมีแสงมองเห็นได้
“เจ้าเป็นโจรถ่อย สวรรค์จะลงโทษเจ้า” เสียงของจินฉิงอีก้องทั่วศาลเจ้า
หัวหน้าโจรไม่เกรงสวรรค์กลัวนรก ร้องท้าทาย “แน่จริง เจ้าก็ออกมาสิ”
“ย่อมได้” จินฉิงอีปรากฏตัวพร้อมกับซ่งฮุ่ยจู ทั้งสองกระโจนลอยตัวเหนือกลุ่มโจร ขว้างถุงควันพิษใส่ พลันที่ควันกระจายเหล่าโจรก็หมดสติ
ซ่งเหวินฉีที่รอแสดงฝีมือถึงกับเก็บดาบด้วยความเซ็ง ที่เห็นหญิงสาวทั้งสองแสดงฝีมือกำจัดโจรก่อนตน
“ได้ผล สมกับที่ข้าขโมยมาจริงๆ” จินฉิงอียืนปรบมือชื่นชมตัวเอง หญิงสาวที่ตัวสั่นเทาอยู่หลังพระพุทธรูปค่อยก้าวเดินออกมาอย่างหวาดๆ
“พวกเจ้าเก่งจริงๆ แล้วพวกมันจะฟื้นยามใดเล่า?”
“คงอีกหลายชั่วยาม เรารีบจับมันไปส่งมือปราบกันเถอะ”
ซ่งเหวินฉีกับฉีเจียตงรีบเอาเชือกมามัดโจรทั้งสี่อย่างแน่นหนาแล้วจับขึ้นรถม้าของแม่นางเถา ครั้นเอาโจรไปส่งยังสำนักว่าการของอำเภอใกล้ๆ แล้ว ก็ออกตามหาบ่าวและสาวใช้ของเถาหนิงลี่ที่หนีกระจัดกระจายกันในช่วงที่โดนปล้น พบบ่าวสามคนได้รับบาดเจ็บ ส่วนสาวใช้หนึ่งคนฟกช้ำเล็กน้อย หนีไปหลบซ่อนตัวในบ้านแม่เฒ่าผู้หนึ่ง
“ในเมื่อพวกท่านยังไม่มีที่พัก เช่นนั้นก็ไปพักที่บ้านข้าก็แล้วกัน” เถาหนิงลี่เอ่ยด้วยไมตรี นางรู้สึกถูกชะตากับจินฉิงอี
“ดีเหมือนกัน ข้าต้องตามหาพี่ชาย ไม่รู้ว่านานแค่ไหน หากได้พักบ้านเจ้าก็จะสะดวกสบายก็พักโรงเตี๊ยม” จอมเจ้าเล่ห์ดีใจที่ได้ประหยัดเงิน
ในคราวแรกจินฉิงอีคิดว่า เถาหนิงลี่น่าจะเป็นลูกพ่อค้าธรรมดา เพราะนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่แพงนัก แต่เมื่อไปถึงกำแพงยาวเหยียดกลับพบว่า นางอยู่ในคฤหาสน์ขนาดใหญ่ชานเมือง บิดาของนางเป็นเจ้ากรมพิธีการ ส่วนมารดาเป็นพระญาติของเจ้าแคว้นจิน
“เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่”
เถาหนิงลี่คิดจะแอบไปบ้านท่านย่าโดยลำพัง คิดเพียงว่า เอาบ่าวกับสาวใช้ไปมากหน่อยก็น่าจะเพียงพอ นางจึงแต่งกายด้วยชุดที่ยืมสาวใช้ประจำตัวมาใส่ นางไม่คาดคิดว่าหนีไปไม่ถึงวันก็เกิดเหตุร้ายเจอโจรปล้น เมื่อนางเห็นหน้าท่านแม่จึงร่ำไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานกว่าจะได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
จินฉิงอีเหนื่อยหน่ายกับเถาหนิงลี่ แต่เป็นเพราะเห็นคฤหาสน์ตระกูลเถาใหญ่โตจึงฝืนใจนั่งดูนางร้องไห้จนพอใจ จากนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ของเถาหนิงลี่จึงขอบคุณทั้งสี่คนที่ช่วยชีวิตลูกสาวตน
“พวกเจ้าพักอยู่ที่เรือนรับรองด้านหลังได้ตามสบาย คฤหาสน์สกุลเถายินดีต้อนรับ ผู้มีพระคุณอย่างเต็มที่”
จินฉิงอีได้ยินเช่นนั้นจึงตั้งใจจะเป็นจอมยุทธ์หญิงคอยผดุงคุณธรรมในยุทธภพ ซ่งเหวินฉีเห็นคุณหนูของตนลำพองใจเช่นนั้นก็นึกหวาดหวั่น ใช่ว่านางจะเคราะห์ดีเช่นสองครั้งที่ผ่านมาเสมอไป
‘ทั้งโจรภูเขาที่ดูเซ่อซ่า แล้วยังโจรที่ไร้วิชาพวกนั้น คงทำให้คุณหนูเข้าใจผิดไปอีกนาน เฮ้อ!’
***********************
ไรท์แนะนำ...เรื่องนี้เป็นตอนต่อจากเรื่อง "ท่านอ๋องอย่าคิดหนี"