บทที่ 5 หญิงโหดผู้ฆ่าเสือ

1274 คำ
                เหล่าชายฉกรรจ์หันไปดูเสือตัวใหม่พร้อมกัน ตัวเก่าก็ยังร้องโฮก คำรามดิ้นรนจะออกจากตาข่าย ในขณะที่ตัวใหม่มีท่าทางดุร้ายกว่าตัวแรกยืนจังก้าอยู่บนชะง่อนหิน ดวงตาที่เหลืองทองทอประกายวาบวาว จ้องเขม็งมายังเพื่อนที่นอนอยู่ในตาข่าย                 “รับตาข่ายเร็ว” ชายมีปานตะโกนลั่น พร้อมขว้างตาข่ายอันใหม่ออกไป                 “ทางนี้” เซียงวั่งซูดีดตัวขึ้นรับทันที อีกสามคนก็มีปฏิกิริยาว่องไวเช่นกัน                 เสือตัวใหม่กระโดดเอาอุ้งเท้าหน้าปัดตาข่ายออก                 พลั่ก! ร่างลายเหลืองสลับริ้วดำ ยืนอย่างสง่างามบนกระสอบข้าวที่กองพะเนินสูง โฮก! โฮก! เสียงคำรามที่ดังกว่าเดิม ก้องไปทั่วภูผาหิน กลุ่มคนที่อยู่บนผาหินอีกฝั่งถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดหู                 “มันคลั่งแล้ว” แม่ทัพจินประสาทตึงเครียด                  “ท่านน้า ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเขาอาจจะคุมไม่ได้” องค์หญิงจับจ้องเสือตัวใหม่ตาไม่กระพริบ เธอเคยฆ่าเสือและหมีป่ามาแล้ว การได้เห็นเสือคลั่งกระตุ้นสัญชาตญาณนักสู้ให้คุโชน                 คนในช่องเขาต่างผลัดกันเข้ารุกเสือตัวใหม่ การนำตาข่ายขึ้นอีกครั้งยังไม่สามารถหลอกล่อมันให้หลงทิศได้ ซ้ำร้ายเจ้าเสือตัวนั้นยังกระโดดลงไปหาเพื่อนของมัน ใช้จังหวะกลับตัวใช้ปากคาบตาข่ายด้านหนึ่งขึ้น                 เมื่อเสือสองตัวหลุดออกมายืนหันหน้าสู้กับคนทั้งหมด พวกเขากระจายกำลังล้อมเสือทั้งสองเอาไว้ คนงานส่วนใหญ่หวาดกลัวจนต้องหลบไปอยู่อีกฟากหนึ่ง ระหว่างที่ทุกคนยังจดจ้องไม่รู้ว่า เสือพวกนี้มันคิดจะทำอย่างไร ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! เสียงลูกธนูขนาดเล็กแหวกอากาศมาจากบนยอดผา ปักตรงต้นคอของเสือตัวใหญ่อย่างแม่นยำทั้งสามลูก เสือตัวใหญ่ร้องคำรามลั่น ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้น กว่าเดิม เสือตัวที่สองกระโจนเข้าใส่คนกลุ่มคนที่รายล้อมมัน ชายหนุ่มทั้งห้าที่ดูมีฝีมือถือดาบกวัดแกว่งเข้าสู้กับเสือ ตัวที่บาดเจ็บซวนซบอยู่ใกล้ขอบแอ่ง เลือดไหลออกมาจากรูธนูสั้นทั้งสามอัน เมื่อชายหนุ่มทั้งหมดรุมแทงอีกเสือด้วยหอกและดาบจนมันบาดเจ็บหนักแล้ว เสือตัวใหญ่ลุกผงาดอีกครั้ง อาศัยจังหวะชุลมุนหมายต้นคอของชายหนุ่มที่มีปานประปรายเต็มใบหน้า “ระวัง!” เสียงตะโกนลั่นลงมาจากยอดผา เซียงเฉินกงหันกลับไป เห็นร่างใหญ่สีเหลืองลายดำลอยอยู่เหนือศีรษะ สวบ! ดาบสั้นเสียบตรงคอพอดิบพอดี  ร่างเสือตัวใหญ่ทรุดลงก่อนถึงตัวชายหนุ่มไม่ถึงห้าชุ่น ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวน ร่างในชุดสีน้ำตาลเข้มทะมัดทะแมง ผมเปียเดี่ยวถักมิดชิด บนหัวมีผ้าคาดสีเดียวกับชุด ผิวหน้าและผิวกายคล้ำเข้มมีรอยขีดสีดำที่แก้มเป็นทางยาวด้านละสามรอย นางขี่อยู่บนหลังเสือ ดาบขนาดท่อนแขนยังปักอยู่ที่คอ “ตัวนี้ ข้าเป็นคนฆ่ามันเอง เช่นนั้นย่อมเป็นของข้า ส่วนตัวนั้น พวกเขาก็เอาไปก็แล้วกัน” ท่ามกลางการตกตะลึงของทุกคน ชายฉกรรจ์ในชุดสีเดียวกันกับนางล้วนรูปร่างหนาสูงใหญ่จำนวนหกคนกรูกันออกมาจากช่องเขาอีกทาง มัดมือเท้าเสือตัวที่ตายแล้วหามออกไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยว แม่นาง ท่านจะไม่บอกชื่อแซ่ให้พวกเราทราบหน่อยหรือ?” เซียงเฉินกงรีบร้องทัก ใบหน้าคล้ำที่มีรอยขีดบนแก้มนั้นปรายตามาแวบเดียวแล้วหันกลับ “เฟิ่งเอ๋อร์ เร็วเข้า! เราไม่มีเวลาแล้ว” เสียงตะโกนของชายร่างใหญ่ที่ยืนจังก้าอยู่บนผาหิน “นั่นคือ ชื่อข้า” นางพูดแค่นั้น แล้วสะบัดเปียที่ยาวถึงเอวจากไป เซียงเฉินกงสะดุดใจ เฟิ่งเอ๋อร์ ชื่อนางช่างคล้าย..... “เฉินกง เจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบมาจัดการกับซากเสือตัวนี้เร็ว” ในขบวนมีคนงานที่เชี่ยวชาญการชำแหละหมู จึงได้ใช้พวกเขาจัดการกับเสือ จากนั้นขบวนคาราวานก็เดินทางออกจากช่องเขามรกตไป รอนแรมอีกสิบวันก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นจิน ดินแดนที่เคยเป็นที่ตั้งชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าทึบ ติดภูเขาที่ทอดยาวไปจนถึงทิศเหนือของแคว้นเว่ย ช่วงบนของเทือกเขานี้มีหิมะตกตลอดปี เพราะมีต้นสนอยู่จำนวนมากจึงมีชื่อเรียกกันว่า “ซงซาน” ภายหลังพวกเขาตั้งแคว้นขึ้น จึงเคลื่อนย้ายผู้คนลงมาอยู่ที่ราบริมทะเลสาบมู่กง ซึ่งมีต้นสนเกิดรอบล้อมจำนวนมาก เมื่อสร้างเมืองจินเรียบร้อยด้วยอำนาจเงินที่ได้จากเหมืองทองใต้เขาซงซาน ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้น “ที่นี่ก็รุ่งเรืองไม่ต่างจากเมืองหมิงของเราเลย” เซียงวั่งซูชื่นชมยินดี เมื่อได้เห็นผู้คนแต่งกายในฤดูหนาวที่สวยงาม พวกเขาอยู่ใกล้ภูเขาหิมะ อากาศจึงเย็นกว่าที่แคว้นหมิง “ท่านมองหาหอคณิกาใช่หรือไม่?” “หือ...ที่ใด?” เซียงวั่งซูมองซ้ายแลขวา หอโคมเขียวที่อยู่หัวมุมถนนข้างหน้า ทำให้หัวใจชายหนุ่มกระชุ่มกระชวย “แต่ว่าท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนจะดีกว่า เราต้องจัดการเรื่องร้านค้าของเราให้เรียบร้อย” ภายในสามวัน สองหนุ่มตระกูลเซียงก็สามารถซื้อร้านค้าบนถนนสายสำคัญได้สำเร็จ แม้เซียงวั่งซูจะบ่นอุบอิบเรื่องความมือเติบของน้องชาย แต่ก็คัดค้านไม่ได้ “เจ้าเล่นให้ราคาเช่นนั้น ใครก็ไม่รับก็บ้าเต็มที” “ท่านอยากติดต่อกับราชสำนักจิน หากไม่อยู่ในย่านคนร่ำรวย จะน่าเชื่อถือได้อย่างไร?” ชายหนุ่มหน้ามีปานสะบัดเสียง พวกเขาจัดการขนข้าวเข้าร้านและเปิดร้านภายในสามวัน ในระยะแรกเพื่อดึงดูดลูกค้า เซียงเฉินกงลดราคาข้าวจากปกติลงไปนับร้อยอีแปะ ทำให้ชาวเมืองจินต่างร่ำลือกันถึงชื่อร้าน “อู่จี๊” กันทั่วหน้า เมื่อชื่อเสียงร่ำลือรวดเร็ว แม้แต่เจ้าหน้าที่ในวังที่มีหน้าที่สั่งซื้อข้าวยังสนใจจะไปสั่งซื้อกับคุณชายเซียง เซียงเฉินกงให้เซียงวั่งซูผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลา พูดจาหวานหูเป็นผู้รับแขกและค้าขาย หญิงสาวน้อยใหญ่ในเมืองต่างร่ำลือถึงคหบดีเซียงที่เพิ่งมาซื้อคฤหาสน์ร้างในตรอกสุดถนน บัดนี้ผู้คนในเมืองหลวงจินต่างสนใจในตัวชายหนุ่มทั้งสอง ยิ่งรู้ว่ายังไม่ตบแต่งภรรยา ยิ่งเป็นที่ต้องใจของคุณหนูทั้งหลาย  หากแต่นิสัยเจ้าคนผู้นี้ ยังคงชอบหาข่าวอยู่เช่นเดิม หลังเปิดร้านได้ไม่นานเขาก็ค้นพบแหล่งคุ้ยข่าว “ภัตตาคารดังที่นี่ คือ มู่กง ส่วนร้านน้ำชาที่ข้าควรไป ชื่อ มวลมิตร” “เช่นนั้น ท่านก็เร่งไปหาข่าวเถิด” “เจ้าจะเน้นเรื่องใดก่อน?” “เราต้องการข้อมูลของแคว้นจินในยุคนี้ เพื่อส่งไปให้ฮ่องเต้ทราบ จากนั้นข้าต้องการข้อมูลขององค์หญิงจินเฟิ่ง” “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่า...ชื่อนางคุ้นๆ” ใบหน้าที่มีปานประปราย หันมามองผู้พี่ “หวังว่าคงจะไม่ใช่นางที่ฆ่าเสือผู้นั้น”    ********************  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม