ฉันยืดสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เมื่อยามที่มองเห็นแผ่นหลังของคุณปลายซึ่งนั่งรอกันอยู่ที่โต๊ะทานอาหารภายในที่แห่งนี้ และค่อย ๆ เดินจ้ำเท้าเข้าไปหาเธออย่างไม่เร่งรีบนักพร้อมกับที่มือของฉันมีถาดสำหรับใส่อาหารแบบเป็นช่อง ๆ และวันนี้ฉันเลือกจะลองชิมอาหารฟรีหลังจากที่ไม่ได้ชิมมาเสียนานตั้งแต่ย้ายขึ้นไปเป็นผู้บริหาร
บริษัทของเราให้คุณค่าแก่อาหารการกินของพนักงานมาก ดังนั้นเราจึงใช้งบประมาณไม่น้อยเลยสำหรับมื้อกลางวันให้มันออกมาดีที่สุด แต่อาหารวันนี้หน้าตาก็ดูไม่ได้แย่เท่าไรและฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะอร่อยถูกหลักโภชนาการเพราะคนมาต่อแถวหลังจากฉันก็มีอยู่จำนวนไม่ใช่น้อย
จริง ๆ แล้วพวกเขาต่างก็พากันแหวกทางให้ฉันรับอาหารก่อนทั้งนั้นด้วยสายตาที่สบมองมาและมีแต่คำถามจนเต็มไปหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและยืนยันว่ารอได้ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานเลยกว่าจะถึงคิวของฉัน
“คุณปลายยังไม่ทานเหรอคะ?”
ฉันเอ่ยถามหลังจากที่เดินกลับมาแล้วอาหารที่หน้าตาเหมือนกันกับฉันยังอยู่ในปริมาณเท่าเดิม แถมพนักงานที่ตอนแรกตั้งใจจะมานั่งเป็นเพื่อนกับคุณเขาก็ต่างหลีกทางให้กับฉันได้นั่งลงตรงข้ามกับเธอซึ่งฉันยอมรับตามตรงว่าเขินอายอยู่ไม่ใช่น้อย
นี่มันความไฝ่ฝันอันดับหนึ่งของฉันเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วเธอมักจะมาไลฟ์และทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกับเหล่าแฟนคลับบ่อย ๆ แต่ฉันไม่เคยได้เห็นเธอทานอาหารแบบตัวเป็น ๆ เช่นนี้มาก่อน
ถือเสียว่าอะไร ๆ มันก็ค่อนข้างที่จะเริ่มต้นไปได้ด้วยดีและฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าคุณเขาจะไม่รู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอไม่เช่นนั้นไม่วายได้โดนคุณเขาเอ่ยแซวอีกเป็นแน่แท้
แค่เธอเอ่ยชมฉันเมื่อสักครู่ฉันก็แทบจะล้มทั้งยืนจนลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าตัวเองลงมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรตั้งแต่ทีแรก
“ปลายก็รอทานพร้อมคุณไงคะ”
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจของฉันเองหาใช่สิ่งใดอื่น...
ฉันก้มหน้าหลุบตาลงต่ำพร้อมกับเขี่ยข้าวในถาดไปมาด้วยอาการที่ใบหน้าร้อนผ่าวแต่สายตาและสมองของฉันไม่ได้โฟกัสอยู่ที่อาหารเลยแม้เพียงแต่น้อย
มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว...นี่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจีบอยู่เลยตั้งแต่คำชมของเธอ แต่โดยปกตินิสัยของคุณปลายก็มักจะเป็นกันเองและเข้ากันกับคนง่ายเป็นทุนเดิม มันเลยทำให้ฉันไม่แน่ใจอะไรเลยว่าเธอตั้งใจที่จะล้อหลอกกันเล่นหรือว่าแสนดีโดยนิสัยของเธออยู่แล้วกันแน่
“เอ้อคุณคะ...”
“คะ?”
ฉันเงยหน้าหลังจากที่ถูกเธอเอ่ยเรียกกัน ซึ่งฉันสังเกตเห็นว่าเธอก็กำลังจะตักอาหารในถาดเพื่อลิ้มรส ก่อนในที่สุดเธอจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ยให้ฉันรอฟังว่าเธอกำลังต้องการที่จะเอ่ยสิ่งใดเป็นการต่อไป
พนักงานที่อยู่รอบ ๆ และเห็นใบหน้าของฉันก็ต่างแวะทักทาย ซึ่งฉันก็ต้องหันไปรับไหว้อยู่บ่อย ๆ จนคนตรงข้ามเริ่มจะแสดงสีหน้าแห่งความไม่มั่นใจออกมาให้ฉันได้เห็น
“ปลายยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย แล้วดูเหมือนว่าคุณเองก็เป็นที่เคารพนับถือของพนักงานด้วยนะคะ”
เธอเอ่ยถามอย่างชวนคุยพลางตักกับข้าวเข้าปากอีกครั้งให้ฉันคิดได้ในตอนนี้ว่าควรทานบ้างแล้วไม่เช่นนั้นเขี่ยข้าวไปมาแบบนี้มันจะเสียมารยาท
ฉันจึงยกยิ้มให้กับเธอเล็กน้อยและก้มหน้านิดหน่อยเพื่อที่จะตักอาหารที่อยู่ในถาดของตัวเองทั้งรอยยิ้มที่ยังประดับเพราะมีความสุขที่วันนี้มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะกับศิลปินคนโปรดอย่างเธอ
“ฝันเป็น...”
แต่แล้วรอยยิ้มของฉันที่ประดับอยู่นั้นก็ต้องหยุดชะงักพร้อมกับเสียงพูดที่ขาดห้วงไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า...”
“ฝันขอตัวไปคุยกับแม่ครัวสักครู่นะคะ!”
ฉันกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจและลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือถาดอาหารของตัวเองไปทางเหล่าแม่ครัวที่ยังตักอาหารให้กับพนักงานอยู่ในทันทีอย่างไม่มีรีรอ
PART ปลาย
ฉันหันมองตามผู้หญิงที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก่อนจะลุกขึ้นไปตามเธอเพราะใบหน้าของเธอเมื่อครู่นี้มันไม่เอ็นจอยเอาเสียเลยและฉันกำลังกังวลว่าเธออาจจะมีเรื่องร้อนใจอะไร
เธอเดินอย่างเร่งรีบพร้อมกับการกำถาดในมือของตัวเองข้างหนึ่ง ก่อนจะวางลงแรง ๆ ที่ตู้กระจกจนเหล่าพนักงานที่ต่อแถวและแม่ครัวทั้งหลายต่างก็สะดุ้งโหยงและใช่มันรวมไปถึงตัวของฉันเองด้วยที่ยังประติดประต่อเรื่องราวอะไรได้ไม่ดีนัก
“นี่มันหมายความว่ายังไงคะ?”
เธอเอ่ยถามออกมาพร้อมกับชี้ไปที่อาหารของเธอ
ซึ่งตอนนี้เธอหันหลังอยู่และฉันไม่เห็นว่าเธอกำลังแสดงสีหน้าท่าทางเช่นไร รวมไปถึงไม่เห็นด้วยว่าสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อในถาดอาหารของเธอมันคืออะไรกันแน่
และฉันก็เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะได้สบมองใบหน้าของเธอให้ได้ชัดเจน...แต่มันก็กำลังแดงก่ำเพราะเธอน่าจะกำลังโมโหจากอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของพนักงานที่ยืนอยู่รอบ ๆ เริ่มซีดเผือกไม่ต่างอะไรจากแม่ครัว ซึ่งมันทำให้ฉันพอรู้แล้วว่าเธอคนนี้คงจะมีอิทธิพลและเคร่งครัดไม่น้อยเลย ทั้งฉันก็ยังไม่เคยได้เห็นเธอในมาดมุมแบบนี้มาก่อน
และมันทำให้ฉันรู้สึกหัวใจสั่นไหวแปลก ๆ โดยที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า...
“เอ่อคือว่า...”
“ทำไมถึงมีสารกันชื้นอยู่ในถาดอาหารล่ะคะ...อาหารที่พวกคุณทำไม่ได้ทำสดใหม่ทุกวันแต่เป็นอาหารแช่แข็งอย่างนั้นหรือ?”
เธอเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำทุกประโยคให้ฉันได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ อย่างนึกหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อยกับกิริยาของเธอที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
โรงอาหารที่เคยจอแจเพราะผู้คนกำลังพูดคุยกันในช่วงพักเที่ยงเงียบหายไปในพริบตาและมีเพียงแต่ความเงียบสงบกับใบหน้าที่ซีดเผือกของแม่ครัวสามคนที่ยืนก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าสบสายตา
“งบประมาณที่พวกเราได้รับมา...มันเพียงพอแค่สำหรับอาหารแช่แข็งเท่านั้นค่ะ”
มีหนึ่งในนั้นใจกล้าพูดขึ้นมาให้เธอที่ยืนทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในคราแรกอ่อนลงไปในทันใด แต่ก็ยังคงวางมาดแห่งความน่าเกรงขามเอาไว้และผู้คนในนี้ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นสบมองเธอเลยแม้เพียงแต่คนเดียว
“แต่ในรายการต่อเดือนทุกครั้งดิฉันค่อนข้างแน่ใจนะคะว่าให้งบประมาณในส่วนโภชนาการที่ดีพอต่อพนักงานในบริษัทของดิฉันทุกคน เรียกได้ว่าทานกุ้งหอยปูปลาทุกเที่ยงเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ?”
แม่ครัวคนที่เอ่ยตอบก่อนหน้านี้ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าต่อปากต่อคำอีกแล้ว ส่วนเธอเองก็เริ่มคิดและประมวณผลก่อนจะถอนหายใจออกมาดังเฮือกราวกับว่าคิดอะไรออกแต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
“บ่ายโมงครึ่งพบกันที่ห้องประชุมชั้นสี่นะคะ ดิฉันต้องการทราบรายละเอียดทุกอย่างจากปากของพวกคุณ อ้อ...คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณทุกคนต้องขึ้นมาร่วมประชุมด้วยนะคะ”
“ค่ะคุณเหมือนฝัน...”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะบอส...พอดีมีพนักงานไปตามดิฉันมาค่ะ”
และอยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาจากที่ไหนสักแห่งด้วยทีท่าเร่งรีบ และยืนพูดกับผู้หญิงตรงหน้าด้วยทีท่านอบน้อมแถมเจ้าหล่อนยังเรียกเธอว่าบอสอีกต่างหาก
หรือว่าเธอจะเป็นหัวหน้าแผนกบุคคล?
“บ่ายโมงครึ่งเตรียมห้องประชุมที่ชั้นสี่เอาไว้ด้วยฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับพวกเขา แล้วเดี๋ยวเธอนัดทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณของโภชนาการมาด้วยนะ...เรื่องนี้เราได้สอบสวนกันยาวแน่ ๆ ว่างบประมาณทั้งหมดทำไมมันเพียงพอแค่อาหารสำเร็จรูปพวกนี้”
“ได้ค่ะบอส”
“แล้วก็นัดทนายของบริษัทมาด้วย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่โกหก”
“รับทราบค่ะ ดิฉันจัดการให้เดี๋ยวนี้”
ก่อนที่เจ้าหล่อนจะวิ่งจากไปอีกหน ซึ่งคุณผู้หญิงตรงหน้าของฉันก็หันไปสบมองที่เหล่าแม่ครัวทั้งสามคนอีกครั้งด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าและถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้พวกเขาเหล่านั้นหน้าซีดเผือก
“ถ้าหากพวกคุณพูดความจริงก็ไม่ต้องกลัวค่ะ ดิฉันจะช่วยเหลือพวกคุณเต็มที่”
“ค่ะคุณเหมือนฝัน ป้าพูดจริง ๆ ไม่เคยโกหกคุณอย่างแน่นอนค่ะ”
คนสูงวัยก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างหวาดหวั่น และดวงหน้าของเธอก็ดูอ่อนลงและฉันมองเห็นความอ่อนไหวในแววตาของเธอว่าก็คงจะเคร่งเครียดไม่ใช่น้อยเลยกับสิ่งที่ตนเองนั้นกำลังจะต้องพบเจอ
ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเธอมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในบริษัทนี้ แต่ฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าพนักงานและคนอื่น ๆ หวั่นเกรงเธออยู่พอสมควร
แต่พวกเขาคงไม่ทันได้สังเกตในเสี้ยววินาทีในการกระทำที่เธอแสดงออกมาถึงความเหนื่อยล้า...และฉันที่สบมองเธออยู่ตลอดไม่ละสายตาไปไหนได้ทันสังเกตเห็นมันก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นคนเข้มแข็งดังเดิม
“รู้ไหมคะว่าอาหารแช่แข็งหากทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ แล้วมันจะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?”
“ป้าขอโทษค่ะ…”
“หลังจากวันนี้ถ้ามันเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ดิฉันขอให้คุณป้าปรุงอาหารสดใหม่ทุกครั้งนะคะ...เพื่อสุขภาพและโภชนาการที่ดีของพนักงานทุกคนในบริษัท”
“ค่ะ ป้ารับปาก”
“เช่นนั้นดิฉันขอตัวไปเตรียมตัวก่อนแล้ว ยังไงรักษาเวลาด้วยนะคะ”
“ค่ะคุณเหมือนฝัน สวัสดีค่ะ”
และคนสูงวัยทั้งสามก็ยกมือไหว้และเธอก็ไม่ได้เมินเฉยที่จะยกมือไหว้กลับแม้ตัวเองจะมีหน้าที่การงานที่สูงส่งกว่าและใคร ๆ ก็ให้ความหวั่นเกรง
เจ้าหล่อนหันหลังกลับมาสบสายตากับฉันพอดิบพอดีเพราะฉันยังคงสบมองเธอไม่ได้ละจากไปไหน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาชิดใกล้และยกยิ้มให้กับฉันจาง ๆ ด้วยดวงหน้าเหนื่อยล้าแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งที่เธอพยายามสร้างกำแพงให้กับตัวเอง
“ขอโทษด้วยนะคะ มาวันแรกก็มีเรื่องเลย”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ปลายว่าคุณดูเท่มาก ๆ เลยด้วยซ้ำไปนะคะ”
ฉันยกยิ้มและพูดออกมาเพื่อหวังให้กำลังใจเธอ แต่อยู่ ๆ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาของฉันอีกครั้งและมันทำให้ฉันเอ็นดูเธอจนล้นอกเพราะเธอคนนี้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของป้าแม่ครัว...มันราวกับคนละคนกันเลย
และหัวใจของฉัน...กำลังเต้นแรงกับการกระทำที่สุดแสนจะน่ารักของเธอจนควบคุมมันต่อไปอีกไม่ไหว
“คุณดูเหนื่อยแล้วไปพักสักหน่อยดีไหมคะ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมาสบมองกันอีกครั้งหลังจากที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ซึ่งฉันก็ยกยิ้มให้กับเธอจาง ๆ และเอื้อมมือขึ้นไปบีบนวดไหล่ของเธอเบา ๆ อย่างถือวิสาสะ
แน่นอนว่าเธอหันมาสบมองที่มือของฉันจนฉันเกือบที่จะผละออกเพราะคิดว่าเธอไม่ชอบใจ แต่อยู่ ๆ เธอก็เผยยิ้มออกมาจนเต็มใบให้ฉันเห็นฟันที่เรียงสวยของเธอและฉันก็ตัดสินใจจับมันอยู่อย่างนั้นโดยที่เธอก็ไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจรังงอนกันแต่อย่างใด
“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณปลาย...ฝันรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ”
และเธอก็แปรเปลี่ยนสรรพนามมาเรียกชื่อของตัวเองอีกครั้งให้ฉันหัวใจฟูฟ่องและเริ่มจะคิดเข้าข้างตัวเองในตอนนี้แล้วว่าเธอก็อาจจะมีความรู้สึกดี ๆ กับฉันอยู่ไม่มากก็น้อย
“ถ้าอย่างนั้นไปพักผ่อนให้สบายใจก่อนนะคะ”
“…”
“แล้วก็อย่าคิดมากนะคะ...ปลายเป็นห่วง”