ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ในห้องทำงานพลางสบมองนาฬิกาบนฝาผนังอย่างใจจดใจจ่อ และฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาพักเที่ยงที่ฉันไม่เคยใส่ใจและไม่เคยไปทานอาหารให้ตรงตามเวลานั้น...วันนี้กว่าที่มันจะถึงเวลาพักเที่ยงมันใช้เวลานานถึงขนาดที่ฉันคิดว่ามันราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไรอย่างนั้นไป
ปกติฉันมักจะทำงานล่วงเลยเวลาพักเที่ยงอยู่ตลอดจนเป็นเลขาสาวทุกครั้งที่จะหอบหิ้วอาหารขึ้นมาให้อยู่เสมอ ๆ ในช่วงเวลาที่เริ่มงานในตอนบ่าย
แต่วันนี้มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น...เพราะฉันกำลังรอให้เข็มสั้นและเข็มยาวมันชี้ไปที่เลข 12 และฉันก็จะลงไปรับประทานอาหารภายในโรงอาหารของบริษัทอย่างที่ตัวเองไม่เคยทำมันมาก่อนเพราะต้องการที่จะได้ไปพบเจอกับศิลปินคนโปรดที่ฉันก็ไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่าเธอจะลงไปทานอาหารที่นั่นหรือไม่หรืออาจจะออกไปทานข้างนอก
ฉันรู้เพียงแค่ว่าฉันอยากเจอเธอก่อนที่จะเริ่มงานใหม่ในตอนบ่าย เพราะเธอก็เปรียบเสมือนกำลังใจในการทำงานของฉันและฉันกำลังข่มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เดินไปทางห้องอัดเพลงเพราะมันจะทำให้ฉันดูมีพิรุธมากจนเกินไปและเธออาจจะมองว่าฉันแปลก ๆ เอาได้
เพราะแค่เมื่อเช้าที่ฉันได้สติกลับคืนมาก็รู้สึกอับอายตัวเองจนเกินจะทนกับพฤติกรรมบ้าบอของตัวเอง ผิดกับท่านรองประธานบริษัทคนเดิมที่เหล่าพนักงานได้พบเห็นราวกับเป็นคนละคนไปเสียอย่างนั้น
และใช่ฉันเดินขึ้นบันไดจริง ๆ อย่างที่ได้บอกกล่าวกับคุณปลายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขและอารมณ์ดีมากกว่าทุกวันที่ได้พบเจอเธอตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนเริ่มทำงาน แต่เพราะอายุอานามของฉันก็เลยเลขสามมาได้สองปีแล้วสังขารมันเลยไม่เที่ยงตรงต่อความรู้สึกมีความสุขของฉันเอาเสียเลย
ฉันเดินขึ้นมาได้ถึงเพียงชั้นสามแต่ฉันกลับนึกว่าตัวเองขึ้นมาถึงชั้นที่ 50 แล้ว ช่วงล่างของฉันเริ่มปวดระบมจากการใส่รองเท้าส้นสูงฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาจากทางหนีไฟของทางชั้นสามเพื่อมากดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นทำงานของตัวเองและโชคดีที่เธอขึ้นนำกันไปก่อนแล้วให้ฉันไม่ต้องไปอับอายเธอทีหลังในตู้สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อย่างลิฟต์
พนักงานที่เห็นฉันเดินหอบเหนื่อยออกมาจากทางบันไดหนีไฟก็ทำหน้าราวกับถูกผีหลอกกับสภาพที่น่าอดสูของฉัน
ในระหว่างที่ฉันกำลังรอลิฟต์มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาถามฉันด้วยว่าต้องการยาดมหรือไม่และยื่นส่งมันมาตรงหน้าด้วยแววตาหวาดระแวงซึ่งฉันเอ่ยขอบคุณเจ้าหล่อนไปในทันใดเพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดตั้งแต่ผ่านพ้นชั้นสองมาแล้ว
ฉันจะไม่มีวันทำตัวบ้าบอแบบนั้นต่อหน้าของคุณปลายอีกเป็นอันขาด!
“เที่ยงแล้ว!”
เสียงนาฬิการ้องเตือนพร้อมกับที่ริมฝีปากของฉันเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข ร่างของฉันผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปทางหน้าห้องในทันทีซึ่งแน่นอนว่ามันสร้างความประหลาดใจให้กับเลขาสาวของฉันไม่น้อยที่สบมองกันมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“บอสอยากทานอะไรเป็นพิเศษเหรอคะ เดี๋ยวดิฉัน...”
“วันนี้จะลงไปทานข้าวที่โรงอาหารน่ะ”
“วะ ว่าไงนะคะ?”
เจ้าหล่อนเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เชื่อหูในทันใด ซึ่งนั่นมันก็ไม่แปลกเพราะฉันไม่เคยออกไปทานอาหารในเวลาพักเที่ยงเลยถ้าไม่นับสมัยที่ฉันยังเป็นเพียงพนักงานต๊อกต๋อยและรุ่นพี่ในแผนกต่าง ๆ ที่มักจะลากฉันออกไปทานอาหารข้างนอกบ่อย ๆ แต่นั่นมันก็หลายปีมาแล้ว
“ตามนั้นแหละ วันนี้คงไม่ต้องรบกวนเธอ”
ฉันเอ่ยย้ำอีกครั้งพลางสองขาก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้า แต่ก็ต้องหยุดชะงักและหันหน้ามาหาเลขาสาวที่ยืนอึ้งอยู่อีกครั้งเพราะมีคำถาม
“เธอว่าปกติดาราเขาชอบไปทานข้าวโรงอาหารไหม?”
“ดาราเหรอคะ?”
เจ้าหล่อนทำหน้าราวกับถูกผีหลอกอีกครั้งที่ได้ยินคำถามประหลาด ๆ ซึ่งมันออกมาจากปากของฉัน ฉันจึงพยักหน้าเพื่อยืนยันในคำถามจนเจ้าหล่อนต้องทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ถ้าเป็นดาราที่เป็นกันเองมาก ๆ ก็อาจจะทานก็ได้ค่ะ หรือบางทีถ้าดาราคนไหนเรื่องมากและไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ ก็อาจจะออกไปทานอาหารที่ร้านหรู ๆ ข้างนอก ว่าแต่บอสถามทำไมเหรอ...”
“ถ้าเป็นกันเองมาก ๆ สินะ”
ฉันไม่ได้สนใจเลขาสาวอีกเลยทั้งยังหันหน้าหนีไปทำท่าครุ่นคิดอีกครั้งถึงลักษณะนิสัยของศิลปินคนโปรดอย่างคุณปลาย
เธอเป็นคนที่เป็นกันเองมาก ๆ กับแฟนคลับ แถมยังเคยมีผู้กำกับ MV ของเธอคนหนึ่งเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าประทับใจในตัวของคุณปลายที่เป็นกันเองและสบาย ๆ มาก ๆ ด้วย จนถึงขนาดที่เสนอตัวเลยว่าถ้ามี MV เรื่องหน้าที่เป็นของคุณเขาอีกผู้กำกับคนนั้นจะขอมากำกับเองอีกครั้งเพราะสบายใจที่ได้ทำงานกับเธอ
“ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้ที่เธอจะทานข้าวโรงอาหาร...”
ฉันกระซิบพึมพำอยู่เพียงลำพังให้เลขาสาวขมวดคิ้วฉงนเพราะคิดว่าฉันกำลังพูดคุยกับเธอ
“บอสว่ายังไงนะ...”
“ทานข้าวให้อร่อยนะ แล้วตอนบ่ายเจอกัน”
และหลังจากนั้นฉันก็เดินจากออกมาในทันที
โดยไม่สนใจเลยว่าใครอีกคนจะยืนเกาหัวอย่างมึนงงและกำลังประมวลผลกับพฤติกรรมของฉันมากมายขนาดไหน ถึงขั้นที่เจ้าหล่อนหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงกับความเงียบสงบที่ก่อตัวรอบ ๆ กาย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาในทันทีเพราะคิดได้อย่างเดียวในตอนนั้นว่า...
“บอสผีเข้าแน่ ๆ บรึ้ย!”
ฉันโดยสารลงลิฟต์มาจนกระทั่งถึงชั้นล่างของบริษัท ซึ่งโรงอาหารนั้นมันอยู่ทางด้านหลังและอาหารก็แจกฟรีในแต่ละวันตามเมนูที่แม่ครัวของบริษัทเป็นผู้จัดแจงด้วยงบประมาณของบริษัทนั่นเอง แต่ก็จะมีร้านอาหารขายแยกสองถึงสามร้านเพราะบางคนก็อาจจะอยากทานอาหารอื่น ๆ แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะออกไปหาทานด้านนอก
ตลอดทางที่ฉันเดินผ่านไม่มีใครเฉียดใกล้ฉันในระยะ 50 เมตรเลยแม้เพียงแต่คนเดียว ผู้คนกำลังจดจ้องมองมาทางฉันที่กำลังทำหน้าตาเคร่งเครียดและเดินไปทางโรงอาหาร บ้างก็ซุบซิบนินทาว่าฉันกำลังจะไปทึ้งหัวพนักงานที่ทำงานผิดพลาดและหนีลงมาทานข้าว แต่ในความเป็นจริงฉันแค่กังวลว่าจะไปแล้วไม่เจอคุณปลายก็เพียงแค่นั้น
ทำไมทุกคนถึงชอบมองฉันในแง่ร้ายนักนะ!
และในที่สุดร่างของฉันก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าของทางที่จะไปโรงอาหาร ฉันกำลังสอดส่องมองหาเป้าหมายที่ฉันอยากพบ แต่ผู้คนก็เดินกันยั้วเยี้ยไปมาซึ่งฉันพอเข้าใจได้เพราะนี่เป็นช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน
“นั่นไง!”
ฉันตีมือตัวเองแรง ๆ อย่างดีใจด้วยแววตาเป็นประกายสุกใส แต่พนักงานที่กำลังจะเดินผ่านฉันเข้าไปด้านในสะดุ้งจนตัวโยนเพราะคิดว่าฉันจะกระชากหัวเจ้าหล่อนด้วยมาดของนางมารร้ายในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น
ฉันเดินอย่างตื่นเต้นเข้าไปที่ด้านในด้วยหัวใจพองโต และกำลังเก็บอาการดีใจของตัวเองสุดขีดเพราะฉันไม่เคยได้ทานข้าวกับเธอเลยตั้งแต่ที่เป็นแฟนคลับเธอมาหลายปีนี้
ฉันไม่ค่อยมีดวงกับการจับรางวัลหรือจับฉลากอะไรมากเท่าไร เวลามีงานมีตติ้งต่าง ๆ ชื่อของฉันไม่เคยได้เป็นผู้โชคดี แต่ฉันก็ยังคงไปเฝ้าส่งเธอที่หน้างานอยู่เสมอและฉันชื่นชอบมากที่สุดเวลาเธอทำงานเสร็จแล้วจะมาแวะทักทายชาวแฟนคลับที่ไม่ได้มีชื่อในงานมีตติ้งก่อนจะเดินทางกลับ
มันแสดงให้เห็นถึงความน่ารักและความใส่ใจของเธอที่มีต่อพวกเราชาวแฟนคลับ และฉันดีใจมาก ๆ ที่ฉันชื่นชอบและได้เป็นแฟนคลับของเธอจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่เธออำลาวงการเบื้องหน้าและเลือกที่จะมาทำงานเบื้องหลัง
ใกล้กับฉันมาก...ถึงขนาดที่ฉันเองก็ยังไม่เคยคาดคิด
ฉันที่เดินเข้ามาด้านในแล้วก็ยืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่เคยมาทานข้าวที่นี่มาก่อน ส่วนคุณปลายเองก็ดูจะคล่องแคล่วอยู่พอตัวเนื่องจากว่ามีคนแนะนำเธอทำนู้นทำนี่อยู่ตลอดจากพนักงานคนอื่น ๆ ที่เข้ามาให้การช่วยเหลือเธอ
ฉันที่ยืนมองจากตรงนี้ได้เห็นว่าเธอยกยิ้มให้กับทุกคนที่เข้ามาให้การแนะนำ ทั้งยังโค้งหัวขอบคุณอยู่ตลอดทางแม้ว่าฉันจะไม่ได้ยินเสียงของเธอแต่ท่าทางที่นอบน้อมเช่นนั้นก็ทำเอาคนสบมองอย่างฉันปลื้มปริ่มและก็ได้แต่นึกชื่นชมเธออยู่ในใจกับความมีมารยาทของเธอ
หัวใจดวงน้อยของฉันดวงนี้สูบฉีดอย่างเป็นจังหวะเสมอเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ มันคือผลลัพธ์และสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน...และฉันอยากจะเห็นมันไปอีกนาน ๆ
แต่ถ้าเป็นไปได้ตลอดทั้งชีวิตเลยฉันก็ยินดี...
“อ้าวคุณ!”
ฉันกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคนเอ่ยอยู่ใกล้ ๆ กัน
ฉันเพ่งสายตาสบมองก่อนหัวใจจะเต้นแรงสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งเพราะคนที่เข้ามาทักทายกันไม่ใช่ใครอื่น...แต่คือคุณปลายศิลปินคนโปรดของฉันนั่นเอง
“ลงมาทานข้าวเหรอคะ...นั่งด้วยกันไหม?”
เธอยกยิ้มและเอ่ยถามออกมาอย่างใจดี ซึ่งหัวใจไม่รักดีของฉันดวงนี้มันก็เต้นแรงสนั่นหวั่นไหวอย่างตื่นเต้นที่เธอเอ่ยชวนกันด้วยทีท่าที่เป็นกันเอง และมันธรรมชาติในแบบของเธอจนฉันแทบจะสบมองรอยยิ้มของเธอไม่ไหว
แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต...แต่ก็เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตของฉันเฉกเช่นเดียวกัน
“ว่าแต่เมื่อเช้าไม่ได้เดินขึ้นชั้น 23 จริง ๆ ใช่ไหมคะ?”
แถมยังหยอกล้อกันด้วยการหัวเราะน้อย ๆ ให้ฉันหวนคิดไปถึงวันงานแฟนไซต์ของเธอล่าสุดที่เธอเอ่ยแซวฉันด้วยอีกต่างหาก เธอมีเสน่ห์ในแบบฉบับของเธอโดยไม่ต้องปรุงแต่งหรือเพิ่มเติมใด ๆ เลย
แล้วทำไมหัวใจของฉันถึงได้เต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ แบบนี้กันนะ...มองรอยยิ้มของเธอมาเป็นล้าน ๆ ครั้งยังไม่เคยเต้นแปลก ๆ แบบนี้มาก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะหน้าแดงมากเลย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคุณ!”
ฉันได้สติกลับมาหลังจากที่คิดอะไรเพลิน ๆ เพราะเธอเดินเข้ามาทักทายกันแถมยังชวนฉันนั่งทานข้าวด้วยอีกต่างหาก หัวใจของฉันที่ดีใจจนสุดขีดก็เผยยิ้มกว้างออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนและพยักหน้าตอบรับเธอถึงคำชวนก่อนหน้านี้ที่เธอเอ่ยถามกัน
“ถ้าอย่างนั้นฝันขออนุญาตนั่งทานข้าวด้วยนะคะ”
สรรพนามแปรเปลี่ยนไปจากเมื่อเช้าเพราะฉันรู้สึกเป็นกันเองกับเธอมาก ๆ กับการกระทำของเธอ และฉันอยากจะสนิทกับเธอให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเขินอายเธออีกต่อไปหากได้เจอกันอีก ซึ่งพอพูดออกมาจริง ๆ แล้วมันกลับทำให้ฉันยิ่งเขินอายเธอมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ฟันเรียงสวยของฉันโชว์หราให้คนตรงหน้าในทันทีอย่างดีใจกับคำเอ่ยชวน แต่อยู่ ๆ คุณปลายก็ชะงักไปพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำให้ฉันตกใจจนต้องเอื้อมมือไปจับไหล่ของคุณเขาเอาไว้และเขย่าเบา ๆ อย่างนึกห่วงใยเพราะเธอไม่ตอบอะไรกับฉันอีกเลยเกือบนาทีแล้ว
“คุณปลายคะ คุณปลายเป็นอะไร...”
“สวยดีนะคะ...”
“คะ?”
ฉันเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัยในทันทีเพราะอยู่ ๆ เธอก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งฉันหันมองรอบ ๆ แล้วไม่มีใครอยู่ใกล้ฉันในระยะ 50 เมตรอย่างเช่นตอนแรกเหมือนเคย
“ปลายหมายถึงว่ารอยยิ้มของคุณน่ะค่ะ”
“…”
“มันสวยดีนะคะ”