หลายเดือนต่อมา
“เห็นว่ากลับมาคบกับไฮโซซีอีกครั้ง ไม่ทราบว่าใครง้อใครก่อนคะ”
ในงานเลี้ยงวันเกิดผู้บริหารใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ นักข่าวคนหนึ่งจ่อไมโครโฟนที่นลินทราปุ๊บก็ชิงเปิดประเด็นถามเรื่องหัวใจทันที ก่อนที่นักข่าวจากสำนักอื่นจะชิงถามก่อน
“ไม่ได้กลับมาคบกันค่ะ เพราะเราไม่เคยเลิกกัน”
นลินทราตอบไปยิ้มไป ความจริงแล้วตั้งแต่กลับมาคบกันหลังจากห่างกันไปหนึ่งเดือน เธอก็ไม่เคยป่าวประกาศให้ใครรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกตนทั้งสองคนได้กลับมาเป็นอย่างเดิมแล้ว นักข่าวบางคนจึงคิดว่าเธอเลิกกับนพฤทธิ์ไปโดยปริยาย
“แต่ได้ข่าวมาว่าคุณแม่ของคุณซีหาคู่หมั้นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว และประกาศงานหมั้นแล้วด้วย” เมื่อถึงคำถามนี้ นลินทราก็ทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนตอบว่า
“เคยได้ยินมานานมากแล้วเหมือนกันนะคะว่าคุณแม่ของพี่เขาหาคู่หมั้นไว้ให้ แต่เรื่องประกาศหมั้นอะไรนี่นิ้งไม่รู้จริง ๆ ค่ะ ไม่ทราบว่าพวกพี่พอจะรู้รึเปล่าคะว่าหมั้นกันวันไหน ถ้ารู้ก็บอกนิ้งด้วยนะคะ นิ้งไม่อยากตกข่าว” เธอทำทีเป็นหัวเราะเบา ๆ
“แล้วน้องนิ้งจะมีข่าวดีรึยังคะ”
นลินทราส่ายหน้าช้า ๆ “ตอนนี้ยังค่ะ ขอทำงานก่อนดีกว่า แต่ไม่แน่อาจจะมีเซอร์ไพรส์เร็ว ๆ นี้”
“แปลว่าคุยเรื่องแต่งงานกันไว้แล้วใช่ไหมคะ” นักข่าวอีกคนถามขึ้น
“ก็...ยังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน” นลินทราตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะรีบขอตัวกับนักข่าวทุกคนแล้วเดินเข้าในงานไป
เมื่อพ้นจากกองทัพนักข่าวมาแล้ว หญิงสาวก็ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะนักข่าวแทบทุกคนพุ่งเป้าแต่เรื่องของนพฤทธิ์อย่างเดียว ด้วยเหตุนี้เธอถึงไม่ค่อยชอบให้สัมภาษณ์กับนักข่าวนัก
งานเลี้ยงเป็นแบบค็อกเทล นลินทราจึงตรงดิ่งไปที่บูธอาหารทันทีเนื่องจากยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงนอกจากน้ำเปล่า ตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้วจึงรู้สึกหิวมาก
“โอย กินไปสิบชิ้นจะได้ถึงครึ่งกระเพาะฉันไหมเนี่ย”
เธอมองอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่จัดวางเรียงไว้อย่างสวยงามแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าจะแอบออกไปกินจานหนัก ๆ ให้อิ่มท้องก่อนดีกว่าแล้วค่อยกลับเข้างานมาอีกรอบ
แต่พอนึกถึงกองทัพนักข่าวที่ออกันอยู่นอกห้องจัดเลี้ยง นลินทราก็ได้แต่ปลงตก สรุปแล้วเธอต้องทนหิวไปอย่างนี้จนกว่างานจะเลิกหรือ เพราะหากเอาแต่หยิบของว่างเหล่านี้มากินมากกว่าคนอื่นก็จะดูไม่ดีอีก
ขณะที่หญิงสาวกำลังหยิบของว่างเข้าปากนั้น พนักงานของโรงแรมคนหนึ่งก็เดินมาหา พูดเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
“คุณนิ้งคะ เชิญห้องข้าง ๆ หน่อยค่ะ มีคนอยากพบ”
นลินทราหน้าเหวอ จำได้ว่าตอนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงที่อยู่ข้างกัน ห้องนั้นไม่มีใครใช้บริการไม่ใช่หรือ
“ใครคะ” เธออดสงสัยไม่ได้ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงแรมลักซ์ แกรนด์ มิราจ ซึ่งธาม เจ้าของโรงแรมนี้คือเพื่อนสนิทของนพฤทธิ์ แต่ธามก็ไม่น่าจะอยากพบเธอในเวลาแบบนี้
“เขาไม่ให้บอกค่ะ เขาให้บอกแค่ว่า เขารู้ว่าคุณนิ้งกำลังหิวมาก” พนักงานสาวคนนั้นพูดยิ้ม ๆ
ได้ยินอย่างนั้นนลินทราก็ยิ้มออกทันทีเพราะรู้แล้วว่าคนที่มาแอบอยู่ห้องถัดไปคือนพฤทธิ์นั่นเอง และที่เขารู้ว่าเธอกำลังหิวก็เพราะตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้กินข้าวเที่ยงก็คือเขา ชายหนุ่มเล่นงานเธอบนเตียงจนเข่าอ่อน ยิ่งพักหลังนี้เขาช่างสรรหาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทรมานเธอเล่นเสียเหลือเกิน
“แล้วมีทางไปห้องข้าง ๆ ได้ยังไงโดยที่ไม่ต้องผ่านหน้าประตูบ้างคะ”
“เชิญตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ” พนักงานพยักหน้าให้เธอแล้วเดินนำไป เธอจึงหันไปบอกเพื่อนนักแสดงคนหนึ่งว่าไปธุระด้านนอกสักครู่แล้วเดินตามพนักงานสาวคนนั้น
ห้องจัดเลี้ยงแต่ละห้องจะทำฉากกั้นเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้เสียงตีกัน แต่ก็สามารถเอาฉากออกได้หากต้องการห้องขนาดใหญ่ อีกทั้งตรงฉากกั้นก็มีประตูสำหรับพนักงานอีกด้วย นลินทราเดินเข้าไปทางประตูนั้น เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องโล่ง ๆ บนโต๊ะมีอาหารหลากหลายชนิด และมีชายหนุ่มหน้าตี๋คนหนึ่งนั่งยิ้มแป้นมาให้
“พี่รู้ว่านิ้งต้องหิวแน่นอน เลยสั่งอาหารเอาไว้ให้ กินข้าวกันเถอะ”
นลินทราหันไปขอบคุณพนักงานสาวคนนั้นซึ่งเดินออกจากห้องไปแล้ว ตอนนั้นเองเธอถึงเพิ่งสังเกตว่ารอบห้องมีแต่ของที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีขาว เดาว่าคงเป็นโต๊ะเก้าอี้ของห้องนี้กระมังจึงไม่ได้สนใจอีก
“ยังดีนะคะที่รู้ว่านิ้งต้องหิว เมื่อกี้นิ้งยังคิดอยู่เลยว่าจะสั่งไลน์แมนให้เอาข้าวมาส่ง” เธอค้อนให้เขา
“โถ...พี่เห็นนิ้งกินน้ำพี่ไปตั้งเยอะ ก็นึกว่าจะอิ่มน้ำพี่ซะแล้ว ลืมนึกไปว่ามันย่อยง่าย โทษทีนะ” เขาพูดหน้าตาเฉย เธอจึงเอื้อมไปหยิกแขนเขาไม่แรงนัก
“พูดไม่อายเลยนะคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”
“ใครจะได้ยิน ห้องนี้เราอยู่กันสองคน เป็นห้องกินข้าวที่กว้างมาก...”
“ก็แน่สิ นี่มันห้องจัดเลี้ยงนี่คะ แล้วทำไมพี่ถึงใช้ห้องนี้ได้ล่ะ ขอพี่ธามหรือ”
“ใช่ ขอไอ้ธามไว้น่ะ ห้องว่างพอดีมันก็เลยให้ใช้ได้ พี่เลยให้ทางโรงแรมเขาทำอาหารมาส่งให้ กินกันเถอะ”
“ทำไมวันนี้พี่แต่งตัวเป็นทางการจัง ไปธุระมาหรือคะ”
นพฤทธิ์ใส่ชุดสูทเต็มยศ ขาดก็แค่ไม่ได้ผูกเนกไทเท่านั้น ตอนที่เธอออกจากคอนโดมิเนียมของเขามา ชายหนุ่มยังใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาในห้องอยู่เลย
“ใช่ ไปทำธุระสำคัญมาน่ะ แล้วก็นึกได้ว่านิ้งต้องหิวข้าวแน่ ๆ ก็เลยโทร. หาไอ้ธามถามมันว่าห้องข้าง ๆ ว่างรึเปล่า จะขอยืมมานั่งกินข้าวสักหน่อย”
“มีเพื่อนเป็นเจ้าของโรงแรมนี่ดีจังนะคะ” เธออดค่อนขอดเขาไม่ได้
“แน่นอน มีแฟนเป็นเจ้าของบริษัทน้ำผลไม้ก็ดีเหมือนกันนะ นิ้งไม่คิดอย่างนี้บ้างหรือครับ”
“พูดเข้าตัวเองจนได้” นลินทราหัวเราะ จากนั้นก็เริ่มกินอาหารตรงหน้า กินไปคุยเล่นกันไปจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าไฟในห้องเริ่มสว่างขึ้น
“เอ๊ะ ทำไมไฟสว่างขึ้นคะ จะมีคนมาใช้ห้องรึเปล่าคะพี่ซี”
“นั่นสิ ถ้าเขามาเจอเราสองคนนั่งกินข้าวกันอยู่ตรงนี้จะเป็นยังไงนะ”
นพฤทธิ์ทำหน้าเหลอหลา นลินทราก็ยิ่งใจเสีย ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเพลงบรรเลงในห้องก็ดังขึ้นอีก
“พี่ซีคะ” นลินทราไม่รู้จะพูดอะไร รู้แต่ว่าหวั่นใจที่อาจมีคนมาเห็นเข้าว่าเธอกับเขามาแอบใช้ห้องว่างนั่งกินข้าวกันอย่างสบายใจ ทว่าจู่ ๆ ผ้าผืนใหญ่ที่เธอเข้าใจว่าใช้ปิดของใช้ต่าง ๆ ในห้องก็ถูกเปิดออก แต่สิ่งของภายใต้ผ้านั้นไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้อย่างที่เธอคิดไว้ กลับกลายเป็นลูกโป่งมากมายลอยออกมาจากบริเวณนั้น
ครั้นพอมองไปที่เวที ไฟก็ติดพรึบขึ้นมาตามด้วยผ้าที่คลุมแบ็กดรอปด้านหลังถูกปล่อยลงพื้น ปรากฏตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวโตอยู่บนนั้น
Will you marry me, Nalintra?
นลินทราอ่านตัวอักษรตัวใหญ่สีชมพูเข้มด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นนพฤทธิ์ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่องอัญมณีสีม่วงอมชมพู ซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นกล่องเครื่องประดับของร้านพัดชา เจมส์ ร้านจิวเวลรี่ของพลอยพัดชา เพื่อนสนิทเธอเอง
“แต่งงานกับพี่นะนิ้ง” เขามองหน้าเธอด้วยสายตาคาดหวัง
“แอบมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย”
“นานแล้วละ ตั้งแต่รู้ว่านิ้งต้องมางานเลี้ยงที่นี่ พี่ก็เลยวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนนิดหน่อย”
“ยังไงคะ” เธอหุบยิ้มไม่ได้จริง ๆ ความสุขมันล้นใจไปหมด
“อย่างแรกเลยก็บอกไอ้ธามว่าไม่ให้ใครมาเช่าห้องนี้ ส่วนพวกแสงสีเสียงต่าง ๆ ก็จ้างให้โรงแรมทำให้ จากนั้นก็...” พูดถึงตรงนี้เขาก็ยื่นหน้ามากระซิบเบา ๆ
“ชวนเมกเลิฟกันหลาย ๆ ยกจนนิ้งไม่ได้กินข้าว พี่จะได้หาโอกาสชวนออกจากงานเลี้ยงมากินที่นี่ไงละ”
“แผนสูงจริง” เธอยิ้มกว้าง หันไปมองบรรยากาศรอบตัวที่มีแต่ลูกโป่งลอยไปมา กับดอกกุหลาบสีขาวสลับสีชมพูในกระถางที่วางเรียงกันไว้เป็นคำว่า LOVE ในรูปหัวใจก็ยิ่งปลาบปลื้ม
“แล้วชอบไหมล่ะ มันอาจลิเกไปบ้าง แต่พี่ก็ตั้งใจมากนะ” เขากะพริบตาปริบ ๆ มองเธออย่างออดอ้อน
“ก็...โอเคนะคะ นิ้งชอบค่ะ แล้วก็...แต่งค่ะ นิ้งจะแต่งกับพี่”
ทันทีที่หญิงสาวเอ่ยตกลง ประตูห้องจัดเลี้ยงก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเฮลั่น ที่แท้บรรดาเพื่อนสนิท เพื่อนนักแสดง ผู้จัดการส่วนตัว และนักข่าวที่รุมสัมภาษณ์เธอก่อนหน้านี้ก็รู้เรื่องเซอร์ไพรส์กันหมดแล้ว มีเธอไม่รู้อยู่คนเดียว
ความเย็นวาบที่หลังนิ้วนางข้างซ้าย ทำให้นลินทราต้องละสายตาจากคนกลุ่มใหญ่ที่พากันเดินเข้ามา เพื่อมองแหวนเพชรน้ำงามที่ค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาในนิ้วของตน
“จองแล้ว นิ้งห้ามเปลี่ยนใจแล้วนะ ไม่งั้นพี่ไม่ยอมด้วย”
นพฤทธิ์ประสานมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกันแล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากของเขา ท่ามกลางแสงแฟลชวูบวาบของช่างภาพและนักข่าวที่รายล้อมอยู่รอบตัว
นลินทรานอนเกยอยู่บนอกของนพฤทธิ์เพื่อดูซีรีส์ต่างประเทศทางโทรทัศน์ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาไล้วนป้านสีชมพูอ่อนของเขาเล่นจนชายหนุ่มต้องรีบเอามือมาปิดไว้พลางเอ่ยอย่างคาดโทษ
“ซนนะนิ้ง เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย สงสัยจะดูหนังไม่จบกันล่ะมั้งเนี่ย”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “ก็พี่ชอบถอดเสื้ออยู่ในห้อง นิ้งเห็นแล้วอดไม่ได้นี่นา สีชมพูอ่อนพาสเทลมาก ๆ”
“ถ้าอยากจะเล่น พี่อนุญาตให้ใช้ลิ้นได้เท่านั้น”
“แต่นิ้งยังไม่หิวนี่นา รอไปก่อนละกันนะคะคุณพี่” เธอหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้ามุ่ย
“พี่ซีคะ ตกลงแล้วคุณแม่ของพี่ ท่านรับเรื่องของเราได้รึยัง”
แม้เขาจะขอแต่งงานไปเมื่อเดือนก่อน แต่เรื่องแต่งงานนั้นเธอยังไม่พร้อมจริง ๆ เพราะอยากทำงานในวงการบันเทิงไปอีกสักพัก จึงได้แต่หมั้นกันไว้ และวันหมั้นเธอก็ไม่เห็นมารดาของเขามาร่วมงาน ถามเขาก็บอกเพียงว่าท่านไม่สะดวกมา เธอจึงไม่กล้าถามอีก
“ท่านไม่คิดอะไรกับพวกเราแล้วละสบายใจได้ ตอนนี้เหมือนกับว่าท่านไม่สนใจอะไรแล้วด้วยซ้ำ คิดว่าน่าจะปลงได้แล้วละ” เขาลูบศีรษะเธอไปมา
“ไม่ใช่อะไรหรอก นิ้งก็แค่ไม่อยากทำอะไรข้ามหัวท่านไง ยังไงเสียท่านก็เป็นแม่ของพี่”
“เอางี้ไหมล่ะ อาทิตย์หน้าบ้านพี่จะไปเยี่ยมท่านพอดี นิ้งไปด้วยกันกับพี่สิ ดีไหมครับ”
“ดีค่ะ” นลินทราพยักหน้ากับอกเขา ก่อนจะเอี้ยวหน้าไปแลบลิ้นเลียป้านสีชมพูเล่นจนชายหนุ่มร้องซี้ดเบา ๆ
“นิ้ง...เดี๋ยวพี่เลียบ้างนะ” เสียงเขาสั่นพร่า สายตาวาววามจนช่องท้องของเธอร้อนวูบวาบไปหมด
“กลัวจังเลย” เธอถอดกางเกงชั้นในของตัวเองออก เหลือไว้เพียงเดรสผ้าฝ้ายสีเทา เธอลุกขึ้นนั่งบนตัวเขา ถอดเดรสบนตัวออกไปเหลือไว้เพียงเสื้อชั้นในตัวเดียว
“เลียตรงไหนคะ ตรงนี้รึเปล่า” เธออ้าขาออกกว้างจนเป็นรูปตัวเอ็ม เผยกลีบดอกไม้ที่ชูช่อรอรับน้ำมาพร่างพรม
นพฤทธิ์ยิ้ม สายตาวาววับจับจ้องส่วนนั้นราวกับเจออาหารจานโปรด เขาจับสะโพกกลมกลึงไว้แล้วดันขึ้นมาด้านบน
“ขึ้นมาตรงนี้สิครับที่รัก”
หญิงสาวเลื่อนตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงใบหน้าของเขา ก้มมองสบตากับคนใต้ร่างพลางหย่อนสะโพกลงไปอย่างเชื่องช้า เสียงครางครวญลั่นเมื่อปลายลิ้นปัดป่ายคลึงเคล้าจุดอ่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ปรานี
เธอพลิกตัวหันไปปรนเปรอเขาบ้าง ตวัดลิ้นระรัวสลับดูดดึงอย่างที่เขาพร่ำบอกเสมอว่าชอบนักหนา จนสะโพกเขาเริ่มอยู่ไม่นิ่ง เสียงครางทุ้มต่ำดังงึมงำอยู่ใต้ร่าง จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ออกปากจนได้
“ควบเลยเถอะที่รัก พี่ไม่ไหวแล้ว”
ในเมื่อเขาขอ เธอก็จัดให้ เคลื่อนตัวลงไปจดจ่อกับช่องทางรัก นำพามันไปอย่างเชื่องช้าในช่วงแรกและค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนยังเร็วและแรงไม่พอ คนใต้ร่างจึงพลิกตัวมาเป็นฝ่ายขยับโยกเสียเอง
เสียงครางหวานหูดังสลับกับเรียกชื่อเขาอย่างกระท่อนกระแท่น ยิ่งพาใจชายหนุ่มให้เตลิด แรงกระแทกกระทั้นพาให้หญิงสาวหัวสั่นหัวคลอน จนกระทั่งถึงจุดสูงสุด น้ำทิพย์ก็ได้พร่างพรมชโลมดอกไม้ให้ชุ่มฉ่ำอิ่มเอม
นลินทรามองหญิงวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดไม่ถึง
ภาพจำที่เธอมีต่อฉัตรฉาย มารดาของนพฤทธิ์นั้นคือคุณนายผู้ร่ำรวย แต่งตัวหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ และชอบเข้าสังคม แต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้กลับไม่มีภาพเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
ฉัตรฉายอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว ผมที่เคยดัดเป็นลอนหลวม ๆ ประบ่า บัดนี้ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยหนังยางธรรมดาอย่างเรียบง่าย ใบหน้าไร้สีสันของเครื่องสำอาง สีหน้าแววตาที่เคยมองตนอย่างดูแคลน วันนี้กลับราบเรียบ นิ่งสงบเหมือนไม่ใช่คนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่เพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน
นลินทราปล่อยให้คนในครอบครัวของเขาพูดคุยกันไป โดยที่ตนนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างนพฤทธิ์ ส่วนใหญ่เรื่องที่พวกเขาคุยกันก็เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของแต่ละคน เหมือนอัปเดตข่าวสารระหว่างกันแค่นั้น
“ผมกับนิ้งคุยกันไว้ว่าจะแต่งงานกันช่วงต้นปีหน้าครับคุณแม่ เอาไว้ได้วันที่แน่นอนแล้วผมจะมาบอกอีกทีนะครับ”
หญิงสาวหันไปมองหน้าแฟนหนุ่มของตนทันที เธอไปคุยเรื่องแต่งงานกับเขาเมื่อไรกัน เพราะเคยบอกเขาไว้แล้วว่าตนยังไม่พร้อมแต่งงานตอนนี้ อยากทำงานเก็บเงินไปสักพักรอให้น้องชายเรียนจบ ได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง และกลับมาอยู่ดูแลบิดามารดาก่อนเธอถึงจะวางใจแต่งงานได้
“ก็ดีแล้ว เราน่ะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แม่ก็อยากให้เราเป็นฝั่งเป็นฝาสักที” ฉัตรฉายพูดไปยิ้มไป ก่อนหันมาพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้