นพฤทธิ์นั่งดูรูปถ่ายแฟชั่น และรูปถ่ายประกอบละครเรื่องต่าง ๆ ของดาราสาวคนหนึ่งที่ฝ่ายโฆษณาของบริษัทส่งมาให้ทางอีเมล สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มเรียบเฉย ไม่ปรากฏความรู้สึกใด ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดกับคนที่กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานว่า
“ก็โอเคนะครับ บุคลิกและรูปลักษณ์เขาดูเปรี้ยวดี เหมาะกับน้ำส้มผสมเลมอนของเรา แต่เขาดังมากใช่ไหม”
“ดังมากค่ะ ถึงจะเป็นนางร้ายแต่แฟนคลับเธอมีไม่น้อยเลย คนชอบคุณนิ้งเยอะมากค่ะ”
“งั้นก็ไม่มีปัญหา ถ้าเขาไม่มีเสียงในด้านลบ ผมก็โอเค”
“ไม่มีแน่นอนค่ะ เห็นว่าตัวจริงคุณนิ้งเธอน่ารักอยู่ ร้ายแค่ในละครเท่านั้นแหละ” กรวี เลขานุการของนพฤทธิ์เชียร์อีกฝ่ายอย่างออกนอกหน้าจนผู้เป็นเจ้านายได้แต่ยิ้ม
“งั้นก็เรียกมาเซ็นสัญญาได้เลย เรื่องค่าตัวที่ทางนั้นเรียกมาผมอนุมัติ”
“รับทราบค่ะบอส” กรวีเดินออกจากห้องทำงานไปอย่างเริงร่า
ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันมาสนใจกับคอมพิวเตอร์ตรงหน้าต่อ เขาเลื่อนดูรูปของนักแสดงสาวที่ชื่อว่านลินทรา ณัฐฐานันท์อยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นพิมพ์ชื่อของหญิงสาวลงในช่องค้นหาของกูเกิ้ลเพื่อหาข่าวของอีกฝ่ายว่าไม่มีชื่อเสียงในด้านลบจริงหรือไม่
เขาไม่ค่อยรู้จักดารานักแสดงเท่าไรนัก จึงไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ละครตามช่องต่าง ๆ ยิ่งไม่เคยดู เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องหาข้อมูลด้วยตัวเองสักหน่อย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่ของเฟรชลูปที่เป็นน้ำส้มผสมเลมอนนี้ เขาเป็นคนรับผิดชอบ ดังนั้นจึงไม่ต้องการเห็นความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น
สามเดือนผ่านไป
นลินทราลืมตาตื่นตอนเช้าพร้อมกับอาการปวดศีรษะอย่างหนัก หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นพลางยกมือขึ้นคลึงขมับทั้งสองข้างเบา ๆ แล้วก็ต้องลดมือลงตามเดิมเพราะไม่ช่วยอะไร เธอเหลือบตามองนาฬิกาบนหัวเตียง อีกสองชั่วโมงจะได้เวลาที่นัดกับทีมงานแล้ว จึงฝืนตัวเองลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน
“นิ้งจ๋า เสร็จรึยัง ยู้ฮู” เสียงของบุ๋ม พี่เลี้ยงที่คอยดูแลจัดการตารางงานให้เธอ ตะโกนเรียกมาจากหน้าห้องน้ำ
“เสร็จแล้วค่ะพี่บุ๋ม รออีกแป๊บนะ”
“งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะ”
“โอเคค่ะพี่” เธอตอบเสร็จก็ยืนเอนตัวพิงผนังเอาไว้เพราะรู้สึกหน้ามืด และไร้เรี่ยวแรง อาการครั่นเนื้อครั่นตัวเริ่มเกิดขึ้นชัดกว่าตอนตื่นนอนเมื่อครู่
“บ้าจริง มาเป็นไข้อะไรตอนนี้เนี่ย วันนี้มีถ่ายโฆษณาซะด้วยสิ”
วันนี้นลินทรามีถ่ายโฆษณาสินค้าเป็นน้ำผลไม้ยี่ห้อเฟรชลูป ทุกอย่างเตรียมการพร้อมไว้หมดแล้ว ฉะนั้นเธอจะผิดนัดไม่ได้ เพราะหากแจ้งทีมงานไปว่าตนป่วยกะทันหันแล้วทำให้งานทุกอย่างต้องหยุดชะงัก จะต้องทำให้หลายคนไม่พอใจแน่ และที่สำคัญ หลายคนอาจจะคิดว่าเธอจงใจเบี้ยวงานโดยใช้อาการป่วยมาอ้าง
ในเมื่อเธอยังเดินไหว อย่างไรเสียเธอก็ต้องไปที่กองถ่ายให้ได้
เสียงเคาะประตูห้องทำงานตามมาด้วยร่างของเลขานุการคู่ใจเดินยิ้มร่าเข้ามาในห้อง
“วันนี้คุณซีจะไปดูที่กองถ่ายโฆษณาไหมคะ” กรวีมองผู้เป็นเจ้านายด้วยสายตาคาดหวัง ขณะที่นพฤทธิ์มองอีกฝ่ายอย่างรู้ทันจึงทำทีเป็นเลิกคิ้วขึ้น แสร้งไม่เข้าใจความต้องการของลูกน้อง
“มีอะไรน่าดู เห็นว่าถ่ายที่สวนลุมใช่ไหม ร้อนจะตาย ไม่ไปหรอก”
“อ้าว คุณซีจะไม่ไปดูหน่อยหรือคะ กุ๊กว่าน่าจะไปนะคะเพราะจะได้รู้ว่าเขาถ่ายทำกันยังไง อะไรแบบนี้”
นพฤทธิ์แสร้งทำเป็นคิดอยู่สักพักก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่ไปดีกว่า ถ่ายเสร็จผมก็ได้ดูอยู่ดีนั่นแหละ”
กรวีหน้าหงอยลงทันที “ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าคุณซีเปลี่ยนใจอยากไปดูก็บอกกุ๊กด้วยนะคะ”
นพฤทธิ์พยักหน้าแล้วสนใจกับงานตรงหน้าต่อ กรวีจึงเดินออกจากห้องไป
คล้อยหลังเลขาฯ แล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มขำให้กับความบ้าดาราของกรวี ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเลขาฯ ของตนชื่นชอบนลินทรามากแค่ไหน เพราะรูปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายยังเป็นรูปของดาราสาวคนนั้นเลย
ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็กดอินเตอร์คอมไปหาเลขาฯ ที่อยู่หน้าห้อง
“เตรียมตัวไว้นะคุณกุ๊ก อีกสิบนาทีเราจะไปดูเขาถ่ายโฆษณากัน”
หลังจากเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงกรี๊ดเบา ๆ ของกรวี ตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างร่าเริง
“รับทราบค่ะบอส!”
นลินทราในชุดเสื้อวอร์มกับกางเกงขาสั้นต้องเดินกลับเข้าร่มมานั่งพักหลังจากที่ไปกระโดดโลดเต้นอยู่กลางแดด และวิ่งไปวิ่งมาอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง เรี่ยวแรงของเธอหดหายจนแทบไม่สามารถฝืนยิ้มให้เริงร่าอย่างมีความสุขได้อีก เพราะอาการครั่นเนื้อครั้นตัวและปวดศีรษะเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีทั้งที่กินยาแก้ไข้ไปสองเม็ดแล้ว
“นิ้งจ๊ะ ผู้กำกับเรียกไปคุยด้วยน่ะ” บุ๋มเดินมาบอก
“ค่ะพี่ เดี๋ยวนิ้งไป” เธอตอบรับ
“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่านิ้ง พี่รู้สึกว่าเราไม่ค่อยเต็มที่กับงานเลย คือคอนเซ็ปต์มันต้องสดชื่นแจ่มใส ต้องร่าเริงให้ถึงที่สุด แต่ถ่ายไปสองรอบพี่ก็ยังรู้สึกได้ว่าสีหน้าของนิ้งยังสดชื่นไม่พอน่ะ”
นลินทราถอนหายใจแผ่ว จะให้เธอสดชื่นแจ่มใสได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้แค่แรงจะลุกขึ้นเดินเธอยังแทบไม่มี
“นิ้งปวดหัวน่ะพี่ เป็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“เออ พี่ก็ปวดเหมือนกัน ก็อากาศมันร้อนนี่นา” บุ๋มใช้พัดพลาสติกพัดให้ทั้งตัวเองและดาราสาว
“นิ้งไปหาผู้กำกับก่อนนะคะ” ขืนไม่รีบไปเธอคงโดนบ่นแน่ เพราะดูจากสีหน้าผู้กำกับแล้วคงไม่พอใจเท่าไรที่เธอทำไม่ได้ดั่งใจเขา
และเป็นดังคาด เมื่อหญิงสาวไปถึงก็ถูกผู้กำกับโล้งเล้งใส่อย่างเต็มที่ นลินทรายืนให้อีกฝ่ายบ่นอยู่สักพักโดยไม่โต้เถียง เมื่อเขาโวยวายจบแล้วเธอจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ขอโทษด้วยค่ะ คราวนี้นิ้งจะตั้งใจให้มากขึ้น”
นลินทรายืนทำสมาธิทบทวนบทบาทที่ตนได้รับในโฆษณาชิ้นนี้อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงให้สัญญาณของผู้กำกับ เธอจึงใส่เรี่ยวแรงลงไปทั้งหมดอย่างเต็มที่
เอาวะ! ถ้าเป็นลมหรือสลบไปก็หามฉันส่งโรงพยาบาลด้วยก็แล้วกัน!
นพฤทธิ์กับกรวียืนปะปนอยู่กับทีมงานโดยไม่ได้บอกให้ใครล่วงรู้ว่าตนคือใคร ชายหนุ่มมองดาราสาวที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่กลางแดดพร้อมรอยยิ้มสดใสด้วยสายตาชื่นชม เพราะตอนที่เธอถูกผู้กำกับดุนั้น หากเป็นดาราคนอื่นอาจชักสีหน้าไม่พอใจแล้วก็เป็นได้ แต่หญิงสาวคนนี้กลับยืนนิ่งรับฟังคำตำหนิอย่างสงบ ผิดกับภาพลักษณ์ร้ายกาจที่ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง
“สงสารคุณนิ้งจังเลยค่ะ โดนดุเสียงดังขนาดนั้น เป็นกุ๊กคงร้องไห้แล้ว”
“คนเขาเป็นมืออาชีพ เขาไม่มานั่งคิดเล็กคิดน้อยหรอก งานก็คืองาน”
นพฤทธิ์พูดพลางมองร่างเพรียวบางที่กำลังเริงร่าท้าแสงแดดไม่วางตา จนกระทั่งโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาสั่นครืดคราดอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องเดินเลี่ยงออกไปยืนอยู่หลังเต็นท์ของทีมงานโดยเอาหลังพิงต้นไม้เอาไว้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นลินทราเสร็จสิ้นการถ่ายทำพอดี
“ดีมาก! มันต้องอย่างนี้สิ สดชื่น แจ่มใส มีชีวิตชีวาและพลังงานเต็มเปี่ยม ทำได้ดีแล้ว เอาละพักกองก่อน”
หลังจากได้ยินเสียงผู้กำกับสั่งคัตและพักกองแล้ว นลินทราจึงเดินกลับเข้ามาในร่ม และเป็นเพราะอยู่กลางแดดจ้ามานาน พอต้องเดินเข้าที่ร่มจึงทำให้ภาพเบื้องหน้ามืดลงไปเล็กน้อย เธอได้ยินเพียงเสียงของบุ๋มดังอยู่ใกล้ ๆ
“เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำกับผ้าเย็นมาให้นะ”
นลินทราตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะแข็งใจเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเพราะตรงนั้นเธอมองเห็นเพียงเก้าอี้สีแดงตัวหนึ่งวางอยู่ เวลานี้สายตาของเธอพร่าเบลอไปหมดแล้ว
หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงอาการหน้ามืดก็จู่โจมเข้ามาทันทีจนต้องหลับตานิ่งพร้อมกับถอดเสื้อวอร์มออกไปด้วยจนเหลือเพียงเสื้อยืดแขนสั้น ลมเย็นพัดผ่านผิวกายไปวูบหนึ่งแต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเย็นสบาย เพราะเวลานี้เธอรู้สึกได้แค่ว่ารอบตัวกำลังหมุนติ้วไปมา เสียงจอแจรอบกายก็ค่อย ๆ เงียบลงจนในที่สุดสติสัมปชัญญะก็ดับวูบ
นพฤทธิ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาพิงขาของตน ครั้นพอก้มลงมองก็ต้องตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือเมื่อเห็นว่าบางสิ่งที่ว่านั้นคือผู้หญิงคนหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด เธอคือดาราสาวคนนั้น นลินทรา!
“เอ่อ...คุณครับ...คุณ...นิ้ง”
เขาชั่งใจว่าจะเรียกเธอด้วยชื่อเต็มหรือชื่อเล่นดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียกชื่อเล่นของเธอไป ทว่าดูเหมือนหญิงสาวไม่ได้ยินเสียงของเขา เขาเองก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวเธอจะตกใจเอาได้
แต่นลินทรากลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงตัดสินใจสะกิดเรียกให้เธอรู้ตัวว่ากำลังนั่งพิงขาเขาอยู่ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้สะกิดบอกเธอ จู่ ๆ นลินทราก็เอนตัวไปด้านหลังราวกับจะทิ้งตัวลงไป ด้วยความตกใจเขาจึงรีบย่อตัวลงใช้แขนรองรับตัวของเธอเอาไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่หญิงสาวจะล้มหงายหลังไปกับพื้นหญ้า
เวลานั้นเองเขาถึงได้เห็นความผิดปกติของนลินทรา เพราะเธอไม่มีสติรับรู้แล้ว อีกทั้งอุณหภูมิร้อนผ่าวที่แผ่มาจากร่างกายของหญิงสาวนั้น มันร้อนเสียจนเขายังตกใจ
“เวรละ ทำไมตัวร้อนขนาดนี้เนี่ย นี่พวกคุณ! คุณนิ้งสลบไปแล้ว”
นพฤทธิ์ตะโกนบอกทีมงาน สองคนแรกที่ปรี่เข้ามาหาก่อนใครคือบุ๋มกับกรวี ซึ่งพอเห็นว่านลินทราสลบไสลไม่ได้สติต่างก็พากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทีมงานคนอื่นทำท่าจะปรี่เข้ามาหาด้วย แต่ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดีที่จะให้ทุกคนเข้ามารุมล้อมคนป่วย จึงตัดสินใจช้อนอุ้มตัวหญิงสาวเอาไว้แล้วพูดว่า
“ผมจะพาคุณนิ้งไปโรงพยาบาล คุณกุ๊กมากับผม คนไหนเป็นผู้จัดการของคุณนิ้งครับ”
“ดิฉันค่ะ” บุ๋มยกมือขึ้น
“คุณมากับผมด้วย” เขาพูดจบก็อุ้มนลินทราเดินออกจากบริเวณนั้นทันทีท่ามกลางความสับสนงุนงงของทุกคนในที่นั้น
“เดี๋ยวนะ แล้วคุณเป็นใคร มาพาน้องนิ้งออกไปอย่างนี้ไม่ได้นะ” ทีมงานคนหนึ่งกลัวว่าชายแปลกหน้าคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพจึงทำท่าจะเข้าไปขวางไว้ กรวีจึงรีบหันมาพูดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ตนดีลงานด้วยทันที
“คุณนุ่มช่วยบอกทีมงานทีนะคะว่ากุ๊กกับคุณซีจะรีบพาคุณนิ้งไปโรงพยาบาลค่ะ” พูดจบก็วิ่งตามเจ้านายของตนไปติด ๆ คนอื่นจึงหันไปถามหญิงสาวที่ชื่อนุ่มทันทีว่าผู้ชายที่อุ้มดาราสาวออกไปจากกองถ่ายนั้นคือใคร และคำตอบที่ได้รับก็ทำเอาทุกคนได้แต่อ้าปากค้าง
“คุณซีคือเจ้าของเฟรชลูปน่ะ”
หลังจากที่นพฤทธิ์ส่งตัวนลินทราเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินมานั่งบนเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้พลางถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
เขาก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง ความร้อนจากร่างกายของหญิงสาวตอนที่เขาอุ้มเธอนั้นราวกับเผื่อแผ่แทรกซึมเข้ามาในมือของเขาด้วย แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ไปแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่าความร้อนผ่าวนั้นยังติดอยู่บนผิวของเขาอยู่
“ตายแล้ว น้องนิ้งจะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย มิน่าละ” บุ๋มพึมพำเบา ๆ พลางเดินไปเดินมา
“ทำไมหรือคะคุณบุ๋ม” กรวีถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดต่อ
“ก็วันนี้ถ่ายไปสามสี่รอบแล้วแต่ก็ยังไม่ถูกใจผู้กำกับค่ะ เพราะดูเหมือนน้องนิ้งไม่ค่อยเต็มที่กับงานจนถูกผู้กำกับเรียกไปตำหนิ อารมณ์ที่แสดงออกมาตอนถ่ายมันยังไม่ได้ตามที่ต้องการน่ะ”
“แล้วเขาไม่ได้บอกหรือครับว่าป่วยอยู่ ความจริงแล้วป่วยหนักขนาดนี้ไม่น่าจะมาถ่ายงานนะ ตัวเขาร้อนมากเลย นี่ถ้ารักษาไม่ทันเวลาอาจช็อกได้เลยนะครับ”
บุ๋มมีสีหน้าไม่ดีนักก่อนตอบ “เขาไม่ได้บอกค่ะ เมื่อเช้าบุ๋มเห็นว่าน้องนิ้งเธอดูเนือย ๆ ก็คิดว่าคงแค่เหนื่อยที่ถ่ายละครติดกันหลายวันจนไม่ได้พักก็เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ วันนี้ตอนที่ถ่ายไปสามครั้งแล้วยังไม่ดีพอ บุ๋มถามเขาว่าเป็นอะไรรึเปล่า น้องเขาก็บอกแค่ว่าปวดหัวมาก บุ๋มก็คิดว่าคงเพราะอากาศร้อน ไม่คิดว่าจะป่วยหนักขนาดนี้”
นพฤทธิ์ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย “ความจริงน่าจะรีบบอกทีมงานว่าป่วยอยู่ จะได้เลื่อนวันถ่ายออกไป ไม่ใช่ฝืนตัวเองมาถ่ายงานกลางแดดจนเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้”
“น้องนิ้งเธอมักเกรงใจทีมงานแบบนี้เสมอแหละค่ะ เธอคงเห็นว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว แต่จู่ ๆ จะให้บอกว่าลาป่วย ไปไม่ได้แล้วทำให้คนอื่นเสียเวลา ตารางงานต่าง ๆ ก็จะเสียไปด้วย เธอก็เลยต้องมาค่ะ”
จู่ ๆ นพฤทธิ์ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนที่เขามองเธอกระโดดโลดเต้นอยู่กลางแดดนั้น สีหน้าแววตาและการแสดงออกต่าง ๆ ล้วนมองไม่ออกเลยว่าเธอกำลังป่วยหนัก ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงคนนี้ฝืนร่างกายตัวเองเพื่องานจนไม่สนใจสุขภาพของตนเลยหรือ
“คุณนิ้งนิสัยดีมากเลยค่ะ ไม่เสียแรงที่กุ๊กชอบมาตลอด” กรวีทำหน้าปลาบปลื้ม
“น้องนิ้งเธอน่ารักค่ะ แทบไม่เคยมีปัญหาเรื่องงานกับใครเลย”
บุ๋มรีบอวยเด็กในความดูแลของตนทันที เพราะรู้ว่าชายหนุ่มที่นั่งทำหน้านิ่งขรึมอยู่ตรงหน้าคือนพฤทธิ์ ผู้ว่าจ้างในการถ่ายทำโฆษณาครั้งนี้
นพฤทธิ์หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบธนบัตรในนั้นยื่นให้เลขานุการพร้อมกับพูดว่า
“คุณกุ๊กไปซื้อน้ำมาให้ผมหน่อยสิ แล้วคุณสองคนจะซื้ออะไรกินก็เชิญได้เลยนะ เอาเงินผมนี่แหละ”
“ได้ค่ะบอส” กรวีรับเงินมาแล้วเดินห่างออกไป บุ๋มจึงรีบเดินตามไปด้วยเพราะไม่กล้าอยู่กับผู้ว่าจ้างเพียงลำพัง
คล้อยหลังหญิงสาวทั้งสอง แพทย์ผู้ทำการรักษาก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินที่นลินทราเข้าไปก่อนหน้านี้ นพฤทธิ์จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปถามอาการของอีกฝ่าย
“คุณนิ้งเธอเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้มีไข้สูงมากครับ ทางเราได้ฉีดยาลดไข้และให้น้ำเกลือแล้ว คงต้องแอดมิตที่นี่เพื่อดูอาการอีกสักสองสามวัน คนไข้ความดันต่ำมากด้วย น่าจะมาจากสาเหตุอ่อนเพลียสะสมและพักผ่อนน้อย ส่วนอาการอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”
นพฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบบอกกับแพทย์
“ผมรบกวนให้คุณหมอจัดให้เธอพักห้องพิเศษเลยนะครับ”
“ได้ครับ”
“แล้วจะเข้าเยี่ยมได้ตอนไหนครับ” อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่านลินทราไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่ก็ยังอยากเข้าไปดูอาการของเธอสักหน่อยว่าไข้ลดลงบ้างหรือยัง
“ผมจะให้พยาบาลมาบอกก็แล้วกันครับเพราะต้องจัดการเรื่องห้องพักก่อน แต่คิดว่าน่าจะไม่เกินสิบห้าหรือยี่สิบนาทีก็คงเข้าเยี่ยมได้แล้ว”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ชายหนุ่มยกมือไหว้แพทย์ที่ทำการรักษา เมื่ออีกฝ่ายเดินไปแล้วเขาจึงนั่งลงที่เดิมเพื่อรอเวลาเข้าเยี่ยม และเขาก็รู้ว่าอีกสักพักจะมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากห้องฉุกเฉินขึ้นไปยังห้องพักที่อยู่ด้านบน จึงรอขึ้นไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลด้วยเสียเลย
กรวีกับบุ๋มเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวดสำหรับเจ้านาย นพฤทธิ์บอกเรื่องที่ตนคุยกับแพทย์เมื่อครู่ให้ผู้จัดการส่วนตัวของนลินทราฟัง ทั้งสามคนจึงนั่งรอเพื่อจะขึ้นไปยังห้องพักพร้อมกับเจ้าหน้าที่
“ผมให้คุณนิ้งพักห้องพิเศษนะครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะเป็นคนออกให้เอง”
“อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะคุณซี ทางเราก็มีสวัสดิการตรงนี้ให้นักแสดงของเราอยู่” บุ๋มรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ถือเสียว่าคุณนิ้งเขาป่วยระหว่างการทำงานละกัน ว่าแต่ คุณพ่อคุณแม่ของคุณนิ้งทราบแล้วใช่ไหมครับ” เขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงถามกับผู้จัดการของดาราสาว
“จริงสิ บุ๋มก็ลืมไปเลยค่ะ ยังไม่ได้โทร. ไปบอกเลยเพราะเมื่อกี้มัวแต่โทร. ไปแจ้งให้พี่จินนี่กับทีมงานทราบ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวบุ๋มจะโทร. ไปบอกพวกท่านเอง”
นพฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ พอดีกับที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก ตามมาด้วยเตียงคนไข้ถูกเข็นออกมาและมีพยาบาลหนึ่งคนตามประกบ บุ๋มเห็นนลินทรายังคงสลบไสลอยู่จึงเอ่ยปากถามกับพยาบาลพลางเดินไปพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่เข็นเตียงด้วย
“เขาฟื้นขึ้นมาบ้างรึยังคะ”
“ได้สติขึ้นมานิดหนึ่งค่ะตอนเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนของร่างกาย แต่หลังจากนั้นก็หลับอย่างเดียว”
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพาทุกคนขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสิบห้า นลินทราได้พักที่ห้องหมายเลขหนึ่งห้าศูนย์สี่ หลังจากจัดการให้คนป่วยได้นอนบนเตียงเสร็จเรียบร้อย พยาบาลก็เข้ามาดูที่เสาน้ำเกลือ จากนั้นก็ออกจากห้องไป
นพฤทธิ์เดินไปยืนข้างเตียง กำลังจะยื่นมือไปแตะแขนของหญิงสาวเพราะอยากรู้ว่าอุณหภูมิของร่างกายเธอลดลงบ้างหรือยัง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าการกระทำแบบนี้ไม่สมควรเท่าไร จึงหันไปบอกกับบุ๋มแทน
“เขายังตัวร้อนอยู่ไหมครับ”
บุ๋มจึงใช้มือแตะแขนและหน้าผากของนลินทราก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ลดลงไปบ้างแล้วค่ะ”
นพฤทธิ์พยักหน้าให้อีกฝ่ายพลางมองใบหน้าอ่อนใสของดาราสาวที่กำลังหลับสนิท ใครจะเชื่อว่าคนที่นอนซมบนเตียงอยู่ตอนนี้จะเป็นคนเดียวกับหญิงสาวที่ยิ้มร่าเริงอยู่กลางแดดคนนั้นได้...ช่างไม่รักตัวเองเอาเสียเลย
วันต่อมา ขณะที่นลินทรากินมื้อเช้าและกินยาเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเอนหลังพัก หญิงสาวอาการดีขึ้นมากแล้วเพราะไข้ลดลง เนื่องจากเมื่อวานและเมื่อคืนที่ผ่านมา พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ทุกสี่ชั่วโมงพร้อมกับกินยาลดไข้ไปด้วย กระนั้นก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง
เธอกึ่งนั่งกึ่งนอนดูโทรทัศน์เพราะนอนไม่หลับ และไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังไม่อยากลุกเดินไปไหนเพราะร่างกายยังคงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนัก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นนลินทราจึงหันไปมอง เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาในห้องแล้วมายืนอยู่ปลายเตียง เธอจึงต้องลุกขึ้นมานั่งให้ดีตามมารยาทเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร แต่คิดว่าเขาน่าจะเป็นตัวแทนของบริษัทที่ตนเป็นพรีเซ็นเตอร์มาส่งช่อดอกไม้เพื่อเยี่ยมไข้กระมัง
“เอ่อ...คุณนิ้งอาการเป็นยังไงบ้างครับ” เขาวางช่อดอกไม้ไว้บนโต๊ะกลางของชุดรับแขกแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้เธอมากนัก
“ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมาจาก...” เธอเว้นการพูดไว้เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายตอบ
“ผม...ผมมาจากเฟรชลูปครับ” เขายิ้มให้นิด ๆ จึงทำให้บรรยากาศดูเป็นกันเองขึ้นทันที
“อ๋อ ขอบคุณมากนะคะ” เธอยิ้มตอบ เห็นชายหนุ่มยืนมองหน้าเธออยู่อย่างนั้นเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมาทำให้เธออดประหม่าไม่ได้ เพราะตอนนี้เธออยู่กับเขาเพียงลำพังแค่สองคนในห้อง จนในที่สุดชายหนุ่มก็กระแอมขึ้นเบา ๆ แล้วพูดว่า
“ผมบอกทีมงานให้แล้วละว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งถ่ายทำอะไรจนกว่าคุณจะหายดี เพราะฉะนั้นคุณพักผ่อนให้เต็มที่ได้เลยไม่ต้องห่วงเรื่องงาน”
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันคิดว่าไม่เกินสามสี่วันนี้ก็คงหายดีแล้วละ” เธอบอกเขาไปด้วยความเกรงใจ เพราะไม่รู้ว่าการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาเมื่อวานนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง ไหนจะต้องมีการถ่ายภาพนิ่งต่าง ๆ อีก
จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็นั่งบนโซฟาแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณโหมงานมากเกินไปนะ หมอยังบอกเลยว่าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ และร่างกายอ่อนเพลียสะสม แล้วเมื่อวานที่ถ่ายโฆษณากันทำไมคุณไม่บอกทีมงานล่ะว่าคุณป่วยอยู่ ตัวคุณร้อนจัดขนาดนั้นถ้าเป็นคนอื่นคงลุกไม่ขึ้นไปแล้ว แต่คุณยังวิ่งไปวิ่งมาอยู่กลางแดดอีก ถ้าเกิดช็อกขึ้นมาจนเป็นอันตรายต่อชีวิตมันไม่คุ้มกันเลยนะครับ”
นลินทราเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างเล็กน้อยที่จู่ ๆ ตนก็ถูกเทศนายาวเหยียดจากผู้ชายแปลกหน้า เธอมองหน้าเขาไม่วางตา เขาเองก็มองเธออยู่เช่นกัน แต่แล้วชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายละสายตาออกไปก่อนพร้อมกับกระแอมขึ้นเบา ๆ อีกครั้ง
“ผมต้องขอโทษด้วยที่อาจจะพูดมากไปหน่อย แต่เมื่อวานผมเห็นว่าคุณป่วยหนักมากจริง ๆ แล้วยังอุตส่าห์ฝืนไปทำงานอีกเพียงเพราะว่าคุณเกรงใจทีมงานคนอื่น ๆ ผมก็เลยไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรน่ะ”
คงเพราะน้ำเสียงของเขาอ่อนลง เธอจึงไม่คิดถือสาหาความกับเขา แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าชายหนุ่มรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเพราะเธอเกรงใจทีมงาน จึงต้องฝืนแบกสังขารออกไปถ่ายโฆษณา
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันเกรงใจทีมงาน ถึงได้ไม่บอกคนอื่นว่าป่วย”
เขาถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “คุณบุ๋มบอกผมน่ะ”
“อ๋อ” เธอตอบรับแค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เห็นว่าเขามองหน้าเธอพลางยิ้มกว้างขึ้นจึงอดถามไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่าคะ” ถามเสร็จเธอก็ก้มมองสำรวจตัวเองว่ามีจุดไหนไม่เรียบร้อยหรือเปล่า ก็ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้น
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่รู้สึกว่าตัวจริงกับในทีวีแตกต่างกันลิบลับเลย”
นลินทราขมวดคิ้วทันทีตามสัญชาตญาณ เพราะการที่เขาพูดแบบนี้ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่...หรือเขาจะบอกว่าตอนเธอหน้าสดไร้เครื่องสำอาง ดูไม่สวยเหมือนเป็นคนละคนกับตอนแต่งหน้า
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิครับ ผมแค่คิดว่าคุณนิ้งในทีวีน่ะดูร้าย ๆ ใช่ไหมล่ะ แต่ตัวจริงคุณหน้าอ่อนจนดูเด็กมากเลย”
ฟังเขาพูดจบเธอก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวแปลก ๆ ทั้งยังวางหน้าไม่ถูกอีกด้วย อาจเพราะนี่ไม่ใช่การทำงาน และเธอก็ไม่รู้จักผู้ชายคนนี้กระมัง จึงไม่รู้ว่าจะต้องโต้ตอบไปอย่างไร แต่ที่รู้คือเธอเห็นเขาหัวเราะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“ผมไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่า พักผ่อนเถอะครับแล้วพรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่ อ้อใช่! ผมชื่อซีนะ” เขาพูดจบก็ยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนป่วยได้แต่นั่งงุนงงสับสนอยู่เพียงลำพัง
นพฤทธิ์เดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยโดยที่รอยยิ้มยังอยู่บนใบหน้า นึกถึงเวลาที่นลินทรานั่งมองเขาตาแป๋วตอนที่ตนเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแล้วก็อดขำไม่ได้
เมื่อครู่ตอนที่เขาบอกว่าตัวจริงของเธอกับในจอแตกต่างกันนั้น หญิงสาวคงคิดว่าเขาหมายความว่าเธอไม่สวยเหมือนในโทรทัศน์กระมัง ซึ่งความจริงแล้วมันตรงกันข้ามเลยต่างหาก เวลาที่เธอไม่ได้แต่งหน้า เปลือยผิวอ่อนใสอย่างนี้สำหรับเขาแล้วเธอดูดีกว่าตอนแต่งหน้าเสียอีก
พอเขาพูดว่าเธอหน้าอ่อนจนดูเหมือนเด็ก นลินทราคงไม่รู้ตัวกระมังว่าตอนนั้นตัวเองหน้าแดงก่ำจนถึงใบหูแล้ว
“น่ารักดีแฮะ”
และพอเห็นเธอเขินแบบนั้นเขาก็อดยิ้มขำไม่ได้ จึงต้องรีบออกมาจากห้องเสียก่อนที่ความเขินของเธอจะกลายเป็นความโกรธ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธออยู่
พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ละกัน นลินทรา
คล้อยหลังนพฤทธิ์ไปไม่เท่าไร บุ๋มก็เปิดประตูห้องพักคนไข้เข้ามาโดยสายตาจับจ้องอยู่ที่ช่อดอกไม้ช่อใหญ่บนโต๊ะกลางของชุดรับแขก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของใคร เพราะเมื่อครู่ตนเพิ่งเห็นชายหนุ่มเดินยิ้มออกไปจากห้องนี้ด้วยตาของตัวเอง
“คุณซีเขามาเยี่ยมนิ้งใช่ไหมเมื่อกี้” บุ๋มถาม นลินทราจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบ
“เขามานานรึยัง เมื่อกี้พี่เห็นเขาเดินออกไปจากห้องแต่ไม่กล้าทัก”
“ก็ไม่นานเท่าไรหรอก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาเป็นคนของเฟรชลูปใช่ไหมพี่บุ๋ม”
“ใช่ แต่ไม่ใช่แค่คนของเฟรชลูปธรรมดานะจ๊ะ เขาเป็นเจ้าของเฟรชลูปเลยจ้ะ”
“พี่ว่าไงนะ คุณซีเนี่ยน่ะหรือเป็นเจ้าของเฟชรลูป” นลินทราถามย้ำเพราะคิดว่าตัวเองฟังผิด
“ใช่แล้ว และที่สำคัญก็คือคุณซีเป็นคนอุ้มนิ้งจากในสวนพาขึ้นรถแล้วขับมาส่งโรงพยาบาล”
“ไม่จริงน่า” นลินทราได้แต่อ้าปากค้างและทิ้งตัวลงไปบนเตียงอย่างหมดแรงทันทีที่ฟังจบ