บัลลังก์หุ่นเชิด
เหมันต์กาลเคลื่อนคล้อย ความหนาวเย็นเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณเมืองต้าหยาง 2 ปีแล้ว ที่เมืองนี้เข้าสู่ความสงบสุข เนื่องจากไฟสงครามได้มอดดับลง เศรษฐกิจกลับมาเฟื่องฟู ชาวเมืองลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ผู้คนต่างเทิดทูนเจินฮุ่ยหมิงในฐานะแม่ทัพหลวงผู้นำชัยชนะ และความสงบสุขมาให้แก่ดินแดนต้าหยาง
"ลมหนาวที่สองพัดเข้าสู่ต้าหยางแล้ว ผู้คนยังไม่ลืมวีรกรรมของบุรุษนามว่าเจินฮุ่ยหมิงแม้สักนิด ชาวเมืองเทิดทูนมันเสียยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก" หญิงชราในชุดผ้าไหมทองคำ ปักประดับด้วยไข่มุก เครื่องประดับราคาแพงเข้าชุดกับอาภรณ์ที่นางสวม ส่งให้หญิงชราผู้นี้ยิ่งดูมีบารมียิ่ง ฉินเหยาไป่เอือมระอากับลูกชายคนโตเหลือเกิน นางสั่งให้เขาปลดแม่ทัพเจินตั้งแต่ตอนที่แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ นำชัยชนะจากสงครามมาได้ แต่ฉินจื่อเหลียนก็ดื้อด้านและโง่เขลาเกินกว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของนาง
"หากท่านแม่เลือกช้าขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเสียตั้งแต่แรก ท่านจะไม่มีทางมานั่งเสียใจเช่นนี้เลย" ลูกชายคนเล็กว่าพลางยกแก้วชาขึ้นดื่ม เขาปรารถนาที่จะขึ้นครองบัลลังก์เสียยิ่งกว่าอะไร
"ตอนนั้นเจ้ายังเล็กนัก ฉินจื่อเหมาะสมมากกว่า ข้าจึงได้ตัดสินใจเลือกเขา อีกอย่างลูกชายคนโตก็ต้องได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทสิ"
"สุดท้ายแล้ว พี่ชายแสนโง่เขลาของข้า ก็เลือกที่จะไปสานสัมพันธไมตรีกับคนตระกูลเจิน ทั้งที่ท่านแม่พยายามจะกำจัดพวกมัน" ฉินฉื่อเหยา รู้ดีว่าแม่ของเขานั้นเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก จึงได้เลือกที่จะพูดประเด็นนี้ขึ้นมา
หญิงชราเม้มปากแน่น มือเหี่ยวของนางกำแน่นอย่างเจ็บแค้น
"ข้าพลาดเอง ที่ไม่จัดการกับพวกมันเสียให้สิ้นซาก" นึกย้อนไปถึงตอนนั้น ก็เสียดายที่ดันใจอ่อนนึกสงสารเด็กน้อยสองคน จนปล่อยให้พวกมันเติบโตขึ้นมาเป็นเสี้ยนหนามตำอกอยู่แบบนั้น
"พลาดแล้วก็เลือกใหม่ได้" บุตรชายจ้องมองมารดาด้วยสายตามีเลศนัย หญิงชรามองหน้าลูกชายพลันขนลุกซู่ สายตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"
"ท่านแม่ ท่านก็เห็นว่าฉินจื่อไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นฮ่องเต้แม้แต่น้อย คนผู้นั้นเก่งกาจแต่เรื่องกวีกลอน วาดภาพ ยิงธนูใส่เป้านิ่งเท่านั้น" ผู้เป็นมารดาคิดตามสิ่งที่ลูกชายกล่าว และรู้สึกเห็นด้วย
"แต่ฉินจื่อมีแม่ทัพที่เก่งกาจ และดูจะภักดีต่อเขามากเสียด้วย"
"ท่านแม่กำลังหมายถึงแม่ทัพเจินงั้นหรือ" ผู้เป็นมารดามิอาจปฏิเสธฝีมือของบุรุษผู้นี้ได้จริงๆ การที่เขาสามารถนำทัพไปต้านกองทัพตงซานได้ โดยไม่ได้ขอความช่วยเหลือ จากทหารแคว้นพันธมิตรแม้สักคนเดียว นั่นยิ่งย้ำชัดว่า เจินฮุ่ยหมิงผู้นี้ฝีมือสมกับที่ผู้คนยกย่อง
อีกทั้งเขาก็ยังมีความภักดีต่อฉินจื่อเหลียนฮ่องเต้มาก ขนาดว่าในอดีต คนของสองตระกูลนี้เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
แต่เจินฮุ่ยหมิงผู้นี้ก็ยังยินดีทำงานรับใช้ฉินจื่อ และหากว่าเขาคิดจะชิงบัลลังก์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียด้วย แต่เจินฮุ่ยหมิงผู้นี้ก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะทำ
"่ท่านคิดว่าพวกมันจะไม่โกรธแค้นคนตระกูลฉินแม้สักนิดจริงๆ น่ะหรือ" ฉินฉื่อเหยาพูดต่อ
“แม่ไม่คิดว่าพวกมันจะลืมเรื่องในอดีตหรอก แต่เราไม่มีเหตุอะไรให้ปลดเจินฮุ่ยหมิงออกจากตำแหน่งแม่ทัพ” ใจของพระพันปีนั้นอยากจะสั่งประหารคนตระกูลเจินเสียให้สิ้นซากด้วยซ้ำ แต่เพราะคุณงามความดีของแม่ทัพหนุ่มช่างใหญ่หลวงนัก ผลงานการดูแลช่วยเหลือห้องเครื่องในวังหลวงของเจินลี่หลัวก็เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีทางใดเลยที่จะเล่นงานสองพี่น้องตระกูลเจินได้
“หากท่านสั่งให้ฉินจื่อเหลียนจัดการกับพวกตระกูลเจินไม่ได้ เห็นทีว่าข้าจะต้องทำอะไรสักอย่างด้วยตัวของข้าเองเสียแล้ว”
ณ ศาลากลางน้ำ มีชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี สวมผ้าไหมอย่างดีสีทองอร่าม ลายปักของมังกรด้วยไหมสีเงินช่างประณีตและบรรจงยิ่ง เขากำลังนั่งตวัดพู่กันวาดทิวทัศน์ของบริเวณรอบๆ
ที่นี่คือที่ประจำของฉินจื่อเหลียนฮ่องเต้ ด้วยทิวทัศน์ที่งดงาม ผืนน้ำกว้างใหญ่ของสระน้ำซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำจากทะเลสาบนอกวัง ตลอดแนวสระน้ำมีต้นหลิวเรียงตัวเป็นแนวยาวเขียมชอุ่ม เหนือผิวน้ำเต็มไปด้วยดอกบัวงามแต่งแต้มสีชมพู และสีเขียวจากใบบัว
มุมนี้จึงเป็นมุมที่เหมาะแก่การนั่งวาดรูปยิ่งนัก นอกจากจัดการงานในช่วงเช้าแล้ว ฮ่องเต้ผู้มีจิตวิญญาณของจิตรกรอย่างฉินจื่อเหลียน ก็จะใช้เวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายตลอดไปจนถึงเย็น กับการวาดภาพอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ไปขลุกตัวอ่านเขียนบทกลอนในห้องหนังสือเท่านั้น
“คนของแคว้นตงซานเดินขวักไขว่ทั่วต้าหยาง กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก” เจินฮุ่ยหมิงเอ่ยขึ้น เขาเพิ่งกลับจากไปราชการที่หัวเมืองหลุนซาน ตลอดทางพบทหารของตงซานเต็มไปหมด ไหนจะชาวบ้านฝั่งตงซานที่ข้ามมาค้าขายในเมืองหลวงแคว้นต้าหยาง เพราะแคว้นอื่นไม่คบค้าสมาคมด้วย
“อาฮุ่ยมิใช่ว่าข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าหรอก แต่เพราะเครื่องบรรณาการที่ทางตงซานส่งมามอบให้ต้าหยางมันมากมายนัก ไหนจะเสบียงยา เจ้าดูแลหลุนซานก็น่าจะรู้ดีว่าสมุนไพรหลายชนิดหายาก เพราะช่วงที่มีสงครามถูกทหารตงซานเผาทิ้งไปเสียจนหมด” คนฟังเข้าใจข้อนี้ดี ยาสมุนไพรหลายชนิดสำคัญมาก แต่กลับหาได้ง่ายที่ตงซาน จึงเป็นอีกข้อต่อรองที่ทำให้ต้าหยางยอมเปิดใจเป็นพันธมิตรด้วย
“ถึงอย่างนั้น เราก็ควรมีข้อจำกัดในการเข้าออกของคนแคว้นตงซานบ้าง กระหม่อมเกรงว่าหากตงซานส่งคนเข้ามาแฝงตัวอยู่ในต้าหยาง แล้วทำการก่อกบฏเราจะเป็นฝ่ายเดือดร้อน”
“อย่าลืมสิอาฮุ่ย ข้ามีแม่ทัพยอดนักรบอยู่ทั้งคน” คนพูดว่าพลางเงยหน้ามองชายหนุ่มในชุดนักรบตรงหน้า
มิใช่ว่าเขาไม่ฟังคำเตือนจากแม่ทัพหลวง แต่เพราะฉินเหยาไป่แม่ของเขา ลุ่มหลงในเครื่องราชบรรณาการของตงซาน และสั่งให้เขายอมอ่อนข้อให้กับทางนั้น แต่คอยระวังตัวเอาไว้บ้าง เพราะคนเคยเป้นศัตรูคงไม่ตัดใจมาเป้นมิตรกันได้ง่ายๆ
และเพราะเป็นคำบัญชาของแม่นี่เอง ฮ่องเต้หุ่นเชิดอย่างเขาจึงต้องยอมทำตามการตัดสินใจนั้น ไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ในใจ
“ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะทรงงานยามบ่ายด้วย” เสียงแหบพร่าของหญิงชราดังแทรกขึ้น ทำให้ทั้งฉินจื่อเหลียนและเจินฮุ่ยหมิงต่างก็พากันเงยหน้ามอง
“พอดีว่าลูกสั่งให้แม่ทัพเจินไปดูแลเรื่องด่านข้ามแดนที่หลุนซาน แล้วเพิ่งกลับมาถึงต้าหยาง เลยเข้ามารายงานความคืบหน้าที่นี่” บุตรชายรีบพูดแก้ตัว เขาไม่อยากให้แม่รู้เรื่องที่เจินฮุ่ยหมิงมาตักเตือน เพราะรู้ดีว่าครอบครัวตนไม่ลงรอยกับตระกูลเจินนัก ก่อนหน้านี้แม่ก็ยังพูดให้ปลดแม่ทัพอยู่หลายหน แต่ฉินจื่อเหลียนก็ยกเอาความดีความชอบ ที่เจินฮุ่ยหมิงรบชนะมาอ้างได้ทุกที
“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” เมื่อเห็นว่าพระพันปีมา เจินฮุ่ยหมิงจึงได้รีบปลีกตัวหนีออกมา เขาเองก็รับรู้มาโดยตลอดว่าพระพันปีไม่ชอบขี้หน้าคนตระกูลเจิน
หญิงชรามองชายหนุ่มร่างกำยำในชุดเกราะเดินจากไปจนสุดสะพาน ก่อนจะหันกลับมาย่อตัวลงนั่งตรงข้ามลูกชาย
“ท่านแม่มาถึงนี่ด้วยเหตุใดกัน”
“ข้าก็มีเรื่องอยากจะปรึกษาฮ่องเต้น่ะสิ” ไม่บ่อยนักที่มารดาจะใช้คำว่าปรึกษากับฉินจื่อเหลียน ตัวเขานั้นรู้ดีเสมอว่าในสายตาของมารดา เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
นั่นจึงทำให้เขาต้องละมือจากพู่กันแล้วตั้งใจฟังหญิงชราตรงหน้า ฉินเหยาไป่ถอนหายใจก่อนจะฝืนยิ้มกับลูกชาย
“หวงไช่ถิง ขุนนางเหมินเซี่ยเสิ่งประจำด่านหลุนซาน เป็นลูกชายของหวงลู่ติง หลี่ปู้ประจำต้าหยาง เห็นว่ากำลังหาสตรีที่เพียบพร้อมสักนางจะแต่งเข้าเป็นฮูหยิน ไว้ดูแลจวนที่หลุนซาน” เพียงมารดาพูดมาเท่านั้น ฉินจื่อเหลียนก็รับรู้ในทันที ว่าสตรีที่มารดาของเขาหมายตาคือใคร
“เพราะดูท่าคงจะไปประจำการอยู่ที่นั่นยาว แม่ก็เลย....อยากให้ฮ่องเต้ช่วยพระราชทานเจินลี่หลัวให้เป็นเจ้าสาวของหวงไช่ถิง ถือเป็นของกำนัลกับตำแหน่งเหมินเซี่ยเสิ่นด้วย”
“ข้ามิอยากจะจับคู่ให้หญิงชายใดอีกเลย คราวก่อนที่จับคู่ลูกสาวอดีตนายกองให้กับอาฮุ่ยก็ล่มไม่เป็นท่าไปหนหนึ่งแล้ว” ฉินจื่อเหลียนรีบพูดดักไว้ก่อน แต่ดูท่ามารดาของเขาไม่ยอมง่ายๆ เพราะตั้งใจแล้วว่าคราวนี้จะจับเจินลี่หลัวออกเรือนให้ได้ จะได้หมดเสี้ยนหนามจริงๆ เสียที แม้จะจัดการทาบทามองค์หญิงต่างแคว้นไว้ให้ลูกชายได้สำเร็จแล้วก็ตาม
“ครานั้นก็เป็นเพราะเจ้าเองที่ไม่เด็ดขาด หากเจ้าบังคับให้แต่งๆ กันไป อย่างไรคนทั้งสองก็ปฏิเสธเจ้าไม่ได้ พูดไปแล้วก็สมเพช เป็นแค่ลูกสาวขุนนางผู้น้อย มีโอกาสได้หมั้นหมายกับแม่ทัพหลวง กลับใฝ่ต่ำอยากจะไปแต่งงานกับพ่อค้า”
“ชะตาลิขิตให้คนสองคนได้คู่กัน ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งคู่จึงได้ลงเอยกัน ลูกเชื่อว่าอย่างนั้น”
“ช่างเถอะ แม่ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาก็แล้วกัน แม่อยากจะยกเจินลี่หลัวให้กับบุตรชายตระกูลหวง นางเหมาะสมที่สุดแล้ว” นอกเรื่องไปเสียครู่หนึ่งฉินเหยาไปก็นึกถึงธุระสำคัญของนางขึ้นมาได้ จึงได้ตัดเข้าใจความสำคัญอย่างไม่อ้อมค้อม ปฏิกิริยาของลูกชายคนโต เพียงมองปราดเดียวหญิงชราก็รู้ทันทีว่า เขายังมีความร็สึกกับสตรีผู้นี้อยู่
“แต่เจินลี่หลัวนางต้องดูแลห้องเครื่อง หากนางย้ายไปอยู่หลุนซาน ลูกเกรงว่าจะเสียมือดีไป” หญิงชรายกยิ้มเมื่อนางคาดเดาทางแก้ตัวของลูกชายไว้ได้อย่างแม่นยำ และแน่นอนว่าฉินเหยาไปได้เตรียมคำแก้ต่างไว้เรียบร้อยแล้ว
“เสียมือดีอะไรกันล่ะ หน้าที่ที่นางดูแล ก็เป็นพวกวัตถุดิบอยู่แล้ว หากนางย้ายไปอยู่หลุนซานก็ให้คอยจัดการวัตถุดิบจากหลุนซานก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้ามาต้าหยางพอดี”
“ลูกยังไม่ขอรับปาก คงต้องถามความเห็นจากทั้งหวงไช่ถิงและเจินลี่หลัวเสียก่อน หากไม่ได้ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ลูกคงจะไม่ขอบังคับใครทั้งนั้น” มือเหี่ยวของฉินเหยาไป่กำแน่ทั้งสองข้าง แม้จะอยากตะโดนด่าทอลูกชายมากเพียงใด แต่ห่างออกไปก็มีทั้งทหาร นางรับใช้ และขุนนางมากมายที่อารักษ์ขาอยู่รอบๆ
หากทำเช่นนั้น ภาพของฉินจื่อเหลียนในสายตาของคนพวกนี้ อาจจะดูไม่ดีนัก หญิงชราจึงต้องจำใจเดินหนีออกมาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ตอนนี้คงทำได้เพียงเร่งพิธีแต่งงานของฉินจื่อเหลียนให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และคอยกีดกันเจินลี่หลัวมิให้ถูกแต่งตั้งเข้ามาเป็นสนม
และที่สำคัญมากกว่านั้น คือต้องหาทางกำจัดคนตระกูลเจินออกไปให้หมด มิเช่นนั้นฉินเหยาไป่ผู้นี้ไม่มีทางตายตาหลับได้อย่างแน่นอน
**เหวินเซี่ยเสิ่ง (***) เสนาบดีฝ่ายตรวจสอบ
**หลี่ปู้ (***) ตำแหน่งควบคุมเกี่ยวกับพระราชพิธีในราชสำนัก