Pream Part
.
“วันนี้แม่พรีมกลับมาบ้านเหรอเพียร”
“ค่ะ คุณพรีมรออยู่ในห้องอาหารแล้วค่ะ”
“อืม”
เสียงสนทนาของแม่และแม่เพียรทำให้ฉันรีบนั่งตัวตรง เวลาทุ่มตรงไม่ขาดไม่เกินทั้งพ่อและแม่ก็เดินเข้ามา ฉันยกมือไหว้พวกท่าน พ่อส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ก่อนจะนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ส่วนแม่เพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยและนั่งลงตรงข้ามกับฉัน
“เป็นยังไงเรา ปกติกลับบ้านแค่เสาร์อาทิตย์ ทำไมวันนี้กลับบ้านล่ะ” พ่อเป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของท่านมีรอยยิ้มอยู่เสมอเป็นภาพที่เคยชินสำหรับฉันไปแล้ว
“หนูมีเรื่องต้องคุยกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ แต่ทานข้าวก่อนจะดีกว่า” ฉันบอกไปแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าแม่ไม่ชอบให้พูดคุยกันระหว่างทานข้าว ท่านถือว่าเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ
“เอาอย่างนั้นก็ได้” พูดจบพ่อก็ลงมือทานอาหารทันที ฉันเองก็ไม่ต่างกัน กับข้าวบางอย่างส่งกลิ่นรบกวนจนท้องไส้เริ่มปั่นป่วน แต่พอได้ลิ้มรสแกงส้มรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นานมื้อค่ำที่แสนเรียบง่ายก็ผ่านพ้นไป แม่มองฉันที่ไม่แตะอาหารอย่างอื่นนอกจากแกงส้มหลายครั้งแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม ฉันเองก็ได้แต่หลบตาท่านเพราะกลัวว่าจะถูกจับสังเกตเอาได้
“มีอะไรจะคุยกับพ่อกับแม่อีกเรา” เราสามคนพากันเดินมาที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นห้องเดียวกับที่ฉันบอกพวกท่านว่าจะไม่หมั้นกับพี่มาเฟีย และวันนี้ฉันจะใช้เป็นสถานที่บอกเรื่องสำคัญกับท่านทั้งสองอีกครั้ง
พ่อและแม่นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ส่วนฉันเองก็นั่งลงบนโซฟาตัวเล็ก มือทั้งสองข้างวางประสานอยู่บนตักอย่างเรียบร้อย แต่ภายใต้ความเรียบร้อยที่ไม่มีใครเห็นนั้นมันเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อด้วยความวิตก
“หนู...” พ่อและแม่มองมาอย่างสนใจเมื่อฉันเริ่มเอ่ยพูด “คือ...หนูจะกลับไปทำงานและเรียนต่อที่ออสเตรเลียค่ะ”
“ทำไม งานที่ไทยไม่ชอบเหรอ” แม่เอ่ยถามด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยจ้องมองมาที่ฉันไม่ลดละเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่าง ซึ่งวัวสันหลังหวะแบบฉันไม่กล้าสบตาท่านจึงได้แต่ก้มมองมือตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปไว้ตรงไหน
“มันไม่ใช่สายที่หนูเรียนมาค่ะคุณแม่ ถ้าหนูอยู่ที่นั่นจะต่อยอดได้มากกว่า อีกอย่าง...ก่อนเรียนจบก็มีแบรนด์ที่หนูชอบมาทาบทามให้ไปทำงานด้วย หนูเลยไม่อยากเสียโอกาสน่ะค่ะ”
“เหตุผลมีแค่นั้นเหรอ” คำถามของแม่ทำให้ฉันเผลอกำกระโปรงตัวเองแน่น ก่อนจะปล่อยออกเมื่อรู้ตัวว่ากำลังแสดงท่าทีมีพิรุธออกไป
“แค่นี้ค่ะ”
“แล้วจะไปเมื่อไหร่”
“มะรืนค่ะ”
“มะรืน??? ทำไมมันเร็วแบบนี้พรีม” คราวนี้เป็นพ่อที่ตกใจเมื่อฉันบอกแบบนั้น อันที่จริงฉันยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย ตั๋วเครื่องบินยังไม่มี กระเป๋าก็ยังไม่ได้เก็บ มีแค่วีซ่าที่ตอนนี้ยังเหลืออยู่เลยไม่ต้องทำวีซ่าใหม่ให้ยุ่งยาก ส่วนเรื่องงานก็คงต้องยอมเสียเครดิตลาออกกะทันหัน เพราะฉันไม่มีเวลาแล้ว ช่วงนี้ฉันแพ้ท้องค่อนข้างหนัก อีกไม่นานพ่อกับแม่ต้องสงสัยแน่ ๆ ว่าฉันเป็นอะไรถึงมีอาการแปลก ๆ แบบนี้ ฉันต้องรีบกลับที่ไปออสเตรเลียให้เร็วที่สุด
“ลูกอยากไปก็ปล่อยให้เขาไปสิคะ แม่พรีมโตแล้ว ตัดสินใจอะไรได้เองแล้ว” แม่บอกพ่อด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่นั่นยังคงจ้องมองฉันอยู่เหมือนเดิม “แค่ไม่ไปทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสียหายก็พอ”
คำพูดของแม่ทำให้ใจฉันหล่นวูบ เด็กที่มีความผิดแบบฉันร้อนรนจนไม่กล้าสบตาใคร ฉันเดาไม่ออกเลยว่าถ้าแม่รู้ว่าลูกสาวคนเดียวใจแตกจนท้องไม่มีพ่อแบบนี้ แม่จะผิดหวังและเสียใจแค่ไหน
“แต่มันเร็วเกินไป ลูกเพิ่งกลับมาได้แค่สองเดือนเองนะคุณพิมพ์”
“ลูกตัดสินใจแล้ว เราห้ามอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” แม่หันไปพูดกับพ่อ และนั่นทำให้ฉันหายใจได้สะดวกขึ้นบ้างเมื่อไม่ถูกจ้อง วันนี้โชคดีที่แม่เข้าใจและช่วยพูดกับพ่อให้ เพราะถ้าแม่ไม่เข้าใจและแย้งเหมือนที่พ่อกำลังทำฉันคงสู้สองเสียงไม่ได้
“พ่อต้องคิดถึงลูกมากแน่ ๆ”
“หนูจะโทรหาทุกวันค่ะ” ฉันพูดก่อนจะเข้าไปกอดพ่อเพื่อซึมซับไออุ่น หลังจากนี้ฉันต้องออกไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังกับลูกอีกสองคน และฉันไม่รู้ว่าถ้าทุกคนรู้ความลับที่ฉันซ่อนไว้ พ่อและแม่จะโกรธเกลียดจนไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวฉันหรือเปล่า
ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ
.
.
ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
.
“ฮายพิมมี่ เวลคัมทูซิดนีย์อีกครั้งนะ” เสียงที่คุ้นเคยของเพื่อนสนิททำให้ฉันหันกลับไปมอง ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงกำลังวิ่งเข้ามาหา ฉันอ้าแขนรับร่างที่ใหญ่กว่าตามเชื่อชาติของอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น
เธอคนนี้ชื่อแซนดี้ แซนดี้คือหญิงสาวสัญชาติออสซี่อายุมากกว่าฉันหนึ่งปี เธอเป็นคนออสเตรเลียแท้ ๆ ทั้งแต่เกิด แต่ไปเติบโตที่นอร์เวย์และกลับมาอยู่ออสเตรเลียช่วงไฮสกูล ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ฉันเข้าเรียนไฮสกูลพอดี พอต่างคนต่างไม่มีเพื่อนเลยตัดสินใจคบหากัน สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกันมานานถึงเจ็ดปีเต็ม
แซนดี้นิสัยดีมาก เธอเป็นคนอารมณ์ดี พูดเก่ง และรักเพื่อนเหมือนครอบครัว เป็นคนตรง ๆ ใครดีมาก็จะดีตอบ แต่ถ้าร้ายมาแซนดี้ก็ไม่เคยกลัว หลายครั้งที่ฉันถูกรังแกเพราะการเหยียดเชื้อชาติ ก็ได้แซนดี้นี่แหละที่คอยช่วยไว้ ถ้าชีวิตฉันไม่มีแซนดี้ก็คงไม่มีทางมีความสุขได้ขนาดนี้
สมัยเรียนแม่สั่งให้ฉันไปพักกับญาติที่แม่ไว้ใจเลยทำให้ฉันไม่ได้พักหอกับแซนดี้ แต่ครั้งนี้ฉันมาที่นี่ด้วยความอิสระ แม่ไม่ได้บังคับอะไรฉันเลย แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ที่แม่ตามใจและปล่อยฉันผิดปกติ แต่ฉันก็ดีใจที่มันเป็นแบบนี้ นกน้อยตัวนี้จะได้ออกจากกรงบ้างเสียที
“อยู่ ๆ ก็กลับมา ไม่ทันได้เตรียมอะไรเลย” แซนดี้ว่าพลางเก็บของในบ้านพักให้เข้าที่ อันที่จริงมันไม่ได้รกมาก แต่แซนดี้รู้ดีว่าฉันเป็นคนเจ้าระเบียบและแพ้ฝุ่น เธอจึงอยากเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อต้อนรับฉัน แซนดี้แสนดีแบบนี้เสมอ
“ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลยนี่นา...”
“ไม่ได้หรอก พิมมี่คือเพื่อนรักของฉัน ฉันก็ต้องดูแลและต้อนรับพิมมี่เป็นอย่างดีสิ”
“อย่างนั้นเหรอ” ฉันถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่ทำให้ต้องรีบบินมาอยู่ที่นี่ออกไป “แบบนี้จะช่วยดูแลคนเพิ่มอีกสองคนได้ไหมน้า”
“พูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย” แซนดี้มองฉันด้วยความงุนงง ฉันยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เก็บไว้กับตัวตลอดเวลาส่งให้เพื่อนสนิท
แซนดี้รับกระดาษแผ่นนั้นไปคลี่ดูด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาสีเทาอมฟ้าจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ “พะ...พิมมี่ นี่มัน...”
“หลานของแซนดี้ไง”
“เดี๋ยวนะ...ละ ล้อเล่นหรือเปล่า”
“ไม่ได้ล้อเล่น แล้วเห็นไหมว่ามีสองถุง หลานแฝดนะ” พอฉันพูดแบบนั้นแซนดี้ก็อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ เธอทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับจ้องกระดาษแผ่นนั้นเหมือนจะทะลุเข้าไปให้ได้ แซนดี้กำลังช็อค เพราะเธอรู้ดีว่าฉันเป็นคนหวงตัวมากแค่ไหน อยู่ที่นี่เจ็ดปีฉันถูกผู้ชายขอเดตมากกว่ายี่สิบคน แต่ไม่ว่าจะหล่อ โปรไฟล์ดีแค่ไหนฉันก็ไม่เคยตอบรับ ทว่าพอกลับไทยได้แค่สองเดือนกลับเอาหลานมาฝากแบบนี้... และที่สำคัญ แซนดี้ไม่รู้เรื่องฉันเคยมีคู่หมั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ช็อคเพราะคิดว่าเป็นลูกของฉันกับคู่หมั้นคนนั้น
ซึ่งไม่รู้ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องมานั่งปวดหัวกับความสัมพันธ์ที่แสนซับซ้อนของฉันแน่ ๆ
“กะ...กี่เดือนแล้ว” แซนดี้พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดและเอ่ยถามออกมาเสียงแผ่ว “หลานฉันกี่เดือนแล้ว”
“สองเดือนนิด ๆ “
“เธอกลับไทยไปได้สองเดือนนิด ๆ เหมือนกัน...แล้วพ่อของเด็กล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ”
“เรื่องนั้นฉันไม่อยากพูดถึง” ฉันจับมือขาวผ่องของอีกฝ่ายไว้ “ฉันอยากลืมว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่าถามเลยนะ รู้แค่ฉันมาที่นี่คนเดียว และกำลังจะมีหลานให้เธออุ้มถึงสองคนก็พอ เธอชอบเด็กมากเลยนี่”
“ก็ใช่ แต่...พ่อกับแม่ของเธอล่ะ”
“ฉันตั้งใจว่าใกล้คลอดแล้วค่อยบอกท่าน ถึงเวลานั้นท่านอาจจะทำใจได้มากกว่ารู้ตอนนี้”
แซนดี้พยักหน้ารับ เธอเบนสายตากลับไปจ้องกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“ฉันขอถามเป็นคำถามสุดท้าย เธอ...ไม่ได้ถูกรังแกใช่ไหม”
“เปล่า ฉันเต็มใจเอง”
.
.
“จริงหรือคะ คุณนิครับฉันเข้าทำงานจริง ๆ หรือคะ”
“จริงครับ” ใบหน้าหล่อคมดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้ม เขาพยักหน้าสองครั้งเพื่อยืนยันว่ารับฉันเข้าทำงานในตำแหน่งดีไซน์เนอร์ของแบรนด์จริง ๆ ซึ่งข่าวดีนั้นก็ทำให้ฉันยิ้มกว้างจนเหมือนว่าปากกำลังจะฉีก ก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว
“แต่ฉันกำลัง...เอ่อ...”
“ตั้งท้อง” นิโคลัสเป็นคนเอ่ยคำนั้นออกมา ฉันพยักหน้ารับน้อย ๆ เขาคงรู้จากที่ฉันเขียนไว้ในใบสมัครงานแล้ว “ดีไซน์เนอร์ไม่ใช่งานแบกหามนี่ครับ ถ้าคุณคิดว่าทำไหว ผมก็พร้อมจะให้โอกาส”
“ฉันไหวค่ะ แต่แค่กังวลเพราะส่วนมากบริษัทมักจะไม่รับคนท้องเข้าทำงานเท่าไหร่”
“ไม่ใช่ที่บริษัทผมแน่ครับ สบายใจได้”
“ขอบคุณมากนะคะ” ฉันเผลอยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างลืมตัว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างเก้อ ๆ “มันติดน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบวัฒนธรรมของไทยนะ การที่รับคุณเข้ามาทำงานแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ไม่ต้องเกร็ง เป็นตัวของตัวเอง”
“ค่ะ...” ฉันส่งยิ้มให้เจ้านายคนใหม่ “...บอส”
“...” นิโคลัสได้แต่ส่งยิ้มกลับมา เขาดูเป็นเจ้านายที่ใจดีและเป็นกันเองจนฉันรู้สึกสบายใจ
ตอนแรกฉันกังวลอยู่ไม่น้อยที่จะมาสมัครและสัมภาษณ์งานในวันนี้ นิโคลัสส่งอีเมล์มาทาบทามฉันตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเรียนจบด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับปฏิเสธไปเพราะตั้งใจจะกลับไทย พอได้กลับมาที่นี่อีกครั้งฉันจึงลองโทรมาสอบถามเขาเรื่องงานดู โชคดีที่ตำแหน่งดีไซน์เนอร์ยังคงถูกเว้นว่างไว้จนฉันได้มันมาครอบครอง
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ แล้ววันจันทร์ฉันจะรีบมาตามเวลาที่นัดไว้”
“ครับ” เจ้านายคนใหม่ยังคงส่งยิ้มแบบเดิมมาให้ ฉันลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปหน้าร้านที่มีแซนดี้นั่งรออยู่ เมื่อแซนดี้เห็นฉันเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที
“เป็นไง”
“เธอคิดว่ายังไง”
“แหม หน้าบานขนาดนี้ เดาไม่ออกเลย” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อเพื่อนสาวรู้ทัน ก็ฉันปิดความดีใจไว้ไม่มิดนี่นา ได้งานที่ตัวเองรัก เงินเดือนก็ไม่ใช่ขี้ริ้วทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กจบใหม่ แบบนี้ถ้ารู้จักเก็บหน่อยน่าจะเลี้ยงสองแฝดได้สบาย
“ว่าแต่หิวหรือยังคะคุณแม่”
“หิวแล้วค่ะน้าแซนดี้”
“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปฝากท้องอีก”
“ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน” ฉันขอบคุณแซนดี้อย่างซึ้งใจ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่มีแซนดี้อยู่ตรงนี้ หรือถ้าแซนดี้เกิดรับไม่ได้ขึ้นมาฉันจะเป็นยังไง ฉันโชคดีจริง ๆ ที่มีเพื่อนที่ดีแบบนี้
“ฉันมาเป็นเพื่อนหลานต่างหาก”
“รักหลานมากกว่าฉันใช่ไหมเนี่ย”
“เสียใจด้วยนะพิมมี่ เธอตกกระป๋องแล้วจ้ะ”
“ใจร้ายจังเลยน้า”
คำพูดหยอกล้อนั้นทำให้พวกเราหัวเราะออกมา พวกเราสองคนเดินยิ้มและพูดคุยกันไปตลอดทาง มาอยู่ที่นี่แค่สองวันแต่ฉันยิ้มได้บ่อยกว่าช่วงเวลาที่กลับไปที่ไทยด้วยซ้ำ แม้จะมีอาการแพ้ท้องหนักเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเครียด ชีวิตใหม่ของฉันกำลังเริ่มต้นขึ้น ได้แต่หวังว่าจากนี้ไปจะมีแต่เรื่องราวดี ๆ เข้ามา