คืนวันต่อมา โคลินเปลี่ยนจากเวรบ่ายกลายเป็นเวรดึก หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของคนไข้ในวอร์ดแล้ว เขาก็ลงมาหาเครื่องดื่มกินแก้ง่วงในร้านคาเฟ่ชั้นล่าง
โคลินมองพนักงานของร้านด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งในเวลานี้
“เซน คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ” เขากล่าวทักทายพลางยิ้มให้เมื่อได้เห็นว่าเซนใช้ร่างจำแลงตบตามนุษย์ทั่วไปเพื่อสวมรอยเป็นพนักงานร้านกาแฟ
“ทำงาน” เขาตอบสั้น ๆ สีหน้าเบื่อหน่ายเพราะลูกค้าที่อยู่ริมกระจกยังคงจ้องเขาไม่วางตา
โคลินจึงหันไปมองด้วยความสงสัย “มาริอุส?”
เฮ้อ เซนถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะถามออเดอร์ของโคลิน
“เธออยากดื่มอะไร”
“เอ่อ อเมริกาโน่เย็นคั่วเข้มครับ” โคลินตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ผมนึกว่าช่วงคาบเกี่ยวคุณจะกลับไปแล้วซะอีก มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ปีศาจหนีจากขุมนรก” มาริอุสตอบโคลิน สีหน้าเบื่อหน่ายไม่แพ้กัน “ดูเหมือนจะวางแผนมานาน แล้วก็ ตู้ม พากันทะลวงออกมาตอนช่วงคาบเกี่ยว”
“ให้ผมช่วยไหม” โคลินอาสา ท่าทีสบาย ๆ
“ลำพังปีศาจทั่วไปคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก แต่ว่างานนี้งานใหญ่เลยล่ะ เอาเป็นว่านายอยู่ห่าง ๆ จะดีกว่านะ เชื่อฉัน” มาริอุสเอ่ยปากเตือนคล้ายมีเรื่องลับลมคมใน
“ทำไมนายต้องพูดกระตุ้นให้เขาอยากรู้ขนาดนั้น” เซนดุมาริอุสที่เปิดเผยเรื่องราวไม่จำเป็นให้โคลินได้รู้
“นายคิดมากไปแล้ว เซน” มาริอุสยักไหล่พร้อมพูดต่ออีกว่า “ฉันขอคาปูชิโน่ปั่นเพิ่มหวานอีกหนึ่งแก้ว”
เซนเลิกคิ้วมองหน้าคนที่ชอบเย้าแหย่ “นายจะกินทำไมเยอะแยะ ยมทูตเงาอย่างนายไม่รู้รสชาติด้วยซ้ำ”
เอาอีกแล้ว จะตีกันอีกแล้ว โคลินคิดในใจ ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาทั้งสองก็มักจะมีคนหนึ่งที่ชอบกวนใจอีกคนอยู่เรื่อย แต่ก็น่าแปลกที่เขามักจะเจอทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
“มีอะไรที่ผมต้องรู้ไหมครับ” โคลินเอ่ยปากถาม หากเซนไม่อยากให้เขายุ่งเรื่องนี้ เขาก็ควรจะรู้ว่าต้องระวังตัวอย่างไร อาจจะเป็นปีศาจที่มีพลังมากกว่าเขาหรือเปล่า
“ถ้านายเจอปีศาจไม่มีสมองจะจัดการยังไงก็ตามใจ แต่ถ้าเจอปีศาจชั้นสูง นายอย่าได้เอาตัวเข้าใกล้โดยเด็ดขาด” มาริอุสยิ้มให้เขา คิดว่าเรื่องแค่นี้โคลินคงทำได้สบาย
“ปีศาจชั้นสูง แบบราล์ฟ?” โคลินนึกถึงตอนนั้นที่ต้องใช้กำลังของสามสี่คนสู้กับปีศาจตัวเดียว “แล้วอย่างงี้คุณจะสู้ได้เหรอครับ”
เซนยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินโคลินพูดแบบนั้น
“เด็กนี่! ตอนนั้นฉันออมมือเพื่อจะฝึกนายต่างหาก” มาริอุสไม่ยอมให้โคลินเข้าใจเขาผิด
“จริงเหรอครับ” เขาทำหน้าตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จู่ ๆ มาริอุสก็เรียกเคียวมรณาของตนเองออกมา สีหน้าจริงจังมองไปที่เซน จากนั้นทั้งคู่ก็หายตัวไปจากร้านกาแฟในทันที ทิ้งให้โคลินยืนงงอยู่ในร้านคนเดียว
“แล้วร้านล่ะครับ” เสียงของโคลินถามความว่างเปล่า
พรึ่บ
ไฟในร้านดับลงทันทีราวกับว่างดให้บริการชั่วคราวเพราะพนักงานร้านติดธุระด่วน
“อย่างงี้นี่เอง” โคลินอ้อมเคาน์เตอร์ไปหยิบแก้วกาแฟของตัวเองมาปิดฝาแล้วเดินกลับแผนก
ระหว่างทางจะมีบางช่วงของตึกที่โรงพยาบาลมีมาตรการประหยัดไฟเพราะไม่มีคนใช้บริการช่วงกลางคืน เงามืดจึงปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ตามหลังโคลิน
เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งเพราะจำความรู้สึกนี้ได้ สัมผัสที่จะเกิดเฉพาะในช่วงคาบเกี่ยว
โคลินมองออกไปนอกหน้าต่าง ขยี้ตามองดูว่ามีมิติทับซ้อนหรือปีศาจเพ่นพ่านแถวนี้หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบสิ่งใด เขาจึงมั่นใจว่าเวลานี้ไม่ใช่ช่วงคาบเกี่ยวอย่างแน่นอน
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เขาถามเงามืดที่อยู่ด้านหลังก่อนจะหันมาหามัน “ไม่ใช่ช่วงคาบเกี่ยวสักหน่อย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เงามืดไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มันนิ่งเฉยเหมือนทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา โคลินส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปที่ทำงาน
ครั้นเขาเดินมาถึงที่ที่มีแสงไฟ เงามืดนั้นก็หายไปในพริบตา
เช้าวันต่อมา
โคลินลงเวรแปดโมงเช้าจึงแวะซื้อครัวซองต์เนยสดที่สถานีรถไฟใต้ดินซองทราลก่อนจะกลับบ้านเหมือนทุกวัน
สายตาเขามองไปรอบ ๆ เห็นวิญญาณเร่ร่อนสองสามดวงกับยมทูตจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาจัดการ
หากแต่รถไฟจอดรับผู้โดยสารที่สถานีโจเซฟีน ชาร์ล็อต ก็มีวิญญาณของชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินมานั่งข้างเขา
ด้วยความที่เพิ่งจะลงเวรดึกมาหมาด ๆ โคลินจึงยังไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นเท่าใดนักจึงแกล้งทำเป็นฟังเพลงมองไม่เห็นวิญญาณของเขา คิดในใจว่าอีกเดี๋ยว ยมทูตในเขตนี้คงจะมารับตัว
ทว่า วิญญาณชายหนุ่มผู้นี้กลับเอนศีรษะมาซบไหล่ของเขาจนโคลินรู้สึกขนลุกขึ้นมา
ถูกจับได้แล้วเหรอว่ามองเห็นวิญญาณ เขาไม่กล้าหันไปมองข้าง ๆ แต่มองผ่านกระจกที่สะท้อนอีกฟาก
สายตาคู่นั้นของวิญญาณกำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่โคลินก็แกล้งทำเป็นมองผ่านไปจนกระทั่งถึงสถานีการ์ ดู นอร์
วิญญาณชายผู้นี้ลุกขึ้นยืนแล้วออกจากรถไฟใต้ดินไปก่อนโคลิน เขาจึงถอนหายใจนึกว่าถูกจับได้
แต่ว่ามานอนซบไหล่กันนี่นะ โคลินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมาได้สักพัก เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินตามหลังมาจึงทำทีเป็นหยุดดูหนังสือพิมพ์ที่ร้านเล็ก ๆ ข้างทาง
หางตาก็เหลือบเห็นว่าข้าง ๆ เขามีวิญญาณชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่
โคลินเห็นดังนั้นจึงรีบเดินไปอีกทาง แต่เหมือนวิญญาณตนนั้นยังคงตามเขามาเรื่อย ๆ
วิญญาณสตอล์กเกอร์? โคลินเริ่มหาทางหนี แต่ก็นึกได้ว่าหน้าที่ช่วยเหลือวิญญาณเขตสิบสามเป็นของเขา จึงหันไปเผชิญหน้า
“คุณตามผมมาทำไม” โคลินเอ่ยปากถาม
“...” วิญญาณนั้นไม่ตอบแต่มองหน้าเขาไม่วางตา
“เอ่อ คุณมีอะไรให้ผมช่วยไหม” เขาเปลี่ยนวิธีพูดกับวิญญาณตนนั้น
เมื่อสังเกตรอบวิญญาณของเขาดี ๆ โคลินจึงได้เห็นว่ามีแสงสีขาวจาง ๆ โอบรอบเหมือนตอนที่เขาเห็นนีโอครั้งแรก ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า วิญญาณของคนผู้นี้คงจะสูญเสียความทรงจำไปแล้ว
“ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรกับผมเลยล่ะ” โคลินสบตาคู่นั้นของเขา
“ข้า... ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง” ในที่สุดวิญญาณของชายหนุ่มก็เอ่ยปาก
“อืม เริ่มจากคุณรู้ตัวไหมว่าคุณเป็นวิญญาณ” โคลินจิ้มร่างโปร่งแสงของเขาให้เจ้าตัวได้เห็น
อีกฝ่ายส่ายหน้าแต่ไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจ โคลินจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้แปลกนัก มนุษย์ปกติทั่วไปเวลารู้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณก็ตกใจกลัวคิดว่าตัวเองตายไปแล้วทั้งนั้น แต่คนตรงหน้ากลับนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
“คุณจำได้ไหมว่าคุณชื่ออะไร” เขารอฟังคำตอบแต่คิดในใจว่าคงจะจำไม่ได้อย่างแน่นอน
อีกฝ่ายส่ายหน้าเช่นเดิม
โคลินจึงต้องอธิบายให้เขาฟังเหมือนกับตอนอธิบายนีโอ ใช้เวลาอยู่นานสองนานกว่าเขาจะเข้าใจและยอมรับว่าตัวเองเป็นวิญญาณ
เวลาที่โคลินเจอวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขามีหน้าที่ช่วยตามหาร่างนั้นให้เจอก่อนทีวิญญาณจะอ่อนแรงจนกลายเป็นวิญญาณจริง ๆ ในโลกหลังความตาย
เขาหรี่ตามองวิญญาณตรงหน้าอีกครั้งราวกับกำลังพิจารณาว่าควรทำเช่นไร ดูท่าทางและแสงสีขาวจาง ๆ ที่ไม่ได้กลายเป็นสีเทาก็พอจะรู้ได้อยู่ว่าชีวิตจริง ๆ ของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร
โคลินเคยถามยมทูตเรื่องนี้อยู่บ้างว่าวิญญาณที่หลุดออกจากร่างมา จะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตจริง คนเหล่านั้นเคยทำความดีหรือความชั่วอะไรมาบ้าง มีอาจึงเล่าให้โคลินฟังคร่าว ๆ วิญญาณหลุดออกจากร่างที่มีแสงสีขาวจาง ๆ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้ามีสีเทาปะปนมาด้วยเมื่อไหร่ก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง
ตอนนั้นมีอาเคยบอกว่า คนชั่วน่ะ ตอนวิญญาณหลุดออกจากร่างมา ไม่น่าช่วยเลยใช่ไหมล่ะ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า หากคนนั้นฟื้นขึ้นมาแล้วเขาจะกลับตัวกลับใจสำนึกสิ่งที่ทำลงไปไหม หรือจะยังทำแบบเดิมอีก
ทว่าก็เป็นเรื่องที่ยังตัดสินโทษอะไรไม่ได้ เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสที่สองในชีวิตของการเป็นมนุษย์ที่จะเริ่มต้นใหม่ มีอาจึงบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกว่าถ้าช่วยไปแล้ว คนนั้นยังทำชั่วเหมือนเดิม เพราะหลังจากปฏิเสธโอกาสครั้งที่สองแล้ว โทษของการทำความชั่วนั้นย่อมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวแน่นอน
พอถึงวันที่ต้องเข้าสู่ดินแดนพิพากษา จะกลับตัวกลับใจคงเป็นไปไม่ได้แล้ว แค่ขั้นแรกที่จะต้องลงไปในทะเลลาวาสีแดงเดือดปุด ๆ ก่อนจะลงนรกอีกหลายขุม วิญญาณพวกนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อร้องขอความตายจะดีกว่า
“วันนี้กลับบ้านผมก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยอยู่ที่นั่นคุณจะปลอดภัย” โคลินกล่าวกับวิญญาณชายหนุ่มพลางเดินนำหน้าแล้วติดต่อกับมีอาเพื่อถามหาข้อมูลของเขา