น้ำกับไฟ

2116 คำ
บรรยากาศตอนนี้หลังจากที่คีตะเดินออกไปแล้วเงียบสนิท จอมทัพจึงปรบมือเรียกความสนใจจากทุกคน "เอาละทุกคน เรามาแบ่งทีมกันดีกว่า ส่วนกองเชียร์ข้างสนามก็เลือกให้ดีนะครับ ว่าจะเชียร์ฝั่งไหน" นักกีฬาใช้เวลาไม่นานก็แบ่งทีมออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งละหกถึงเจ็ดคน หลังจากตกลงกติกากันเสร็จการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น ครู่หนึ่งฟ้าใสที่นั่งอยู่อีกฝั่งของสนามก็เดินอ้อมมานั่งข้างๆ ฉัน แล้วถามคำถามหนึ่งขึ้นมา "ตกลงว่าความสัมพันธ์ของเธอกับนายต้นน้ำ เป็นยังไงกันแน่" "ฉันกับต้นน้ำน่ะเหรอ ก็เพื่อนไง เธอจะให้เป็นยังไงล่ะ" ฉันล่ะงงใจกับคำถามของเพื่อนเสียจริง "แต่ฉันว่าไม่ อย่างน้อยหมอนั่นก็ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นเพื่อนแน่ๆ แววตามันฟ้อง" จ้า...แม่กูรูผู้หยั่งรู้ "แล้วฟ้องว่าอะไรล่ะจ๊ะ แม่หมอ" "ก็ฟ้องว่านายต้นน้ำไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อนแน่ๆ เซนส์ฉันมันบอกว่ามีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน" ฉันก็มีเซนส์เหมือนกันละย่ะ แต่ไม่ใช่เซนส์เดียวกับที่เธอคิดแน่นอน "ไม่ใช่หรอก เขาไม่มีท่าทีอะไรแบบนั้น อีกอย่างเราเพิ่งรู้จักกันเอง" "นั่นไง เพิ่งรู้จักกันแต่ท่าทีเหมือนรู้จักกันมานาน และสนิทสนมอย่างกับคนเป็นแฟนกัน หรือไม่ก็พี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานาน แล้ววันหนึ่งได้หวนกลับมาพบกัน" สงสัยยัยนี่จะดูละครมากเกินไปแล้ว "ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่แฟนแล้วก็ไม่ใช่พี่น้องด้วย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นลูกคนเดียว" "ไม่รู้ล่ะ ยังไงเธอก็ห้ามทำคีตะเสียใจเด็ดขาด!" เอ้า! อยู่ๆ ก็วกกลับมาที่คีตะซะได้ "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหมอนั่นล่ะ" "ฉันเคยบอกไปแล้ว ขี้เกียจพูดซ้ำ" ฟ้าใสเคยบอกว่าคีตะชอบฉัน แต่ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะ ฉันถึงจะยอมเชื่อ "ขี้เกียจก็ไม่ต้องพูด ว่าแต่เมื่อกี้หมอนั่นเป็นอะไร ทำไมถึงดูอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วยล่ะ" ฉันถามด้วยความสงสัย "ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ ว่าเคยบอกไปแล้ว ไปคิดเอาเองละกัน" พูดจบฟ้าใสก็ลุกจากม้านั่งแล้วเดินกลับไปยังฝั่งตรงข้าม เป็นจังหวะเดียวกับที่จอมทัพ เปลี่ยนตัวออกไปพักเหนื่อยพอดี วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด เฮ้อ! ถึงเวลาเลิกเรียน ฉันมายืนรอคีตะอยู่บริเวณประตูเข้าออก เพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน แต่รอแล้วรอเล่าจนคนอื่นทยอยกลับจนใกล้จะหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน พอลองโทร.หาก็โทร.ไม่ติด แล้วถ้ากลับไปถึงบ้าน ฉันจะตอบคุณลุงกับคุณป้าว่ายังไงล่ะเนี่ย "ต้นเตย!" เสียงคนเรียกชื่อฉัน ตอนแรกก็ดีใจคิดว่าเป็นคีตะ แต่ไม่ใช่... "ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ หรือว่ารอใครอยู่" ต้นน้ำที่สะพายกระเป๋าไว้บนบ่าข้างเดียว ร้องถามขณะเดินตรงเข้ามาหาฉัน "ก็ประมาณนั้นแหละ" ฉันตอบพลางกวาดสายตามองหาคีตะไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอีกตามเคย "เธอรอใครอยู่งั้นเหรอ" ต้นน้ำเอ่ยถามอีกครั้ง "ขี้เกียจรอแล้วล่ะ ช่างเถอะ ฉันจะกลับแล้ว นายเองก็รีบกลับบ้านเถอะ" ฉันเลี่ยงที่จะตอบ เลยตัดบทให้จบๆ ไป แต่ต้นน้ำดันไม่จบ "บ้านเธออยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง" เขารีบอาสาจะไปส่ง แต่ฉันก็รีบปฏิเสธทันควัน "ไม่ต้องหรอก บ้านฉันอยู่ไม่ไกล เดินประมาณสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว" "ไม่ได้หรอก สุภาพบุรุษก็ต้องไปส่งสุภาพสตรีสิ เธอบอกว่าไม่ไกล เดี๋ยวฉันค่อยเดินย้อนกลับมาทางเดิมก็ได้ หรือว่ามีทางทะลุออกไปถนนใหญ่หรือเปล่าล่ะ" "มีสิ ออกไปทางถนนใหญ่จะใกล้กว่าทางนี้ด้วยซ้ำ แต่นายจะไม่เสียเวลาเหรอ" อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ กับการเดินกลับบ้านคนเดียว ในเมื่อเขาอาสาแล้วก็ไม่อยากจะปฏิเสธให้เสียน้ำใจ อีกอย่างคีตะคงไม่รอฉันแล้วล่ะ ดีไม่ดีคงออกไปกับผู้หญิงคนนั้น ที่สวยกว่าฉัน ดูดีกว่าฉัน และเหมาะสมกับคีตะมากกว่าฉัน ว่าแต่...ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย หมอนั่นจะไปไหนกับใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่ คิดเพ้อเจ้อไร้สาระไปได้ ต้นเตยเอ๊ย! "ไม่เลยๆ ให้ฉันไปส่งเธอทุกวันยังได้เลยนะ" ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง "งั้นก็ได้ แต่แค่วันนี้นะ" "โอเค แค่วันนี้ก็ได้" ฉันกับต้นน้ำเดินออกมาจากโรงเรียน นักเรียนหญิงที่ยืนออกันอยู่แถวร้านไอศกรีมหน้าโรงเรียน หันมามองกันตรึมเลย หุๆๆ คนสวยกับคนหล่อเดินด้วยกัน คนก็คงจะอิจฉาเป็นธรรมดา มีแต่ยัยเด็กที่สนามบาสฯ นั่นแหละที่หาว่าฉันหน้าจืด ก็คนมันไม่ชอบแต่งหน้านี่หว่า สวยแบบธรรมชาตินี่แหละ ดีสุดละ ฉันเดินกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน โดยที่วันนี้มีต้นน้ำเดินเป็นเพื่อน ในขณะที่คีตะหายเข้ากลีบเมฆไปเลยตั้งแต่คาบชมรม ฉันหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ แปลกดีเหมือนกันแฮะ ปกติคีตะจะเดินนำหน้าฉันเสมอ ทำให้มองเห็นแต่แผ่นหลังของเขา ต่างกับต้นน้ำที่ฉันสามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเรียวยาวได้รูป จมูกโด่ง และที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าของเขาก็คือริมฝีปากได้รูปสวยสีแดงระเรื่อ ตัดกับผิวขาวเนียนใสยิ่งชวนให้น่ามองขึ้นไปอีก และที่แปลกกว่านั้นคือ เวลาอยู่ใกล้ต้นน้ำ ฉันรู้สึกเย็นสงบและสบายใจ ทั้งๆ ที่เราเพิ่งรู้จักกัน ทว่าเวลาอยู่ใกล้คีตะ กลับรู้สึกร้อนเหมือนยืนอยู่ปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังปะทุขึ้นมา "แอบมองหน้ากันทำไม" เฮือก! เขามีตาด้านข้างรึไง ถึงรู้ว่าฉันกำลังมอง "ไม่...ไม่ได้แอบสักหน่อย" เนียนไหมว้า แต่ฉันก็ไม่ได้แอบจริงๆ นะ ตั้งใจมองเลยล่ะ ใครใช้ให้นายหล่อล่ะ "หึหึ แล้วฉันหล่อสู้คีตะได้รึเปล่าล่ะ" อยู่ๆ เขาก็เอ่ยถึงคีตะขึ้นมา "ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ" "ก็เห็นเธอสองคนสนิทกันดี แล้วที่สนามบาสฯ ที่เด็กพวกนั้นพูดคงหมายถึงเธอ" ง่ะ! เขารู้จริงๆ ด้วย "ก็...เรื่องนั้น ถ้าฉันเล่าให้ฟัง นายสัญญานะว่าจะไม่บอกคนอื่น" เขาพยักหน้าให้ฉันแทนคำตอบ "ที่จริงฉันกับเขาอยู่บ้านเดียวกันน่ะ" "หือ? เธอสองคนเป็นพี่น้องกันเหรอ" "เปล่า ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นลูกคนเดียว แต่มีเหตุจำเป็นต้องไปอยู่บ้านเขาน่ะ พ่อแม่ฉันเสียตอนอายุสิบขวบ เลยไปอยู่กับพ่อแม่ของคีตะ พวกท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ฉันน่ะ ตอนแรกก็ว่าจะอยู่แค่ชั่วคราว แต่อยู่ไปอยู่มาก็ผูกพัน พวกท่านเองก็รักและดูแลฉันเหมือนคนในครอบครัวแท้ๆ ก็เลยอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แหละ" ต้นน้ำพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวของฉัน "แล้วเธอไม่มีญาติคนอื่นเหรอ" "มีสิ ฉันมีน้าสาวกับน้าเขย ท่านสองคนก็แวะเวียนมาหาเดือนละครั้งสองครั้งน่ะ" "แล้วญาติทางคุณพ่อเธอล่ะ" ฉันจะตอบยังไงดีล่ะ ที่ผ่านมาฉันไม่เคยคิดถึง ไม่เคยถามหาพวกเขาด้วยซ้ำ พวกเขาเองก็คงเหมือนกัน ตั้งแต่เสร็จเรื่องงานศพของพ่อกับแม่ พวกเขาก็กลับต่างประเทศและไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย "ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ฉันขอโทษด้วยที่ถาม" "อืม ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าไม่สะดวกหรอกนะ แค่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะฉันเองก็ไม่รู้ข่าวคราวของพวกเขาเหมือนกัน" คุยกันไปกันมา พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เดินมาถึงหน้าบ้านแล้ว ฉันรีบมองผ่านรั้วประตูบ้านเข้าไปที่โรงจอดรถ ไม่เห็นรถที่คุณลุงใช้ขับไปทำงานก็ผ่อนหายใจอย่างโล่งอก "ถึงบ้านแล้ว ขอบใจมากนะที่เดินมาเป็นเพื่อน" "อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันเต็มใจมาส่ง ให้มาส่งทุกวันเลยก็ได้นะ" "ไม่ล่ะ เกรงใจน่ะ แล้วนี่นายจะกลับยังไงล่ะ" "แถวนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ารึเปล่า" "ใช่ เดินออกไปตามซอยนี้ เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปอีกหน่อยก็ถึงสถานี" "อ๋อ เข้าใจล่ะ เดี๋ยวฉันนั่งรถไฟฟ้ากลับไปสักสามสี่สถานีก็ถึงบ้านแล้วล่ะ งั้นฉันก็ขอตัวเลยนะ" "ขอบใจอีกครั้งนะ เดินทางปลอดภัยด้วย แล้วเจอกันวันจันทร์" "อืม บาย" เขาโบกมือแล้วก็เดินไปตามซอยที่ฉันบอก ฉันมองตามหลังเขาไปจนสุดสายตา และพอหมุนตัวกลับจะเข้าบ้าน... "ว้าย!" ตกใจหมดเลย ขวัญเอ๊ยขวัญมา! ไม่รู้ว่าคีตะมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน "นายมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกใจหมดเลย" หมอนี่เป็นนินจาหรือไง มาตอนไหน ทำไมฉันไม่ได้ยิน เอ๊ะ! เขาไม่ได้สวมชุดนักเรียน แสดงว่ากลับมาถึงบ้านก่อนฉันงั้นสิ "ก็มาตั้งแต่ตอนที่เธอยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วไงล่ะ" เขาตอบด้วยใบหน้าบูดบึ้ง "งั้นเหรอ ฉันจะเข้าบ้านแล้ว ช่วยหลีกทางด้วย" ฉันไม่อยากคุยกับเขา เลยอยากจะหนีหน้าไปให้พ้นๆ "ทางก็ตั้งกว้าง เธอก็หลบไปทางอื่นสิ ไม่เห็นรึไงว่าตรงนี้ฉันยืนอยู่" เออ! ฉันหลบเองก็ได้ น่ารำคาญจริง แต่พอกำลังจะก้าวขาเข้าไปในบ้าน เขาก็พูดขึ้นมา "เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ก็ยอมให้เขามาส่งถึงบ้าน เธอก็เป็นคนฉลาดนะ แต่ทำไมถึงไม่ไตร่ตรองให้ดีว่าอะไรควรไม่ควร เผื่อหมอนั่นเป็นคนไม่ดีขึ้นมา จะทำยังไง จะเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง คิดรึเปล่า" จะหาเรื่องชวนทะเลาะให้ได้เลยใช่ไหม ด้ายยย... "คิดสิ! ฉันคิดมาตลอดทางว่านายหายไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้ฉันยืนรออยู่ตรงประตูจนคนอื่นเขาแทบจะกลับบ้านกันหมดแล้ว ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน โทร.ไปก็ไม่ติด และสุดท้ายทิ้งให้ฉันกลับบ้านคนเดียวอีกตามเคย" พูดไปแล้วก็แอบน้อยใจอยู่เหมือนกันนะ "ก็เลยยอมให้ไอ้หมอนั่นมาส่งน่ะเหรอ!" "เขามีน้ำใจ! ขนาดเพิ่งรู้จักกันแต่เขาก็มีน้ำใจมาส่ง ทั้งๆ ที่บ้านก็อยู่คนละทาง ไม่เหมือนนายที่รู้จักกันมาแปดเก้าปี แต่ไม่เคยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเลย" "เธอชอบมันรึไง ถึงเอาแต่ชมว่ามันดีอย่างนั้น มีน้ำใจอย่างนี้" "ถ้าใช่แล้วจะทำไม!" ฉันไม่ได้ชอบต้นน้ำหรอกนะ แค่อยากจะประชดไอ้คนตรงหน้าก็เท่านั้น "คงจะคิดว่าตัวเองสวย ตัวเองน่ารักตายล่ะ คิดบ้างไหมว่าผู้ชายที่ไหนจะมาชอบคนหน้าตาธรรมดาๆ อย่างเธอ คงจะมีแต่พวกตาบอด ปัญญาอ่อน งี่เง่าไร้สมองเท่านั้นแหละ" "แล้วนายจะมาเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ นายไม่ชอบฉันก็อยู่ของนายไปสิ ไม่ต้องมาวิจารณ์ ถึงฉันจะขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ไปนั่งขี้เหร่บนหัวนายสักหน่อย" "ก็เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดนี่หว่า" "หงุดหงิดก็ไม่ต้องมองสิ เดี๋ยวตอนเย็นคุณป้ากลับมา ฉันจะบอกท่านว่าต่อไปไม่ต้องให้เราไปโรงเรียนด้วยกันอีกแล้ว เพราะนายคงจะอยากไปอยากกลับพร้อมกับแฟนตัวเองล่ะสิ" "ใครแฟนฉัน พูดดีๆ นะ" "ก็สาวลูกครึ่งนั่นไง นั่งตัวติดแจขนาดนั้น อ้อ! แล้วคาบชมรมหายไปทำอะไรกันล่ะ"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม