บทที่ 7
แม้จะบอกว่าจะไปในวันรุ่งขึ้นแต่เมื่อเฉินกวงไม่ว่างก็ยังต้องรอไปอีกหลายวัน แต่ในระยะเวลาช่วงนั้นพัฒนาการของหงหงก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
และในที่สุดก็ถึงวันที่เฉินกวงและซิงอีพาหงหงมาถึงโรงพยาบาล พวกเขานั่งรออยู่ในห้องรับรอง หงหงในอ้อมแขนของซิงอีเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้นจนเฉินกวงอยากจะอุ้มเด็กน้อยเอง แต่หงหงชอบให้แม่อุ้มมากกว่า วันนี้หงหงดูร่าเริงและกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ซิงอีเองก็สังเกตเห็นว่าหงหงเริ่มพูดมากขึ้น ราวกับว่าเธออยากสื่อสารบางอย่าง
“หม่าม้า หม่าม้า ดู” หงหงชี้ไปที่ของเล่นที่มีสีสันตรงมุมห้องพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ แน่นอนว่าอู๋ไฉ่หงไม่ได้อยากเล่นหรอก แต่เธอที่อยู่ในร่างหงหงก็ต้องทำให้สมกับเป็นเด็ก ตอนนี้เธอควบคุมลิ้นของเด็กน้อยได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าจะพูดเป็นประโยคชัดเจน ได้แต่พูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อย ๆ ให้ทุกคนเคยชิน
ซิงอีมองลูกสาวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะแม้แต่คำพูดง่าย ๆ แบบนี้ หงหงก็เพิ่งเริ่มพูดได้ไม่นานแต่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายดี
“ใช่ค่ะ ดูนั่นสิ” ซิงอีกล่าวพร้อมกับลูบหัวลูกเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เฉินกวงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมามองแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ยายหนูดูจะพูดเก่งขึ้นทุกวันนะ”
“ใช่ค่ะ พอเธอเริ่มพูดได้บ้าง ฉันก็รู้สึกว่าเธอกระตือรือร้นที่จะพูดกับเรามากขึ้น” ซิงอีบอกพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เมื่อหงหงเริ่มจับแขนเธอแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น และพอได้ยินคำที่ออกมาจากปากเด็กน้อยก็เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่หงหงต้องการคืออะไร
“ปะป๊า... หงหง... เดิน เดิน” หงหงพูดออกมาพลางดิ้นรนลงจากตักแม่เพื่อพยายามยืน ทำให้ซิงอีต้องยอมทำตาม เธอเดินไปห่างจากสามีสองสามก้าวก่อนจะปล่อยให้หงหงเดินและประคองเอาไว้ เหมือนอย่างที่หงหงชอบทำช่วงนี้
เด็กน้อยเริ่มก้าวเดินเล็ก ๆ ด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก แต่ยังคงพยายามก้าวไปหาพ่อของเธอ ซิงอีที่เห็นลูกประคองตัวได้ก็ค่อย ๆ ปล่อยมือ
เฉินกวงยิ้มกว้างและย่อตัวลงมารับลูกสาว “มาสิ หงหง พ่อรออยู่ตรงนี้” เขากล่าวพร้อมกับยื่นมือออกมาให้ลูกสาวจับ
หงหงก็เดินไปหาเฉินกวงอย่างตั้งใจ แม้จะเกือบล้มลงบ้าง แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เฉินกวงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะอุ้มหงหงขึ้นเมื่อเด็กน้อยเดินมาถึง “เก่งมากเลย เริ่มเดินได้แล้วนะหงหงของพ่อ”
“หงหง... เดิน เดิน” เด็กน้อยพูดอีกครั้งพลางยิ้มอย่างภูมิใจ ซิงอีได้แต่มองภาพนั้นอย่างสุขใจ เธอคิดว่าลูกจะไม่สมบูรณ์ซะแล้วก่อนหน้านี้ คงเป็นเพราะช่วงนี้ชายหนุ่มที่เคยมีประเด็นกับเธอแทบจะไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็น จึงทำให้เธอไม่ต้องคิดกังวล และสามีเธอก็เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดต้องขอบคุณหงหงจริง ๆ ที่ร้องไห้ไล่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นไปทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้
หมอกุมารเวชที่พวกเขารอ เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม "สวัสดีครับ คุณเฉินกวง คุณซิงอี วันนี้ดูเหมือนว่าหงหงจะเริ่มเดินได้แล้วนะครับ ดีมากเลย ครั้งก่อนน้องยังพยุงตัวขึ้นนั่งเองไม่ได้เลยเนอะ"
ซิงอีหันมาทักทาย "ค่ะ ตอนนี้เธอเริ่มเดินและพูดได้บ้างแล้ว เราเลยอยากให้หมอช่วยตรวจพัฒนาการของเธออีกครั้งค่ะ"
หมอยิ้มและเชิญทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องตรวจ "ครับแน่นอนเดี๋ยวผมจะตรวจดูกันหน่อยว่าพัฒนาการของหงหงเป็นอย่างไรบ้างนะครับ"
ขณะที่หมอกำลังตรวจร่างกายของหงหง เด็กน้อยก็เริ่มพูดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุด ราวกับอวดหมออย่างนั้น “ปะป๊า หม่าม้า หงหงเก่งมั้ยกะ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ทำให้หมอที่ตรวจอยู่ยิ้มไปด้วย
“เก่งมากเลยค่ะ ลูก” ซิงอีพูดและมองลูกสาวด้วยความรัก
เฉินกวงก็หัวเราะเบา ๆ “ลูกเก่งมาก เก่งมาก” เขายื่นมือไปจับมือเล็ก ๆ ของหงหงที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากการตรวจและซักประวัติสักพักใหญ่ เขาก็หันมาพูดกับทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม "จากที่ดูวันนี้ พัฒนาการของหงหงดีขึ้นมากเลยนะครับ การที่เธอเริ่มเดินและพูดได้บ้างแล้วถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับเด็กหนึ่งขวบ"
“จริงเหรอคะหมอ” ซิงอีถามด้วยน้ำเสียงโล่งใจ ขณะที่เฉินกวงพยักหน้าช้า ๆ “ตอนแรกพวกเราค่อนข้างกังวลว่าพัฒนาการของหงหงจะช้าไปหน่อย”
“มีไต่ขึ้นบันไดหรืออะไรที่สูงกว่าหรือยังครับ” คนทั้งสองส่ายหน้า “ยังไม่เคยลองครับ”
หมอพยักหน้า “จากที่ตรวจวันนี้ ทุกอย่างดูปกติดีครับ ถ้าเทียบกับครั้งก่อนที่เธอยังไม่ค่อยมีปฏิกิริยากับสิ่งรอบตัวเท่าไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะกระตือรือร้นมากขึ้น เริ่มตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างดี และยังมีความพยายามที่จะสื่อสารกับคุณทั้งสองด้วย แล้วก็เรื่องเดิน ลองปล่อยให้ได้เดินในที่ที่ต้องยกขาก็ได้นะครับ ถ้าน้องเริ่มเดินได้มั่นคงขึ้นหรือวิ่ง”
อู๋ไฉ่หงฟังทุกอย่างและแอบเบื่อนิด ๆ นี่เธอจะทำได้แค่ก้าวเดินขึ้นบันไดเองเหรอ เมื่อไรจะพูดรู้เรื่องเป็นประโยคยาว ๆ ได้เล่า จะได้บอกกับพ่อแม่ของเธอให้บอกรักกันไปให้หมดเรื่องหมดราวสักที
“ปะป๊า... หงหงเก่ง... เก่ง” หงหงพูดขึ้นอีกครั้ง ราวกับจะยืนยันความเก่งของตัวเอง ทำให้ทั้งซิงอีและเฉินกวงหัวเราะ และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้วิญญาณของอู๋ไฉ่หงรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง บางทีค่อย ๆ ใช้เวลาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ พ่อเธอซื่อบื้อขนาดนี้ ถ้าฉลาดเรื่องทุกอย่างคงคลี่คลายตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้าร่างเด็กน้อยหงหงมาแล้วก็เป็นได้
“ใช่ค่ะ หงหงเก่งที่สุด” ซิงอีพูดไปก็ลูบหัวลูกสาวไปเบา ๆ
"สิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้ดีมากครับ ผมแนะนำว่า คุณควรให้หงหงมีโอกาสพูดคุยและเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ให้มาก ๆ คอยกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น และพยายามสอนคำศัพท์ง่าย ๆ ให้เธอครับ เด็กในวัยนี้จะซึมซับสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินอย่างรวดเร็ว"
เฉินกวงพยักหน้า “แล้วพวกเราควรทำอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” เฉินกวงถามอย่างตั้งใจเพราะเขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาทำได้ไม่ดีพอในฐานะพ่อ
“จากที่เห็นตอนนี้ ผมว่าพัฒนาการของหงหงเป็นไปในทางที่ดีแล้วครับ คุณแค่ต้องพยายามทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาคุยกับเธอมาก ๆ แบบที่ทำอยู่นี่แหละครับ เพราะช่วงนี้สมองของเด็กจะเติบโตเร็วมาก สิ่งที่เธอเรียนรู้ในตอนนี้จะส่งผลดีในอนาคต”
ซิงอีถอนหายใจด้วยความโล่งใจและยิ้มให้เฉินกวง “ดีจังที่ได้ยินแบบนี้ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราทำถูกทาง”
เฉินกวงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันไปลูบศีรษะลูกสาว "ต่อไปพ่อจะพยายามให้เวลากับหงหงให้มากที่สุดนะครับ"
“หงหงเก่ง ปะป๊าเก่ง หม่าม้า เก่ง” เด็กน้อยพูดพลางหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความสุข