วิศวะกินเด็ก 7 | ที่พึ่งสุดท้าย

2050 คำ
วันต่อมา ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง มิราในชุดนักเรียนมัธยมปลายเดินถือกระเป๋าเข้าโรงเรียนในช่วงเจ็ดโมงครึ่ง หญิงสาวเอากระเป๋าหนีบไว้ใต้รักแร้แล้วยกมือไหว้คุณครูที่ยืนต้อนรับนักเรียนข้างหน้าประตูทางเข้า วันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ หลังจากหยุดเรียนมาแล้วสองวัน ช่วงวันหยุดหลายคนคงนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยและสอบปลายภาคในอีกสองสัปดาห์ หรือไม่ก็นัดพบปะกัน ส่วนเธอช่วยแม่ที่ร้าน ดึกมาก็ไปทำงานกับเจ้มอลลี่ที่ไนต์คลับ ไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรือเที่ยวเล่นแบบคนอื่นๆ ความฝันของเธอคือการเป็นหมอฟัน แต่ดูเหมือนคงเป็นได้แค่ ‘ความฝัน’ เพราะเธอไม่มีเวลาอ่านหนังสือและติวเข้มเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เรื่องของค่าเทอมด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะลองไปสอบอยู่ดี เผื่อโชคดีมีชื่อติดอันดับผู้ผ่านการคัดเลือก “ฉันทำชีทสรุปอ่านสอบมาเผื่อแกด้วยนะมิรา” “โห ทำไมใจดีจังเจ้าขา” เธอรับชีทสรุปจำนวนเท่ากับวิชาที่จะสอบปลายภาคในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าจากเจ้าขามา “คิดว่าแกคงไม่มีเวลาอ่านเองแน่ๆ เลยสรุปคร่าวๆ เท่าที่ตัวเองเข้าใจมาให้ มีทุกวิชาเลยนะ” เจ้าขา คือหัวหน้าห้องและเป็นเพื่อนสนิทของมิรา คอยทำชีทสรุปมาให้ให้บ่อยๆ เพราะเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะอ่านหนังสือสอบไม่ทัน “ขอบใจนะเจ้าขา ฉันเกรงใจแกเหมือนกันนะที่ต้องคอยทำชีทสรุปมาให้” “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าช่วงนี้แกไม่ค่อยว่าง” “แล้วเมฆเป็นยังไงบ้างมิรา” ปุยเมฆ เพื่อนสนิทในกลุ่มอีกคนเอ่ยถาม รับรู้เรื่องราวของน้องชายมิราแล้วอดสงสารไม่ได้ “ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย” “ฉันล่ะอยากเห็นหน้าคนที่มันขับรถชนแล้วหนีจริงๆ จิตใจทำด้วยอะไร ชนแล้วหนี อย่างน้อยลงมาดูแล้วช่วยเรียกรถพยาบาลหน่อยก็ดี ทำแบบนี้มันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว” “นั่นสิ ไม่รู้จ่ายใต้โต๊ะให้ตำรวจไปเท่าไร เรื่องราวถึงไม่ถึงไหนสักที” เพื่อนสองคนของมิราพูดอย่างโมโหแทน ต้องรวยขนาดไหนถึงใช้เงินปิดปากตำรวจจนเรื่องเงียบ ไม่รู้ตัวคนทำแบบนี้ “สักวันฉันจะลากคอคนที่มันทำกับเมฆมารับโทษให้ได้ จะรวยล้นฟ้ามาจากไหนไม่สน ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด” “ถ้ากฎหมายทำอะไรไม่ได้ เชื่อว่าสักวันกฎแห่งกรรมจะต้องย้อนกลับไปทำร้ายคนๆ นั้น” เธอก็ภาวนาขอให้เป็นแบบนั้น อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้คนทำรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตัวเอง กำลังรู้สึกผิด หรือใช้ชีวิตตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พักกลางวัน “วันนี้กินไรดี” ปุยเมฆเอ่ยถามเพื่อนอีกสองคน “วันนี้อยากกินก๋วยเตี๋ยว” “เออๆ เอาด้วย แล้วแกล่ะมิรา จะกินอะไร” “อยากกินข้าวหมูแดงอะ” “โอเค งั้นแยกย้ายกันไปซื้อ ใครซื้อเสร็จก่อนก็ไปจองโต๊ะรอ” ทั้งสามคนแยกกันไปซื้ออาหารที่ตัวเองต้องการในช่วงพักกลางวัน มิราต่อแถวรอซื้อข้าวหมูแดงของโปรด ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ จึงทำให้รอนานกว่าถึงคิวตัวเอง ขวับ… เธอหันไปมองคนข้างหลัง เมื่อถูกใครบางคนดึงผมตัวเองเบาๆ พอหันไปมองจึงเห็นเจ้าของการกระทำยืนเอามือล้วงกระเป๋านักเรียนทำสีหน้ายียวนกวนประสาท ‘วินไทน์’ ลูกชายผอ. ที่ชอบแกล้งเธอเป็นประจำ เราสองคนอยู่ห้องเดียวกัน เพราะเห็นท่าทางเธอดูหน่อมแน้มไม่ค่อยสู้คน จึงทำให้ตกเป็นของเล่นแก้เบื่อของวินไทน์และกลุ่มเพื่อน นอกจากเป็นลูกชายผอ. แล้ว ยังเป็นหัวหน้าแก๊งนักเลงประจำโรงเรียนอีกด้วย “สลับคิวกัน” “ไม่” ตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันหลังให้วินไทน์เหมือนเดิม หมับ วินไทน์กระชากไหล่เธอให้หันกลับไปหา “บอกว่าสลับคิวกัน” “บอกว่าไม่” “เธอนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงวะ” “นายสะกดคำว่า ‘รอ’ เป็นไหม?” เสียงเพื่อนวินไทน์ร้องขึ้นเมื่อมิราเชือดกลับนิ่มๆ ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจ ส่วนมิราไม่สนใจ เธอเดินเข้าไปสั่งอาหารเมื่อถึงคิวตัวเอง หลังจากได้อาหารที่ต้องการแล้วจึงเดินออกไปโดยไม่เหลียวมองวินไทน์สักนิด “สั่งสอนไหม?” “ยังก่อน” วินไทน์บอก สายตามองตามมิราที่เดินไปยังโต๊ะ งานนี้มีเอาคืนแน่! “วินไทน์แกล้งแกอีกแล้วเหรอ?” เจ้าขาเอ่ยถาม หลังจากมิรามาถึงโต๊ะแล้ว “จะขอสลับคิวซื้อข้าว แต่ฉันไม่ให้” “แกนี่เจ๋งดีเหมือนกันนะ ภายนอกดูไม่ค่อยสู้คน แต่ก็เอาเรื่องอยู่” ปุยเมฆพูดแซว เธอไม่พูดอะไรแค่ยิ้มๆ ให้ปุยเมฆเท่านั้น ••• มิราเดินออกจากตัวอาคารเรียนหลังจากหมดคาบเรียนวิชาสุดท้าย เธอมาห้องน้ำคนเดียวเพราะเจ้าขาถูกคุณครูเรียกตัวไปช่วยงาน ส่วนปุยเมฆไปส่งงานที่ค้างเอาไว้ของวิชาเคมี ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์ทำให้เธอที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าในโรงเรียนหยิบออกมาจากกระโปรงนักเรียนเพื่อรับสาย “คะแม่” (มะ…มิราลูก อย่าเพิ่งกลับบ้านมานะ) น้ำเสียงสั่นเครือของแม่ทำให้เธอใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม “เกิดอะไรขึ้นคะแม่” (ตอนนี้พวกของเสี่ยวิชัยอยู่หน้าบ้าน พวกนั้นพยายามพังประตูเข้ามา แม่คิดว่าคงมาทวงหนี้ มิราอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ) “แล้วแม่ล่ะคะ” (ไม่ต้องห่วงแม่ ทำตามที่แม่บอกนะลูก) สายถูกตัดลงไปดื้อๆ เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากระโปรง กำลังเดินจ้ำอ้าวออกไปจากโรงเรียน แต่ไม่วายมีกลุ่มของวินไทน์มาขวางทาง “หลีกไป” คนยิ่งกำลังรีบ มาขวางทางอะไรตอนนี้ “จะรีบไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิ” “ไม่ว่าง จะรีบกลับบ้าน” เธอเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่กลับถูกวินไทน์กระชากแขนกลับมา หมับ! “บอกว่าให้อยู่คุยกันก่อน” “เอาไว้วันหลัง วันนี้ต้องรีบกลับบ้าน” ท่าทางรีบร้อนและแววตาดูเป็นกังวลกับอะไรบางอย่างของมิราทำให้วินไทน์แปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ลากมิรามายังจุดที่ไม่มีคน “คิดจะทำอะไรของนายวินไทน์ ฉันบอกว่าจะรีบกลับบ้าน” “ฉันต้องเคลียร์กับเธอเรื่องเมื่อตอนกลางวัน” “ไว้ค่อยเคลียร์กันคราวหลัง” เธอกำลังหมุนตัวเดินออกไป แต่แล้วก็เกิดเหตุการ์ไม่คาดฝัน พรึ่บ! วินไทน์จะดึงคอเสื้อมิรา แต่ดันพลาดไปดึงสร้อยคอของเธอจนขาดออกจากกัน มิรามองสร้อยในมือคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ นั่นเป็นสร้อยคอที่แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิด… “ทำบ้าอะไรของนายวินไทน์!” “ก็บอกดีๆ แล้วเธอไม่ยอมเอง ช่วยไม่ได้” วินไทน์พูดอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ มิราแย่งสร้อยจากมือวินไทน์มา ดวงตากลมโตที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาทำให้อีกฝ่ายชะงักลงไปทันที “ฉันเกลียดนาย” พูดจบแล้วเธอก็เดินออกไปจากตรงนี้ทันที เพื่อนของวินไทน์ไม่ได้ขวาง เพราะไม่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าแก๊ง “ไอ้คนบ้า…” เธอนั่งบ่นอุบคนเดียวบนรถแท็กซี่ มองสร้อยในมือที่ขาดจากฝีมือวินไทน์ด้วยความเสียใจ ••• “แม่!” เธอรีบวิ่งปรี่ไปหาคนเป็นแม่ซึ่งกำลังเก็บกวาดบ้านที่เละตุ้มเป๊ะจากฝีมือคนของเสี่ยวิชัย แก้มแม่มีรอยแดงๆ จากฝ่ามือเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว… “พวกมันทำร้ายแม่เหรอ” “แม่ไม่เป็นไรมิรา” “ไหนเสี่ยวิชัยบอกว่าจะให้เวลาเราสองอาทิตย์ไง แล้วทำไมถึงผิดสัญญา…” “เสี่ยวิชัยไม่ยอม เขาบอกเราว่า ให้เวลาถึงวันมะรืนนี้ ถ้าไม่จ่ายทั้งต้นและดอก พวกเราเตรียมหาที่นอนใหม่ได้เลย” “หนี้ตั้งครึ่งล้าน จะหาจากไหนทัน” เคยได้ยินว่าที่ดินแปลงนี้ถูกใจเสี่ยวิชัย และทางนั้นคงอยากได้มากถึงให้เวลาเธอกับแม่เพียงแค่สองวัน เพราะรู้ว่าหาเงินก้อนนี้ไม่ได้แน่ๆ นี่มันเวรกรรมอะไร ทำไมต้องมาชดใช้ในสิ่งที่ไม่ได้ก่อขึ้นมาด้วย… “เราหาที่อยู่ใหม่เลยดีกว่าไหมมิรา เก็บเงินก้อนนั้นที่เรามีเอาไว้รักษาเมฆ ส่วนบ้านหลังนี้…” “หนูจะไม่ยอมทิ้งบ้านหลังนี้เด็ดขาด บ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา มีความทรงจำมากมายของคุณตาและคุณยาย หนูจะไม่ยอมให้ใครมาเอามันไปจากเรา” “ใช่ บ้านหลังนี้มีความทรงจำมากมาย แต่เราจะหาเงินก้อนนั้นจากไหนได้ภายในสองวัน” นั่นน่ะสิ จะหาเงินก้อนนั้นจากที่ไหนได้ภายในสองวัน ขณะกำลังคิดหาหนทาง จู่ๆ ใครบางคนก็ผุดเข้ามาในความคิดของเธอทั้งที่ไม่ได้นึกถึง คาร์มิน… เขากำลังอยู่ในความคิด ที่กำลังหาทางออกของเธอ “เดี๋ยวหนูมานะแม่” เธอเดินออกมานอกบ้าน หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเจ้มอลลี่ (ว่าไงมิรา) “เจ้มอลลี่คะ หนูมีเรื่องอยากให้ช่วย” (เรื่องอะไรเหรอ?) “เจ้มอลลี่พอจะมีเบอร์ของคุณคาร์มินไหมคะ” (ทำไมเหรอ?) เธอเชื่อว่าระดับเจ้มอลลี่ต้องมีเบอร์ติดต่อเขาอย่างแน่นอน “คือ… เมื่อคืนเขาช่วยมิราไว้ เลยอยากให้ของตอบแทนเป็นการขอบคุณเขาน่ะค่ะ” โกหกไม่เนียนเอาเสียเลยยัยมิราเอ๊ย ช่างเถอะ ภาวนาขอให้เจ้มอลลี่ให้เบอร์เขากับเธอด้วยเถอะ (โอเคๆ เดี๋ยวเจ้ส่งให้ทางไลน์นะ) “ขอบคุณนะคะ” ติ้ง… วางสายได้ไม่นาน เจ้มอลลี่ก็ส่งเบอร์ของคาร์มินเข้ามาในไลน์ สายตามองเบอร์คาร์มินและปุ่มสีเขียวโทรออก เริ่มไม่อยากโทรหาเขาแล้วสิ เมื่อคืนทำวีรกรรมไม่น่ารักกับเขาไว้เยอะสมพอควร แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เขาคือที่พึ่งสุดท้ายของเธอ… เธอกดโทรออกเรียบร้อย รอสายสักพักเขาก็รับ (ฮัลโหล) เสียงเข้มคุ้นเคยที่ดังเข้ามาในหู ทำหัวใจเธอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบกลับปลายสาย “สะ…สวัสดีค่ะ หนูเองนะคะ มิรา จำหนูได้รึเปล่า” เขาเงียบลงไปพักใหญ่ เริ่มใจคอไม่ดี กลัวเขาตัดสายทิ้งแล้วสิ (อืม จำได้) การคุยกับเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน “เอ่อ… คือว่า หนูโทรมากวนคุณรึเปล่าคะ?” (ไม่ พูดธุระของเธอมา) เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดในสิ่งที่เตรียมไว้ “วันนี้ว่างไหมคะ หนู… หนูขอเจอคุณได้ไหม” (…) ปลายสายเงียบอีกครั้ง “คือหนูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไร…” หมดหวังแล้วมิรา ถ้าเธอเป็นเขาก็คงไม่อยากเจอคนที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ตัวเองหรอก (ได้…) เธอยิ้มทันที (แต่ฉันจะเป็นคนเลือกสถานที่นัดเจอ) รอยยิ้มเลือนหายทันทีกับประโยคถัดมาของเขา (ถ้าไม่ตกลง ก็ไม่ต้องเจอ) “ดะ…ได้ค่ะ หนูให้คุณเลือกสถานที่นัดเจอก็ได้” เธอรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว (ดี เอาเบอร์แอดไลน์มา จะส่งสถานที่นัดเจอให้) “ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายวางสายไป ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คาร์มินคือทางออกสำหรับเธอ ต่อให้แลกด้วยอะไร… เธอก็ยอม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม