เด็กนักเรียนในชุดมัธยมต้นที่อกปักจุดสามจุดกำลังเดินทานไอศกรีมไปตามเส้นทางอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเป้าหมายของเธอนั้นก็คือโรงเรียนหญิงล้วนเอกชนชื่อดังที่ถึงแม้เวลานี้จะสายมากแล้วก็ตามแต่เธอก็ไม่ได้มีทีท่ารีบร้อนแต่อย่างใดเลย
นับหนึ่งมักจะไปเรียนสายอยู่เสมอ ๆ แม้ว่าบ้านของตนเองจะอยู่ใกล้กับโรงเรียนจนสามารถเดินไปได้ก็ตาม
แต่ก็อย่างที่เขาบอกแหละว่าคนไกลมักจะมาเช้า...ส่วนคนที่อยู่ใกล้น่ะชอบชะล่าใจและมาสาย ซึ่งเธอก็เป็นคนประเภทนั้นจริง ๆ ไม่อาจจะต่อล้อต่อเถียงได้แต่อย่างใดเลย
เธอเดินไปจนกระทั่งถึงรั้วของประตูโรงเรียน โรงเรียนในเขตพื้นที่ของเมืองหลวงก็ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางมากเท่าไรเป็นเพียงแค่พื้นที่สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เท่านั้น
และตอนนี้รถยนต์คันหรูยี่ห้อดังก็ดึงความสนใจของเธอได้ไม่ยากเนื่องจากว่าเธอเป็นคนที่ชื่นชอบรถฝั่งยุโรปอยู่แล้วเป็นทุนเดิมไม่ว่าจะเป็นรถสี่หรือสองประตูก็ตาม
นับหนึ่งหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อเฝ้ารอการปรากฏตัวของคนภายในรถที่เธอคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าของของรถคันนี้จะต้องเป็นคนที่มีเงินทองมากมายแน่ ๆ
ในมือของเธอเองก็ยังคงมีไอศกรีมรสโปรดที่ยังไม่หมดลงแต่อย่างใด เธอจึงตัดสินใจที่จะทานมันให้หมดก่อนเข้าไปในโรงเรียนเพราะถ้าหากเข้าไปเธอค่อนข้างมั่นใจว่าจะโดนสั่งให้เอาไปทิ้งแทนการที่คุณครูจะรอให้เธอทานมันจนหมดอย่างแน่แท้
ร่างของชายหญิงวัยทำงานค่อย ๆ ก้าวลงมาจากรถยนต์คันหรูคันนั้นให้เธอได้แต่พยักหน้าเพราะคิดไม่ผิดจริง ๆ ว่าจะต้องเป็นรถของพวกมีกะตังค์ แล้วดูจากใบหน้าที่ออกไปทางเชื้อสายจีนบวกกับการแต่งตัวแบบมีอันจะกินของพวกเขาเหล่านั้นแล้วก็ทำให้เธอได้แต่ยืนกอดอกรอดูใครอีกคนเลยว่าจะลงมาจากรถยนต์คันหรูคันนั้นเมื่อไร
เดาได้ไม่ยากเลยหากมากันทั้งตระกูลแบบนี้แล้ว ไม่มาฝากฝังลูกเต้าเข้ากลางเทอมก็คงคิดสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ไม่ออกจริง ๆ และเธอก็อยากจะรู้ด้วยว่าเจ้าเด็กเส้นใหญ่คนนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะถ้าหากเป็นรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแล้วล่ะก็เธอจะได้จัดหนักจัดเต็มให้อับอายกันไปข้างหนึ่ง
จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นหรอกเพราะฝั่งของเธอเองก็ได้พ่อแม่ช่วยฝากฝังจนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ แต่เธอแค่หมั่นไส้พวกคนมีเงินที่ชอบใช้เงินแก้ปัญหาก็เพียงเท่านั้น เพราะตามจริงแล้วเธอบอกกับพ่อแม่ว่าจะไปเรียนที่อื่นที่ไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้น แต่พวกเขาก็ยังจะดึงดันเอาเธอเข้าโรงเรียนนี้ให้ได้ ซึ่งในที่สุดมันก็เป็นไปตามที่พวกเขานั้นคาดหวัง
ริมฝีปากยังคงดูดกินไอศกรีมแท่งโปรดไม่ยอมให้มันหมดลงง่าย ๆ เพราะเธอจะไม่มีข้ออ้างกับตัวเองที่ยังยืนอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็นะแม่คุณคนนั้นจะลีลาไปถึงไหน...พ่อกับแม่ลงมาจากรถตั้งนานแล้ว แต่ตัวเองไม่ยักกะลงมาจากรถให้เธอได้พบเห็นหน้าค่าตาของเจ้าหล่อนเสียที
และเมื่อเจ้าหล่อนก้าวลงมาจากรถเท่านั้นแหละ...คือสาเหตุที่ทำให้ไอศกรีมที่เธอค่อย ๆ บรรจงละเลียดละไมอยู่นานสองนานหายวับไปกับตาทันใดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ไอศกรีมของเธอหล่นแผละลงไปที่พื้นและก็ค่อย ๆ ละลายจากไอความร้อนของประเทศไทยที่ถึงแม้นี่จะเป็นหน้าฝน หญิงสาวในชุดมัธยมปลายก้าวเดินลงมาจากรถปรากฏแก่สายตา จุดสองจุดที่ปักอยู่บนอกข้างเนคไทสีน้ำเงินนั้นทำให้เธอรับรู้ได้ในทันใดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นรุ่นพี่ของเธอถึงสองปีด้วยกัน
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะซึ่งมันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตจนเธอต้องยกมือขึ้นไปกำมันเอาไว้หวังให้มันสงบลงเมื่อได้มองเห็นใบหน้าหวานสวยของคนที่ก้าวเท้าลงมา
DNA เชื้อสายจีนปรากฏอยู่บนหน้าของเจ้าหล่อนเด่นหรา และใบหน้าของเจ้าหล่อนนั้นก็เกลี้ยงเกลาราวกับทาเพียงแป้งเด็กและออกมาจากบ้านเลยอย่างไรอย่างนั้น...ผิดกับเด็กวัยเดียวกันกับเจ้าหล่อนมากโขที่ปากไม่แดงคงไม่มีแรงจะเรียนหนังสือ
แต่ให้ตายเถอะ...น่ารักเป็นบ้า
“เธอน่ะ...จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?”
“อุ้ย!”
เธอสะดุ้งโหยงอย่างตกใจเมื่อคุณครูห้องปกครองที่เป็นโจทย์กับเธอนั้นโพล่งออกมาเสียงดังลั่นเรียกสติของเธอให้พลันหวนกลับ
ร่างที่สูงกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างนับหนึ่งนั้นก็รีบดึงสติของตนเองให้กลับมาในทันควัน ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปในรั้วโรงเรียนโดยแอบเห็นหางตาด้วยว่าเจ้ารุ่นพี่หน้าหมวยคนนั้นหันมาสบมองเธอและแอบหันไปหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวราวกับว่าขบขันเธอเสียเต็มประดา
“บ้านก็อยู่แค่นี้...หัดมาเข้าเรียนให้ทันให้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาบ้างได้ไหม?”
“โอ้ย ๆ แจ๋! อย่าบิดหู อย่าบิดหู!”
“หนอย! ฉันชื่อแจ้ไม่ใช่แจ๋! แล้วก็ตามฉันมานี่เดี๋ยวนี้!”
“แจ๋…หูหนู!”
และใช่เธอทำเรื่องที่น่าอับอายเป็นครั้งแรกต่อหน้าของรุ่นพี่หน้าหมวยคนนั้น
แต่ใครเล่าจะรู้ในภายหลังที่เจ้าหล่อนมาเฉลยต่อกันว่าในวันนั้นน่ะ...เจ้าหล่อนรู้สึกประทับใจเธอเอามาก ๆ ที่กล้าทำอะไรแบบนั้น
เพราะชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าหล่อนน่ะ...แค่คิดจะทำอะไรแบบนั้นก็เตรียมตัวโดนที่บ้านดุด่าโดยไร้ข้อโต้แย้งใด ๆ ที่จะท้วงติงไปได้เลย
“นี่เฉลยได้หรือยัง...ว่าจะพาพี่ไปที่ไหนกันแน่?”
เธอหันหน้าไปเอ่ยถามคนตัวสูงที่เดินอย่างอารมณ์ดีมานั่งลงอยู่เคียงข้างกันพร้อมกับแซนวิชสองก้อนในมือของตน
“ทำไมล่ะ...จะเปลี่ยนใจไม่ไปตอนนี้หรือไง?”
และยังมีหน้ามาเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับแกะซองแซนวิชในร้านแฟรนไซส์ชื่อดังไปพลาง ๆ อีกด้วยต่างหาก
ซึ่งทีท่าไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ของเขากำลังยั่วอารมณ์โมโหของเธอได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวเชียว...และนับหนึ่งมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เป็นมาตั้งแต่ก่อนที่เราคบกันจนกระทั่งเลิกรากันไปแล้วเขาก็ยังเป็นคนแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ปกติเวลาเราจะไปไหนด้วยกันจะต้องเป็นเธอที่วางแผนก่อนว่าเราจะไปที่ไหน ไปทำอะไรกันบ้าง เพราะเธอเป็นจำพวกที่ต้องมีแผนรองรับเสมอเวลาจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง...ผิดกับนับหนึ่งไปเสียทุกอย่าง เพราะเขาเป็นคนที่อยากจะทำอะไร อยากจะไปที่ไหนเขาก็จะไปเลย ไม่มีแผนรองรับใด ๆ และสุดท้ายก็เกิดปัญหาให้เธอมาคอยตามเช็ดตามแก้อยู่ทุกครั้งไป
“นับชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เรื่อย ไม่เคยวางแผน ไม่เคยมีแพลนเป็นรูปเป็นร่าง...แล้วตอนสุดท้ายก็ชอบมีปัญหาตลอด”
“แต่พี่ก็ชอบบอกว่ามันสนุกดีไม่ใช่เหรอ?”
เขายังคงเอ่ยพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับกัดแซนวิชคำโต
และนั่นมันทำให้เธอสะอึกเพราะเธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ถึงแม้คน ๆ นี้จะดูไม่มีแผน และดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่เขาเป็นคนที่เก่งเอาตัวรอดมาก ๆ เพราะกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วนับหนึ่งน่ะ...เป็นคนใจถึงพึ่งได้ที่เธอยอมรับคนหนึ่งเลยว่าไม่เคยเบื่อเลยเวลาได้ออกไปไหนมาไหนกับเขา
“เอาเป็นว่าพี่เชื่อใจนับนะ ครั้งนี้ไม่มีปัญหาอะไรให้พี่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วแน่นอน”
เขายกยิ้มแต่มุมปากของเขาเลอะมายองเนสซึ่งมันดึงดูดความสนใจของเธอได้ไม่ยาก
“นับโตขึ้นมากแล้วนะ...ไม่ใช่เด็ก ๆ เอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
และคำพูดนั้นก็ดึงความสนใจของเธอให้เปรยสายตาขึ้นไปสบกับเขาอีกครั้งหนึ่ง
แววตาที่ดูมุ่งมั่น จริงจัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั้นยังเป็นเสน่ห์ของนับหนึ่งได้อยู่เสมอ...และนี่คือเหตุผลข้อหลักเลยว่าทำไมเธอถึงสบสายตาของนับหนึ่งตรง ๆ ไม่ได้
“ปากเลอะน่ะ”
เมื่อไร้หนทางจะโต้ตอบ
เธอก็บ่ายเบี่ยงเป็นประเด็นอื่นเพื่อให้เขาเลิกสบมองใบหน้าของเธอด้วยความอาวรณ์เช่นนั้นเสียที
แต่แทนที่นับหนึ่งจะเช็ดปากตามคำบอกกล่าวของเธอ เขากลับยื่นกระดาษทิชชู่โลโก้ของร้านแซนวิชเด่นหรามาที่ตรงหน้าของเธอแทนไปเสียอย่างนั้น
“เช็ดให้หน่อย”
เขาว่าอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนทั้งในปากก็ยังเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“อย่าลืมสิว่านับจ่ายเงินให้พี่มากกว่าที่พี่ต้องไปทำงานตลอดทั้งวันอีกนะ”
นิสัยเป็นอย่างไรก็ยังนิสัยเหมือนเดิม...
สุดท้ายเธอก็รับทิชชู่ในมือของเขามาถือเอาไว้อย่างไม่เต็มใจนัก และทำมือให้เขาหันมาทางเธอซึ่งคนยียวนก็ยอมหันมาแต่โดยดีแต่เขากลับหลับตาพริ้มราวกับว่าเธอจะทำอะไรที่มันมากกว่าเช็ดมุมปากของเขาไปเสียอย่างนั้น
จันทร์เจ้าถอนหายใจให้กับความขี้เล่นของคนที่เอ่ยปากบอกกันว่าโตแล้วเมื่อสักครู่ ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบมายองเนสที่เลอะอยู่บนมุมปากของเขาในทันทีเพื่อหวังจะไม่ให้มันเสียเวลาไปมากกว่านี้
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของเธอเต้นระส่ำพร้อมกับมือข้างที่เอื้อมออกไปก็ดันสั่นไหวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ โดยที่เธอเองก็ไม่ทราบสาเหตุ
ขนตาแพยาวเด่นหรา สองก้อนแก้มกลมนุ่มนิ่มที่เธอโปรดปรานมันมากที่สุดบนใบหน้าของเขากำลังทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว ภาพความทรงจำของเราเมื่อวันวานฉายชัดในตอนที่เขายกยิ้มออกมาจนแก้มขึ้นเป็นก้อน...ซึ่งมันอยู่ในทุกอณูของความทรงจำที่เธอไม่อาจจะลืมเลือนมันไปได้ลง
ดวงตาต้องรีบเปรยลงต่ำในทันใด...แต่เหมือนว่ามันจะยิ่งเลวร้าย
เพราะขี้แมลงวันในตำแหน่งคอของเขา...ทำให้ภาพความทรงจำในคืนหวานชื่นของเราสองคนนั้นหวนกลับ เธอจดจำได้ดีในตอนที่ใช้ริมฝีปากกดจูบลงไปที่ขี้แมลงวันเสน่ห์ของเขาในจุดนั้น และเขาก็ชื่นชอบการกระทำของเธอแบบนั้นเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดที่เขาบอกว่าหากเธอไม่จูบคอเขาในคืนไหนคืนนั้นเขาจะนอนไม่หลับและฝันร้ายไปตลอดทั้งคืน
ตั้งแต่ที่เราเลิกรากันไป...เขาจะนอนฝันร้ายจริง ๆ อย่างที่ได้บอกกับเธอหรือเปล่านะ?
“นานจังเลยค่ะ”
“อุ้ย!”
เธอสะดุ้งและเด้งตัวออกจากเขาในทันใดเมื่อได้สติหวนกลับมาแล้วและก็พบว่าใบหน้าของเราสองคนนั้นห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้นขวาง
และดูเหมือนจะเป็นเธอไปเสียเองที่ขยับเข้าไปชิดใกล้กับเขาจนความห่างไกลของเรานั้นค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ และถ้าหากเขาไม่เอ่ยออกมาเมื่อสักครู่...ตอนนี้เธอก็คงจูบคอของเขาอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเคยชินไปเสียแล้ว
“ขอโทษค่ะ คือว่าพี่...”
“ไม่เป็นไรค่ะ นับเข้าใจว่ามันเป็นความเคยชิน”
เขายกยิ้มออกมาอย่างสบาย ๆ และผละสายตาออกไปจากใบหน้าของเธอราวกับมองหาอะไรบางอย่าง
และขี้แมลงวันของเขาในจุดนั้นก็ดึงดูดความสนใจของเธอได้อีกครั้งจนเธอต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดอกุศลของตัวเองออกไปโดยทันใด
“ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว...พี่รีบทานดีกว่าเราจะได้ออกเดินทางกันต่อ”
เขาเอ่ยบอกพร้อมกับหันมาสบมองใบหน้าของเธออีกครั้งหนึ่ง
“นี่ขนมปังวีทแบบที่พี่ชอบ แล้วก็นับเลือกไส้ทูน่าพร้อมกับผักเยอะ ๆ มาให้เพราะปกติพี่เป็นคนไม่ทานดึก”
เขาบอกพร้อมกับยื่นแซนวิชที่ยังไม่แกะห่อให้มาอยู่ที่ตรงหน้าของเธอ
“อ๋อ เดี๋ยวนับแกะให้นะ”
และเขาก็นำมันกลับไปอีกครั้ง
พร้อมกับแกะห่อโดยที่ด้านล่างยังคงเหลือห่อเอาไว้เล็กน้อยสำหรับจับทาน แสดงออกถึงความใส่ใจของเขาที่ยังคงจดจำทุกรายละเอียดของเธอได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นคนไม่ชอบทานอะไรที่มันเลอะเทอะและวุ่นวาย
“ที่นี้ทานได้แล้วค่ะ”
จันทร์เจ้าเอื้อมมือไปรับแซนวิชที่อยู่ตรงหน้าของตนมาถือเอาไว้โดยที่สายตาของเธอยังไม่ละออกจากเจ้าแซนวิชก้อนนี้ไปไหน
ผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้วทำไมเขายังต้องจดจำรายละเอียดเล็กน้อยของเธอได้อยู่...เธอไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนะว่าเขายังคงหลงเหลือความรู้สึกกับเธออยู่บ้างไม่มากก็น้อย
“นับลืมน้ำเปล่า...เดี๋ยวไปเอามาให้นะคะ”
เขาเอ่ยบอกอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง
ทุกการย่างก้าว ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของนับหนึ่ง...ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเธอทั้งหมด
มีตอนที่เขายืนรอน้ำจากพนักงานและเขาหันมาสบมองใบหน้าของเธอ เขาก็ยกยิ้มออกมาให้แก่กันพร้อมกับทำปากขมุบขมิบว่ารอก่อนนะเหมือนตอนที่เราสองคนยังคบกันอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน
ในตอนนี้หัวใจของเธอมันกำลังสับสนไปหมดกับความรู้สึกของตนเองที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งในความสับสนของเธอนั้นมันดันมีคำนี้อยู่ด้วยว่า...
เราสองคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกได้ไหม?
และเธอก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้รินไหลลงมาในขณะที่แก้มของเธอยังคงเคี้ยวตุ่ยกับแซนวิชที่เขาใส่ใจสั่งมันให้กับเธอ...เพราะความจริงข้อหนึ่งที่เธอคิดขึ้นมาได้ในตอนนี้
คือเขาเป็นคนบอกเลิกกับเธอเองอย่างไม่มีเยื่อใย...