“ฮึม...ฮือ”
เสียงเพลงยังคงดำเนินไปพร้อมกับเสียงของคนข้างกายที่ฮัมเพลงตามวิทยุไปอย่างอารมณ์ดี
เวลานี้เป็นเวลาตีหนึ่งนิด ๆ และเรากำลังเริ่มเดินทางต่อ โดยตลอดมาที่เธอพยายามเอ่ยถามว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหนแต่ผลปรากฏว่าคนข้างกายของเธอนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะคายความจริงออกมาให้เธอได้รับรู้แต่อย่างใดเลย
เราไร้บทสนทนาระหว่างกันมาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง และดูเหมือนเราจะเริ่มออกต่างจังหวัดเรื่อย ๆ เพราะมีป้ายบอกทางอยู่บ้างประปรายให้เธอได้พบเห็น แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเรากำลังจะไปที่ไหนกันแน่
ซึ่งสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอได้ในตอนนี้...ก็คงไม่พ้นลมเย็น ๆ ที่กำลังปะทะเข้ากับผิวกายของเธออยู่ ผ่านรถเปิดประทุนที่นับหนึ่งเปิดมันเอาไว้อย่างไม่ได้หวาดกลัวเลยว่าน้ำค้างจะตกลงมาใส่หัวของเขาไปตั้งเท่าไรแล้ว
ถึงแม้จะบ้าระห่ำแต่นับหนึ่งก็เป็นคนที่ป่วยง่าย...เวลาเขาป่วยขึ้นมาทีไรก็ต้องเป็นเธอทั้งเช้าทั้งค่ำที่คอยเช็ดตัวให้กับเขาจนกว่าที่ไข้ของเขาจะลดลง เพราะไม่อย่างนั้นนับหนึ่งจะป่วยหนักมาก และอาการของเขาจะแย่ลงเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
“พี่จันทร์!”
เธอตกใจจนสะดุ้งโหยงเพราะอยู่ดี ๆ เขาก็ตะโกนเรียกกันเสียงดังลั่น
ซึ่งเธอก็หันหน้าไปทางเขาก่อนจะมองค้อนใส่อย่างไม่พอใจนัก ปกติเธอเองก็เป็นคนที่ตกใจง่าย และยิ่งเขามาตะโกนใส่กันอย่างนี้หัวใจของเธอเกือบวายไปเลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ ทำไมทำหน้าแบบนั้น...ตกใจนับเหรอ?”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกนับ...อยู่ใกล้กันแค่นี้จะตะโกนเรียกกันทำไม!”
เธอกระฟัดกระเฟียดและหันหน้ากลับมาสบมองไปข้างหน้าตามเดิมพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก
เจ้าคนบ้าคนนี้พอรู้ว่าเธอขี้ตกใจก็ชอบมาแกล้ง เขาชอบปิดไฟห้องน้ำตอนดึก ๆ เวลาที่เธอลุกมาเข้าห้องน้ำ และยังชอบมาแอบจ๊ะเอ๋กันจนเธอร้องไห้ใส่ไปตั้งกี่ครั้งกี่คราแล้วก็ยังชอบแกล้งกันไม่ยอมเลิกรา!
คอยดูนะ...คราวนี้เธอจะโกรธให้นาน ๆ เลย!
“พี่จันทร์...นับขอโทษ”
เขาหันมาสบมองเธอสลับกับสบมองทางข้างหน้าเป็นระยะ
“ก็นับเรียกพี่หลายรอบแล้ว...แต่พี่เหม่อไม่สนใจนับอะ”
เธอยังคงกอดอกเพราะโกรธเขาอยู่ที่กลั่นแกล้งเธอ
“นับรู้นะว่ามันคงไม่ใช่เวลาที่ต้องมาคิดอะไรแบบนี้...”
“…”
“แต่นับมีความสุขจังเลย...”
คำพูดของเขาจำให้เธอต้องหันหน้าไปสบมองเขาในทันใดอย่างนึกโกรธเคือง
แกล้งเธอได้จนสำเร็จแล้วมันน่ามีความสุขตรงไหน หากเมื่อกี้เธอหัวใจวายคารถขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบ ต้องเอ็ดเสียให้เข็ดเจ้าคนขี้แกล้ง!
“แกล้งพี่แล้วมันมี...”
“นับไม่ได้เห็นพี่งอนนับแบบนี้มาตั้งเจ็ดปีแล้ว...นับคิดถึงช่วงเวลานั้นของเราจัง”
คำต่อว่าทั้งหมดของเธอถูกกลืนหายไปจนหมดสิ้น
เธอกับนับหนึ่ง...เราสองคนเลิกกันมาตั้งเจ็ดปีแล้วนี่น่า
นี่คือความเป็นจริงที่เธอพึ่งนึกขึ้นได้ในตอนนี้ แล้วทำไมหัวใจของเธอ...มันถึงได้ใจหายทั้ง ๆ ที่เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้วกันนะ
จันทร์เจ้าปล่อยความคิดของตนเองให้จมลงไปสู่ห้วงลึกแห่งความทรงจำอีกครั้งกับเรื่องราวของเราทั้งหมดที่ผ่านพ้น
นี่เธอไม่ได้มีนับหนึ่งอยู่ในชีวิตของเธอมาตั้งเจ็ดปีเต็ม ๆ แล้ว และอารมณ์น้อยใจที่ไม่ใช่ความโกรธที่ลูกน้องทำงานผิดพลาดอย่างเมื่อสักครู่นี้...เธอไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่ที่ชีวิตของเธอไม่มีเขาอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ
แต่ทำไมความรู้สึกนั้นมันกลับเกิดขึ้นกับเธออย่างรวดเร็วทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอมาตั้งนานแล้วกันนะ...
ความเคยชินอย่างนั้นหรือ?
แต่เรื่องมันผ่านมานานกว่าเจ็ดปีแล้วนะ...
“พี่จันทร์”
เธอได้สติหวนกลับเมื่อตอนที่เขาเอ่ยเรียกกันขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ก่อนที่เธอจะได้พบเห็นว่าตอนนี้นับหนึ่งจอดรถที่ข้างทางแล้ว และเขาก็เดินอ้อมจากฝั่งคนขับมาเปิดประตูรถรอเธอเดินลงไปกับเขาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่อาจจะรู้ได้
จันทร์เจ้าหันมองไปรอบกายเพื่อสำรวจดูว่าที่นี่คือที่ไหน แต่สองข้างทางนั้นมันไม่มีป้ายบอกทางใด ๆ ให้เธอได้รับรู้แต่อย่างใดเลย
“นับมีที่ที่อยากจะพาพี่ไป...พี่ลงมากับนับได้ไหม?”
เขาเอื้อมมือมาที่ตรงหน้าของกันเพื่อให้เธอจับ
ซึ่งตอนนี้เธอจับสังเกตได้ว่าดวงตาของเขากำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เธอนั้นก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ชัด
มือของเธอยังไม่ได้จับประสานกับเขาไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่เชื่อใจเขา แต่ที่เธอยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมเอื้อมมือไปจับกับเขาน่ะ...มันเป็นเพราะว่าเธอกลัวหัวใจของตัวเองมากกว่าว่ามันจะสั่นไหวและพาลกลับไปคิดถึงวันวานของเราอีกครั้ง
“ขอโทษทีค่ะ...นับลืมตัวว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”
แต่ดูเหมือนคนเด็กกว่าจะเข้าใจเธอผิดเข้าให้อย่างจัง
แววตาที่สั่นไหวของเขาด้วยความเศร้าใจนั้นฉายชัดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะเลือนหาย และนับหนึ่งก็ตั้งท่าที่จะเดินจากกันไปให้เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะปล่อยใจปล่อยกายไปให้สุดกับค่ำคืนนี้...
แค่เพียงคืนเดียวที่เราสองคนมีกันและกันอีกครั้ง...
“หืม?”
เธอเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อยืดสีขาวของเขาเอาไว้จนนับหนึ่งนั้นหันมาสบมองใบหน้าของเธออย่างไม่เข้าใจ
แต่คนขี้อายอย่างเธอก็ทำได้เพียงแต่ก้มหน้าหงุดอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรให้ตัวเองไม่ต้องเขินอายมากไปกว่านี้ และประโยคเดียวที่เธอพอจะนึกออกนั้นมันก็คงจะเป็นประโยคนี้...
“นับจะยอมจ่ายเงินให้พี่เยอะขึ้นเพื่อที่จะให้เราเป็นเหมือนเดิมต่อกันใช่ไหม?”
“ค่ะ”
เขากะพริบตาถี่และตอบคำถามของเธอ
ซึ่งการจดจ้องมองใบหน้าของเธอโดยไม่ละสายตาของเขา จำให้มือของเธอเผลอกำแน่นจนมันชื้นเหงื่อเพราะกำลังเขินอายกับสายตาของนับหนึ่งจนไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ
“ถ้าอย่างนั้นนับก็รู้นิว่าพี่ชอบจับมือ...”
“อะไรนะคะ?”
ไอเจ้าบ้านี่แกล้งเธอหรือว่าไม่ได้ยินจริง ๆ กันแน่!
“ก็นับจะปล่อยให้พี่เดินไปคนเดียวท่ามกลางความมืดอย่างนี้เหรอ?”
เธอเงยหน้าสบมองเขาที่กำลังทำหน้าเหลอหลา
แล้วก็พลันต้องรีบก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอีกครั้งเพราะใบหน้าของเขาเวลามึน ๆ จับใจความไม่ทันแบบนี้มันดูน่ารักไม่หยอก...เหมือนเคย
“นับหนึ่ง!”
“นับเข้าใจแล้วค่ะ!”
เขารีบตอบพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือของเธอในทันใด
ทันทีที่มือของเราสองคนประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ความอบอุ่น ความคุ้นเคย และความรู้สึกทุก ๆ อย่างของเราสองคนที่เคยมีให้แก่กัน...มันก็ย้อนกลับเข้ามาในทุกอณูของความทรงจำทุกสิ่งอย่างจนเธออยากจะตบปากตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ที่ทำเป็นเก่ง
นับหนึ่งดึงมือของเธอเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้เธอนั้นลุกขึ้นยืน ซึ่งเธอก็ยอมลุกยืนตามการนำของคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว...จนในที่สุดตอนนี้เราก็เผชิญหน้ากันแม้ว่าตัวของเขาจะสูงโย่งกว่าเธอตั้งหลายสิบเซน
ตอนนั้นที่นับหนึ่งมาจีบเธอ...ตัวเราสองคนยังไล่เลี่ยกันอยู่เลยนี่น่า
“นึกไปถึงตอนที่เราได้จับมือกันครั้งแรกเลยนะคะ...หัวใจของนับเต้นเป็นจังหวะแบบนั้นเป๊ะเลย”
เขายกยิ้มบอกเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาให้เธอได้ฟัง
ซึ่งเธอก็อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าเธอเองก็มีความรู้สึก แต่ความรู้สึกของเธอนั้นมันย้อนกลับไปไกลกว่าเขานิดหน่อยเพราะเธอดันคิดไปถึงตอนที่เจ้าเด็กมอต้นห่าม ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเธอด้วยถ้อยคำที่หยาบคายไม่น่าคบหาพร้อมกับข้าวเหนียวหมูปิ้งในมือของตน
เธอแอบหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวจนคนที่เดินข้าง ๆ ต้องหันหน้ามาสบมองกันอย่างคนสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรและเลือกจะออกเท้าเดินต่อไปเพราะเธอจะไม่ยอมให้เขาได้รับรู้เด็ดขาดว่าตอนนี้เธอเผลอคิดถึงเจ้าเด็กมอต้นห่าม ๆ คนนั้นที่ชนะใจเธอเข้าให้เสียได้
เราสองคนเดินกันมาเล็กน้อยเธอก็ได้พบกับที่มหัศจรรย์ที่หนึ่งและเธอคิดว่ามันสวยมาก ๆ
อาจจะเป็นเพราะตรงหน้าของเธอไม่มีตึกราบ้านช่องอย่างที่เธอได้พบเห็นอยู่ในทุก ๆ วัน...มันจึงทำให้ดาวที่อยู่ข้างหน้าของเธอนั้นเด่นชัดจนอยากที่จะเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำของเธอไม่ให้มันเลือนหายไปไหน
“โล่งอกไปทีที่พี่ชอบ...”
เขาพูดออกมาอีกครั้งอย่างรู้สึกโล่งใจอย่างที่ได้บอกจริง ๆ
“พี่ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าพี่ชอบ...”
เธอสวนกลับอย่างไม่คิดที่จะเป็นผู้แพ้
“ไม่ต้องพูดอะไรหน้าพี่มันก็ฟ้องหมดทุกอย่างแล้วค่ะ”
เขากัดฟันตอบพร้อมกับใช้มือของตัวเองมาบีบจมูกของเธอเบา ๆ ด้วยความเคยชิน
ซึ่งเธอก็ย่นจมูกใส่เขาด้วยความเคยชินเช่นกันเพราะเรามักจะหยอกล้อกันอยู่เสมอ ๆ แต่แล้วสุดท้ายเขาก็ดันนิ่งและถอยมือกลับไปอย่างรวดเร็วดึงสติของเธอได้เช่นกันว่าเราสองคนนั้น...ไม่ได้มีสถานะเป็นแฟนกันเหมือนอย่างแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ขะ ขอโทษ...มันชินมือ”
เกิดเป็นการทำตัวไม่ถูกของเราสองคนขึ้นมาจนเป็นเธอที่ต้องใช้สายตากวาดไปเรื่อย ๆ เพื่อหาทางให้ความกระอักกระอ่วนนี้มันจบลง
ซึ่งเธอก็ได้พบหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าเราสองคนจะสามารถนั่งมันได้ และเธอก็ตั้งใจที่จะชี้ไปแต่ดันลืมไปเสียสนิทว่ามือข้างที่ถนัดของเธอนั้นถูกใครอีกคนเกาะกุมเอาไว้อยู่จนเธอต้องเลือกใช้มืออีกข้างเพื่อชี้มันแทน
มันคงเป็นความเคยชินมาตั้งแต่ตอนนั้น...เพราะเธอหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามือของเราสองคนนั้นยังคงจับประสานกันอยู่
“เราไปนั่งตรงนั้นกันสักพักดีไหม?”
“ความคิดดีเลย”
การตอบอย่างไม่เป็นตัวเองของเขาบ่งบอกแก่เธอได้เป็นอย่างดีว่าเขาเองก็กำลังทำตัวไม่ถูก
เราสองคนออกเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันโดยที่มือของเราทั้งสองคนนั้นยังคงจับประสานกันไม่ได้ละออกจากกันไปไหนแต่อย่างใด
นับหนึ่งเป็นคนที่ก้าวขึ้นไปบนโขดหินก่อนอย่างสำรวจว่าที่ตรงไหนสามารถเหยียบขึ้นไปได้บ้างโดยที่ไม่ลื่นล้ม ซึ่งเขาก็ทำไปเพราะความเคยชินของตนเองอีกตามเคย...และมันยังคงทำให้เธออุ่นใจได้อยู่เสมอแม้จะเป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาก็ตามที
พอเราสองคนได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว...ความเงียบก็ปกคลุมที่เราทั้งสองโดยทันควันอย่างคนที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อกันสืบเนื่องมาจากการกระทำที่เราสองคนลืมตัวกันเมื่อสักครู่นี้
สายตาของนับหนึ่งเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด และมันเป็นอาการของคนที่ทำตัวไม่ถูก...เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกันกับการที่ไม่รู้จะเอาสายตาของตัวเองไปวางไว้ที่ไหนมันถึงจะดูไม่มีพิรุธ
แต่เธอบอกเลยนะว่าพวกเรานี่โคตรจะพิรุธกันสุดยอด!
“ดาวสวย...”
“อากาศดี...”
แล้วพอจะเปิดปากพูดก็ดันใจตรงกันอีกด้วยต่างหาก
“นับก็ว่าดาวสวย...”
“พี่ก็ว่าอากาศดี...”
ให้ตายเถอะ...พวกเรานี้เพอร์เฟคสไตล์กันจริง ๆ
“เอาเป็นว่าดาวก็สวย...อากาศก็ดีเนอะ แฮะ”
สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเงียบเพื่อให้นับหนึ่งได้เป็นคนรับจบ
เพราะเขามักจะสร้างรอยยิ้มให้เธอได้อยู่เสมอ ๆ และยอมเป็นตัวตลกให้กับเธอและคนรอบข้างอยู่ตลอด เรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วของจริงเลย
จะว่าไปเมื่อก่อนเขาก็ยอมเธอตลอดเลยเหมือนกันนะ
ไม่สิ...เรียกว่ายอมกันทุกครั้งเลยจะดีเสียกว่า
ขนาดเธอขอร้องให้เขาปิดเรื่องความสัมพันธ์ของเราเอาไว้เป็นความลับ...เขายังยอมเธอเลยทั้ง ๆ ที่โดยนิสัยพื้นฐานของเขาน่ะเป็นคนเปิดเผยต่อโลกตั้งมากมายขนาดนั้น
“คิดถึงตอนที่เราสองคนได้เจอกันแรก ๆ จังเลยนะคะ”
เธอหันหน้าไปสบมองที่คนพูดอีกครั้งหนึ่ง
“ตอนที่พี่เห็นนับโดนแจ๋ดึงหูไปที่ห้องปกครอง...แล้วก็เป็นตอนที่นับเห็นพี่เดินลงมาจากรถด้วยหน้าที่ทาแค่แป้งเด็ก”
“พี่ไม่ได้ทาแป้งอะไรเลยเถอะ!”
“ฮ่า ๆ นั่นแหละค่ะ”
มือของเราสองคนประสานเข้าหากันโดยไม่รู้สึกตัว…
“นับยังจำได้เลยเรื่องที่ทำให้พี่โกรธ...จนไม่ยอมคุยกับนับไปตั้งเป็นอาทิตย์”
“เห้ยไอหนึ่ง! มึงมายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรตรงนี้วะ?”
“อย่ามายุ่งกับกูไอข้าว!”
เธอเอ็ดใส่เพื่อนสนิทของตัวเองในทันทีที่มันเดินมาโต้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอมาแอบอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วแบบไม่มีใครเห็น
“กูขอร้องเถอะ เลิกทำอะไรประหลาด ๆ แบบนี้สักทีได้ไหม อายคนอื่นเขา”
“ประหลาดอะไรของมึง แล้วก็นะ...ตรงนี้ไม่มีใครเห็นกู!”
“มึงไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหนว่าไม่มีใครเห็นมึงวะไอบื้อ!”
เธอมั่นใจแล้วนะว่าตัวเองหลบอยู่หลังป้าขายหมูปิ้งหน้าโรงเรียนจนมันมิด เพราะถ้ามีใครเห็นเธอ คนพวกนั้นก็คงจะเอ่ยทักเธอแล้วสิ...ว่าแต่ไอข้าวมันเห็นเธอได้อย่างไรกันนะ?
“นั่นพี่จันทร์เจ้าที่มึงชอบ...อ้าวไอนี่!”
เธอไม่รอให้เพื่อนสนิทพูดจนจบ
เธอก็รีบพาร่างของตัวเองเดินออกมาจากที่ซ่อนแอบอย่างหลังของป้าขายหมูปิ้งหน้าโรงเรียนในทันใด โดยเป้าหมายของเธอนั้นคือการเดินไปทักทายพี่จันทร์เจ้า...ที่เธอซื้อหมูปิ้งให้ตลอดทุกวันเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์แล้ว แต่พี่เขายังคุยกับเธอแบบนับคำได้อยู่เลยสงสัยว่าจะเขิน
นับหนึ่งเดินยิ้มร่าอย่างมีความสุขมาแต่ไกล และเธอแอบเห็นว่าพี่จันทร์เจ้าทำหน้าแปลก ๆ ก่อนจะหันมาทางเธอ
ซึ่งเมื่อเจ้าหล่อนพบเห็นใบหน้าของเธอแล้ว...เจ้าหล่อนกลับยิ่งเดินเข้าไปในโรงเรียนให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมและเธอเข้าใจพี่จันทร์เจ้าเป็นอย่างดีว่าเจ้าหล่อนอยากจะเล่นวิ่งไล่จับกับเธอเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา
เพราะพี่จันทร์เจ้ารู้น่ะสิว่าเธอเป็นนักกรีฑาของโรงเรียน ต่อให้วิ่งไปอีกกี่วันเจ้าหล่อนก็แพ้...แต่เจ้าหล่อนก็อยากจะเล่นกับเธอทุกวันเพื่อช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับเธอ
แหม...ช่างเป็นอนาคตแฟนสาวที่น่ารักจริง ๆ
“จับได้แล้ว!”
เธอตะโกนออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อหวังที่จะจับข้อมือของเจ้าหล่อน
แต่มันกลับไม่เป็นดั่งหวัง...เพราะนักกรีฑาคนนี้ดันสะดุดเข้ากับขาของตัวเองอย่างจังจนเผลอหลับตาปี๋ที่หน้าของตนนั้นกำลังจะจุ่มพื้นในอีกไม่ช้านาน
“โอ้ย!”
แต่เสียงนี้มันไม่ใช่เสียงของเธอ...แล้วทำไมเธอดันไม่เจ็บอะไรตรงไหนเลยนะ
นับหนึ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและสิ่งแรกที่เธอได้พบเห็นคือสีขาวสว่างที่ปรากฏแก่สายตา เธอค่อย ๆ พิจารณาว่าสนามบาสของโรงเรียนเรานั้นเป็นสีเขียวไม่ใช่หรือ...ก่อนจะได้ยินเสียงอู้อี้ของใครบางคนแถมพื้นที่เธอหน้าจุ่มอยู่นี่ยังขยับได้อีกด้วยต่างหาก!
“ลุกออกไปได้แล้ว!”
แต่เสียงฟังแล้วอยู่ใกล้จัง
“ฉันเจ็บ!”
“อุ๊ย!”
เธอรีบลุกขึ้นในทันใดเมื่อมองเห็นแล้วว่าที่หน้าของเธอจุ่มเมื่อสักครู่นั้นมันไม่ใช่พื้นแต่ดันเป็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่เธอวิ่งไล่เมื่อสักครู่
เจ้าหล่อนหันมาสบมองใบหน้าของเธอด้วยดวงหน้าแดงก่ำซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจนักว่าเกิดจากเขินหรือว่าโมโหกันแน่ และเธอก็เอื้อมมือไปหวังที่จะช่วยดึงเจ้าหล่อนให้ลุกขึ้น...แต่พี่จันทร์เจ้าดันปัดมือของเธอทิ้งจนถุงหมูปิ้งที่เธอตั้งใจเอามาให้กับเจ้าหล่อนนั้นมันกระเด็นไปไกลตกลงพื้นกระจัดกระจายไปหมด
“พี่จันทร์...”
“เลิกยุ่งกับฉันสักทีได้ไหม!”
เจ้าหล่อนหน้าแดงก่ำและตอนนี้คนทั้งสนามกำลังมองมาที่เราสองคนเป็นตาเดียว
“พี่จันทร์คือว่านับ…”
เจ้าหล่อนไม่ฟังเธอพูดอะไรก็วิ่งหนีกันไปในทันใดให้เธอได้แต่มองตามหลังและกะพริบตาปริบ ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก
จะดีใจได้ไหมนะที่เจ้าหล่อนพูดกับเธอยืดยาวขนาดนี้เป็นครั้งแรก...แต่ดูท่าแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเลยใช่ไหมนะ?
สรุปแล้วเขิน...หรือว่าโกรธเธอล่ะเนี่ย