ศึกรบ ตอนที่ 2

3957 คำ
และแล้ววันแห่งการส่งของล็อตใหม่ที่ว่าก็มาถึง ลูกน้องหลายสิบคนที่ไว้ใจได้ของณกรถูกเกณฑ์มาช่วยเหลือคุ้มกันรถส่งของโดยการขับรถกระบะตามห่างๆ ตลอดเส้นทาง ตามที่วางแผนเอาไว้เพื่อไม่ให้คนร้ายผิดสังเกต รถวิ่งผ่านจุดเกิดเหตุครั้งก่อนซึ่งเป็นทางเปลี่ยวท่ามกลางป่าละเมาะสองข้างทางแต่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นทุกคนต่างโล่งอกโล่งใจกันเป็นแถว                                                       แต่แล้วเมื่อเลยมาได้อีกเพียงยี่สิบกิโลเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่รถคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่บรรจุของสำคัญไว้ภายในทั้งสองคันขับผ่านทางสามแยกแห่งหนึ่ง ซึ่งบริเวณนั้นยังคงเป็นที่เปลี่ยวมากอยู่ รถสัญจรไปมาแทบจะไม่มีเลย ก็ปรากฏรถสิบล้อคันหนึ่งขับออกมาปิดขวางตรงทางสามแยกที่รถติดตามกำลังขับตามรถคอนเทนเนอร์ไป คนขับในรถสิบล้อคันนั้นรีบเปิดประตูและวิ่งไปขึ้นรถกระบะที่เพิ่งจะมาจอดอยู่อย่างรวดเร็ว เป็นผลให้รถกระบะสามคันที่บรรทุกคนงานของสวนผลไม้ดวงหฤทัยต้องหักหลบอย่างพันวัน คันหนึ่งเสียหลักพลิกคว่ำลงข้างทาง อีกสองคันเบรกจนรถหมุนอยู่กลางถนนแต่ก็สามารถบังคับรถไว้ได้ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถตามไปได้ทันเพราะมีรถสิบล้อขวางอยู่กลางถนนปิดเส้นทางเสียแล้ว คนงานที่ปลอดภัยจึงลงไปช่วยกันกู้รถที่ตกลงข้างทาง รถคอนเทนเนอร์สองคันยังคงวิ่งไปตามเส้นทางอย่างไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะเว้นระยะห่างกันพอสมควร แล้วจู่ๆ ก็มีรถกระบะสองคันขับเบียดซ้ายขวารถคันที่ขับนำหน้าทำให้คนขับต้องชะลอความเร็วเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซึ่งอาจนำมาถึงความสูญเสีย เมื่อรถคันหน้าเริ่มขับช้าลงรถคันหลังจึงชะลอความเร็วตาม รถกระบะของคนร้ายขับตามหลังมาอีกสองคัน คันหนึ่งวิ่งแซงทางด้านซ้ายอีกคันประกบทางด้านขวา ในตอนนี้รถคอนเทนเนอร์ทั้งสองคันจึงโดนประกบและขับเบียดบังคับให้จอด คนขับรถคอนเทนเนอร์จึงตัดสินใจจอดรถทันที คนในรถกระบะทั้งสี่คันซึ่งมีด้วยกันกว่าเจ็ดคนทั้งหมดสวมหมวกไหมพรมปกปิดใบหน้าวิ่งลงจากรถด้วยท่าทีรีบร้อนก่อนจะชักปืนออกจากเอวทุกคน สี่ในเจ็ดวิ่งไปประกบที่นั่งคนขับรถคอนเทนเนอร์ส่งสัญญาณให้คนขับลงมาจากรถโดยทั้งสี่คนร้ายใช้ปืนจี้อยู่ ที่เหลือวิ่งไปรอบๆ คอยดูลาดเลา “ลงมา!!! เร็วสิมึงเดี๋ยวกูยิงไส้แตก” หนึ่งในสี่แหกปากตะโกนบอกให้คนขับรีบลงมาเมื่อไม่ได้ดั่งใจมันจึงขึ้นไปดึงกระชากลงมาเสียเองอย่างทุลักทุเล โดยมันไม่ได้เอะใจสักนิดว่าทำไมรถทั้งสองคันมีเพียงแค่คนขับเท่านั้น ไม่มีเด็กรถอย่างที่เคยเป็น คนขับรถคอนเทนเนอร์ที่ใส่หมวกและแว่นตาสีดำทั้งสองคนยกมือขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะถูกพวกมันค้นตัวและผลักให้ประชิดตัวรถคันใหญ่ “เอ๊ย...พวกมึงเปิดดูของข้างในสิเร็วๆ หน่อยเดี๋ยวพ่อมึงก็แห่กันมาประเคนคุกให้พอดีหรอก” คนที่ดูหน้าจะเป็นหัวหน้าสั่งการทันที ลูกน้องสามคนจึงช่วยกันเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตู้แรก และเมื่อประตูทั้งสองแยกออกจากกัน ฟู่ๆๆๆๆๆๆ!! แก๊สน้ำตาชนิดขว้างถูกดึงกระเดื่องออกและโยนลงพื้น จนเกิดควันฟุ้งกระจาย “เอ๊ย...มันอะไรกันวะเนี่ย!!!” เสียงร้องโวยวายดังลั่นเมื่อแก๊สเริ่มออกฤทธิ์ ทางฝ่ายลูกพี่ได้ยินเสียงลูกน้องตัวเองโวยวายลั่นบริเวณท้ายรถพร้อมมีกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่ง ก็ทำท่าจะรีบวิ่งไปดูทันที แต่... พลั่ก!! พลั่ก!! ใบหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมวกไหมพรมหันซ้ายทีขวาทีตามแรงปะทะจากหมัดและศอกของคนขับรถคอนเทนเนอร์ทั้งสองที่มันเอาปืนจ่อ แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่หันมองลูกน้องเท่านั้น ทั้งคู่ก็อาศัยจังหวะนั้น คนนึงหันศอกกระแทกใบหน้าจนเซ อีกคนจึงรีบหันหลังประเคนหมัดใส่เข้าไปอีกทีอย่างเต็มแรงจนร่างหนานั้นลงไปกองกับพื้นสลบเหมือด คนงานที่แอบอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสองคันกันกรูเข้ามาประกบคนร้ายที่กำลังสำลักควันแล้วลากออกไปเพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะตกเป็นเหยื่อของแก๊สน้ำตาเสียเอง อีกส่วนก็ตามไปลากอีกสามคนที่ไม่ได้โดนควันเพราะอยู่ห่างจากบริเวณนั้นซึ่งกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดเมื่อรู้ว่าภัยมา จนเกิดการปะทะกันขึ้น ปัง!! ปัง!!! เสียงปืนจากหมาจนตรอกที่วิ่งไปยิงไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อป้องกันตัวเอง ปัง!!! ปัง!! ปัง!! สิ้นเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกหลายนัดจากทั้งสองฝ่าย ปรากฏว่าคนงานถูกยิงบาดเจ็บที่แขนหนึ่งคนจึงนำตัวขึ้นรถกระบะไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนคนร้ายทั้งสาม คนนึงถูกยิงบริเวณหน้าท้อง อีกสองคนที่ใช้ต้นไม้เป็นโล่กำบังจึงทิ้งปืนและยกมือขึ้น                                                                  “ไปเอาตัวมันมารวมกันที่นี่” “ครับ” เมื่อได้รับคำสั่งเหล่าคนงานสามสี่คนจึงเดินไปลากทั้งสามมารวมกับพวกของมันและหัวหน้าที่ยังคงไม่ได้สติมาด้วย ตอนนี้ทั้งหมดถูกเปิดเผยใบหน้าหมดแล้ว แต่ไม่มีใครในนั้นที่ทำงานในสวนผลไม้ดวงหทัย “เอาไงต่อดีครับนาย...ติดต่อสารวัตรเลยไหมครับ” สนเอ่ยถามเมื่อนายของมันทั้งสองเดินมาอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้ร้าย “รอก่อน...ฉันจะเอาพวกมันไปส่งเอง หรือนายว่าไงภูมิ” คนขับรถคอนเทนเนอร์คนนึงถอดหมวกแก๊ปออกเสยผมลวกๆ อย่างรำคาญ พวกมันที่กองอยู่กับพื้นถึงกับอ้าปากหวอเพราะจำได้ดีว่าคือใคร ณกร สุริยะนิมิตร และแน่นอนอีกคนต้องเป็นภูมิศิลาพี่ชายต่างสายเลือดของเขา “ไม่...ทำให้หัวหน้ามันลุกขึ้นมาสิ” ณกรยักไหล่ตามฟอร์มก่อนจะเดินไปกระทืบคนนอนสลบ พลั่ก!! “ณกร...ฉันอยากให้มันตื่นไม่ใช่ให้มันตาย” พี่ชายบุญธรรมยืนส่ายหน้ากับวิธีการของน้องชายที่ประเคนเท้าให้อย่างนั้น ชาติหน้าล่ะมั้งกว่ามันจะฟื้นขึ้นมาได้ “ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะฟื้นเร็วดีนี่...” “ตายเร็วสิไม่ว่า” ผู้เป็นพี่ส่ายหน้ากับวิธีการปลุกคนสลบของน้องขายซึ่งดูไม่ยี่หระอะไรคงยักไหล่เบ้หน้าอยู่ข้างๆ ภูมิศิลาใช้ให้คนงานคนหนึ่งไปนำขวดน้ำที่อยู่บนรถมาเปิดฝาออกแล้วสาดเข้าไปที่ใบหน้าของโจรร้าย คนสลบเริ่มรู้สึกตัวสะบัดหัวไปมาและใช้สองแขนยันพื้นเพื่อพยุงตัว มองดูรอบๆ มันถึงกับงงอึ้งแต่ก็ไม่โง่ถึงขนาดเดาเหตุการณ์ไม่ได้ พวกมันเสียทีเสียแล้ว ภูมิศิลาเดินเข้ามาใกล้มันแล้วนั่งยองๆ เอาปลายกระบอกปืนตบที่หัวเบาๆ “ใครใช้ให้มึงทำ...มึงปล้นของของกูไปให้ใคร บอกมาเร็วๆ ไม่งั้น...กูยิงไส้แตก” คนโดนขู่ถึงกับน่าซีดรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นรอง ลูกน้องแต่ละคนสะบักสะบอมนั่งเจ่ากับพื้น รอบตัวห้อมล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์มากกว่าสิบคน และดูท่าทางชายหนุ่มคนที่ขู่มันจะเอาจริงเสียด้วยดูจากสายตาเย็นยะเยือกนั้นแล้วถึงกับขนลุกซู่ ณกรยืนกอดอกดูการสอบสวนของพี่ชายอย่างหน่ายๆ ในใจนั้นคิดถ้าเป็นเขานะหากมันไม่ตอบก็ยิงขาทีละข้างไม่ตอบอีกก็ยิงแขนทีละข้างหากยังปากแข็งก็ยิงปากมันซะ จบเรื่อง “กู...กูไม่รู้เขาจ้างกูมาอีกที” พลั่ก!!! สันปืนกระทบที่กกหูอย่างแรงจนหน้าสะบัด เลือดสดๆ เริ่มไหลออกจากแผลจนเป็นทาง ภูมิศิลาลากปืนไปตามใบหน้าลงมาเรื่อยจนถึงใจกลางเป้ากางเกง “ทีนี้มึงจะรู้ได้หรือยัง...บอกสิ่งที่มึงรู้มาให้หมด...ไม่งั้นลูกชายมึงไปเกิดแน่” “กูไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ ไอ้แสนกับไอ้ชื่นลูกน้องในไร่นายภูมินั่นแหละที่เอาเงินมาให้เราเราแค่ดักปล้นแล้วก็เอาของไปส่งยังที่นัดหมายแล้วก็แยกย้ายกันไป ของอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย ปล่อยพวกเราไปเถอะ” ความกลัวมันจึงละล่ำละลักบอกในสิ่งที่รู้มาทันที “เป็นอย่างที่นายคิดไว้จริงๆ...ณกร นายโทร. ไปสั่งคนให้จับไอ้สองตัวนั่นไปที่บ้านของฉันแล้วตามฉันมา” “นาย...นายปล่อยพวกเราไปใช่ไหม” โจรห้าร้อยหวังเอาชีวิตรอดคลานเข่าอ้อนวอน                                              ปัง!!! “โอ๊ย...โอย!!” เสียงร้องโหยหวนจากคนถาม เมื่อสิ้นเสียงปืน กระสุนได้เจาะทะลุหัวเข่าของมันจนเลือดอาบดิ้นทุรนทุราย ภูมิศิลาที่ยืนหน้าเหี้ยมเกรียมมองมันอย่างโกรธจัด ณกรแสยะยิ้มเหมือนจะสะใจก่อนหยิบมือถือโทรหาลูกน้องให้ปฏิบัติตามที่พี่ชายบอก “ปล่อยสิ...กูจะปล่อยให้ตำรวจจัดการพวกมึง...ของกูหายไปตั้งหลายล้านมึงคิดจะเดินไปอย่างสบายๆ ต่อหน้าต่อตากูอย่างนั้นเหรอ แค่นี้กูก็ปราณีพวกมึงมากแล้ว...ไปเถอะณกร ทางนี้พวกนายจัดการด้วยแล้วกัน” สองพี่น้องเดินไปแล้วลูกน้องที่รับคำสั่งต่างก็จับตัวพวกโจร ลากไปบ้างหิ้วไปบ้างให้มานั่งกองรวมกันแล้วโทรเรียกตำรวจให้มาเอาตัวไป จากนั้นก็ขับรถคอนเทนเนอร์ที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนอกจากอากาศหายใจกลับไปคืนทางบริษัทขนส่ง แผนการของพวกเขาสำเร็จอย่างง่ายดายนั่นเป็นเพราะพวกมันชะล่าใจคิดว่ามีของให้ปล้นได้ง่ายๆ อย่างที่เคย แถมปริมาณก็มีมากกว่าเดิมถึงสามเท่าอีกด้วยย่อมทำให้เกิดความละโมบ ความจริงนั่นเป็นแค่แผนจับโจรเท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตว่าการขนส่งดูธรรมดาเกินไปไม่สมกับที่เคยถูกปล้นมา จึงให้มีคนงานคอยคุ้มกันซึ่งในนั้นก็มีหนอนบ่อนไส้ทั้งสองอยู่ด้วย พวกมันจึงรับรู้แค่ปฏิบัติการตรงนั้น คนงานอีกส่วนถูกแอบซ่อนไปในรถคอนเทนเนอร์อย่างลับๆ เพื่อจัดการกับพวกมัน โดยที่รถทั้งสองคันมีณกรกับภูมิศิลาเป็นคนขับนั่นเอง หากเมื่อครู่ไม่ได้เป็นแผนการแล้ว รถที่พวกเขาขับเป็นถึงรถคอนเทนเนอร์มีขนาดใหญ่มาก รถกระบะแค่ไม่กี่คันขับเบียด คงบี้เละเป็นเศษขยะไปแล้วล่ะ ไม่ปล่อยให้โจรกระจอกเหิมเกริมจอดรถให้มันเชือดได้ง่ายๆ หรอก เมื่อณกรและภูมิศิลาขับรถมาถึงลูกน้องที่สั่งการไว้ก็ได้นำหนอนบ่อนไส้ทั้งสองจับมัดรออยู่แล้ว พวกมันไม่มีโอกาสหนีแม้จะคิดก็ตามที เพราะณกรได้สั่งให้คนงานที่ไว้ใจได้จับตาดูอยู่ตลอดเวลา กว่าที่พวกมันจะไหวตัวทันก็สายไปเกินไปเสียแล้ว แสนกับชื่นสองงูพิษถูกจับมัดแขนไขว้หลังนั่งคุกเข่าอยู่ห้องเก็บของหลังบ้านของภูมิศิลา ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นเหมือนกับที่ณกรมีเพียงแต่อยู่คนละฝากของพื้นที่เท่านั้นเอง เขาเอาไว้พักผ่อนยามต้องเข้ามาทำงานในสวนเพราะบ้านหลังใหญ่นั้นอยู่ไกลเกินไป และบางทีชายหนุ่มเองก็อยากมีความเป็นส่วนตัวบ้างเหมือนกัน ทั้งสองพี่น้องจึงตัดสินใจปลูกบ้านหลังเล็กกะทัดรัดคนละหลัง เลือกที่ดินตามที่ตัวเองชอบแต่ก็อยู่ไม่ไกลกัน “ว่าไง...พวกมึงจะบอกได้หรือยังว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” ภูมิศิลาที่นั่งดูดบุหรี่บนเก้าอี้ไม้ถามนักโทษของตัวเองโดยข้างๆ มีณกรยืนกอดอกมองสภาพสะบักสะบอมของทั้งสองที่เกิดจากพี่ชายของเขาสั่งให้คนซ้อมอย่างหนักเพื่อเค้นเอาความจริงแต่ก็ยังไร้ผล ไม่ว่าจะถามหรือกระทืบเป็นกระสอบทรายมันสองคนยังคงปิดปากเงียบ “กูชักไม่อยากเล่นกับพวกมึงแล้วสิ...เสียเวลามากแล้ว...ไม้! มึงไปเอามีดมาให้กูที” ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง รับมีดมาจากลูกน้อง เดินอาดไปยังคนทั้งสองก่อนจะนั่งยองๆ ไกวมีดในมือไปมา มืออีกข้างจับล็อกปลายคางหนาให้หันมาทางตน “ไอ้แสน...มึงบอกกูสิว่า...มึงทำงานให้ใคร” แม้จะกลัวจนลนลานสายตาวอกแวกไม่แน่นิ่งเหมือนเคย แสนก็ยังคงปิดปากเงียบเพราะถึงมันบอกในสิ่งที่ภูมิศิลาอยากรู้และรอดไปจากตรงนี้ได้..แต่สุดท้ายมันก็ต้องตายด้วยฝีมือคนอื่นซึ่งมันทั้งสองก็รู้อยู่แก่ใจดีจึงเลือกที่จะเก็บความลับให้สูญพร้อมไปกับชีวิตมันเสียดีกว่า นักโทษหลบสายตาคมที่จ้องเขม็งอย่างรู้ชะตากรรมของตัวเอง ว่าอย่างไรแล้วอดีตนายของมันคนนี้คงไม่ยอมแน่ๆ หากไม่ได้ความคืบหน้าอะไรจากมัน “อ๊าก!!!...” เสียงร้องดังลั่น เมื่อมีดปลายแหลมค่อยๆ เจาะลงบริเวณหน้าอกซ้ายมันอย่างช้าๆ ณกรถึงกับหันหน้าไปทางอื่นยามที่ภูมิศิลาหมุนมีดเป็นวงกลมทิ่มลึกลงไปทีละนิดๆ เลือดสีแดงสดไหลอาบเสื้อผู้ถูกกระทำ ณกรเริ่มทำหน้าแหยเบี่ยงหน้าหลบกับความโหดเหี้ยมของภูมิศิลา นี่พี่ชายของเขาคงไม่คิดจะเจาะให้ถึงหัวใจหรอกนะ “ว่าไง...ไอ้แสนมึงจะเปิดปากได้หรือยัง...หรือต้องให้กูควักหัวใจออกมาให้มึงดูเสียก่อน...” เสียงพี่ชายบุญธรรมกวาดขู่แข่งกับเสียงร้องโหยหวนของนักโทษ ก็น่าจะเจ็บอยู่หรอก มีดนะนั่น คมด้วยแล้วที่ภูมิศิลากำลังเจาะหมุนเล่นเป็นวงกลมนั่นก็เนื้อหนังมังสาของคนเป็นๆ ที่ยังมีลมหายใจ ณกรซี้ดปากอย่างหวาดเสียว ถ้าเป็นเขาคงยิงทิ้งทีเดียวไปเลยไม่ใจเย็นแบบโหดๆ ได้อย่างนี้หรอก “จะให้กูบอกมึงเหรอ...ไอ้กระจอก...ถุย!!!!!” น้ำลายบวกกับน้ำเลือดถูกถ่มใส่หน้าภูมิศิลาจนเปื้อนเต็มหน้า สายตาชายหนุ่มแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว ณกรไม่คิดว่านักโทษหนุ่มจะกล้าทำกับพี่ชายเขาขนาดนี้ เขาจึงอยากเข้าไปร่วมโรงแล่เนื้อมันด้วยอีกคน แต่เพียงแค่ก้าวไปได้สองก้าวเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดชะงัก กระตุกยิ้มนิดหน่อย คงไม่ต้องช่วยแล้วล่ะมั้ง ฉับ!!!!!  มีดแหลมคมถูกดึงออกจากหน้าอกที่ชุ่มไปด้วยเลือด ปาดฉับเข้าที่คอมันอย่างแม่นยำเลือดกระฉูดออกจากเส้นเลือดใหญ่กระจายไปทั่วบริเวณ ลูกน้องที่จับอยู่ต้องปล่อยมืออย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง ร่างของแสนจึงหงายหลังลงไปกองกับพื้นดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกถลนแสดงออกถึงความทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนจะแน่นิ่งไป ชื่นเพื่อนของมันอีกคนกลัวจนหน้าที่บวมช้ำเลือดช้ำหนองนั้นซีดเผือด ต่อไปคงถึงตามันแล้วสินะคงหนีไม่พ้นสภาพนี้เหมือนกัน “ต่อไปก็มึง” หน้าเหี้ยมหันมาทางนักโทษอีกคน มือหนาถอดเสื้อที่เต็มไปด้วยเลือดออก ใช้ส่วนที่สะอาดเช็ดใบหน้าที่แดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ ซึ่งถูกคนตายหมาดๆ ถ่มใส่ ยามนี้ณกรเองไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามด้วย ภูมิศิลากำลังได้ฟิวส์เขายืนดูเฉยๆ จะดีกว่าจะได้ไม่ต้องเจ็บมือด้วย งานแบบนี้พี่ชายเขาถนัดกว่าเยอะ ชื่นถึงกับคลานเข่าถอยหลังแต่ก็ถูกจับล็อกไว้เช่นเดียวกับแสนเมื่อครู่ มันจึงทำได้แค่ส่ายหน้าไปมาอย่างรู้ชะตากรรมของตน ภูมิศิลานั่งยองๆ อย่างเคยตรงหน้ามันพร้อมตวัดมีดเล่มเดิมที่โชกไปด้วยเลือด แต่คราวนี้เป้าหมายไม่ใช่หน้าอกซ้ายที่โอบอุ้มหัวใจเอาไว้ กลับเป็นดวงตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความกลัว “มึง...บอกกูได้ไหม...ว่าใคร...สั่ง” คำตอบยังคงเป็นความเงียบเช่นเคย ถึงแม้อาการของมันจะส่อให้เห็นถึงความขลาดกลัวแต่มันก็ยังเลือกที่จะไม่พูด ณกรเองเข้าใจพี่ชายดี พวกเขาทั้งสองบากบั่นกับการทำงานมาตั้งแต่จำความได้ ทุกอย่างสร้างด้วยสองมืออย่างยากลำบาก กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้พวกเขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาไม่น้อย ของที่ถูกปล้นไปถ้าเทียบกับคนมีเงินคงมีค่าแค่เล็กน้อยแต่สำหรับพวกเขาแล้วมันมีค่ามหาศาลเพราะสิ่งของเหล่านั้นคือส่วนที่จะมาช่วยในเรื่องผลผลิตให้มีความเจริญงอกงาม และนั่นหมายถึงการเจริญเติบโตไปในทางที่ดีของกิจการด้วย จึงไม่แปลกที่ภูมิศิลาจะโกรธจัดกับเรื่องที่เกิดขึ้นแถมคนที่ร่วมมือกระทำยังเป็นคนในที่เลี้ยงไม่เชื่อง มันก็สมควรได้รับโทษของมันแล้ว มีดโชกเลือดจึงค่อยๆ กดลงไปมันรีบปิดตาหนีทันที มีดแหลมจึงค่อยๆ ปักลงที่เปลือกตาและถูกเพิ่มแรงกดเขาไปจนทะลุเปลือกตาบางๆ “อ๊ากกกก...” เสียงร้องโหยหวนดังทั่วบริเวณ หัวมันถูกจับไว้มั่นโดยลูกน้องอีกคน มีดคมยังคงกดปลายกรีดลากตามความยาวของเปลือกตาบนอย่างช้าๆ “มึงคงอยากเป็นอย่างเพื่อนมึง...” คมมีดยิ่งกดลึกลงไปที่หัวตา เลือดสีแดงสดเริ่มไหลซิบออกมา “บอกแล้ว...บอกแล้วนายอย่าทำผมเลย ฮือๆๆๆ” ชายหนุ่มผู้ลงมือชะงักยิ้มเยาะที่มุมปากหนาก่อนจะเดินเปลือยอกมานั่งตรงเก้าอี้ตัวเดิมก้มตัวลงมานิดนึง สายตามองไปยังนักโทษอาการสาหัสสากรรจ์ที่นั่งตัวสั่นงกตรงหน้า มีดในมือยังคงถูกแกว่งไกวไปมาอย่างอารมณ์ดี “ใคร...” น้ำเสียงนั้นช่างเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก “คุณ...คุณพิทักษ์ครับ...คุณพิทักษ์ครับนาย” ชื่นตอบด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อได้ยินชื่อทั้งภูมิศิลาและณกรถึงกับร้องอ๋อ เพราะนายพิทักษ์ที่ว่านี้คือเจ้าของไร่และสวนผลไม้รายใหญ่ที่สุดในภาคเหนือซึ่งพวกเขายังเป็นรองบุคคลคนนี้อยู่มากในทุกๆ ด้านแล้วทำไมจึงได้คิดเล่นงานพวกเขากันนะ       “นายพิทักษ์เหรอ...เขาอยู่คนละจังหวัดกับเราด้วยซ้ำแล้วทำไมจึงได้คิดเล่นงานเรา” ณกรเดินเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ                                                                 “เพราะระยะสองสามปีหลังมานี้ ลูกค้ารายใหญ่ของคุณปันถูกนายแย่งไปหลายรายแล้วครับ...เมื่อลูกค้ารายใหญ่มาหานายลูกค้ารายย่อยเล็กๆ ก็พลอยตามไปด้วยทำให้รายได้ลดลงเรื่อยๆ ผลผลิตก็ค้างสต็อกจนต้องเอามาขายในราคาถูกลง คุณปันคิดว่าถ้าปล่อยให้นายขยายตัวอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ลูกค้าคงจะไปซื้อผลผลิตของนายกันหมดแน่...แล้ว...แล้วอีกเรื่องก็คือที่ดินผืนใหญ่ที่พวกนายไปกว้านซื้อคุณปันก็เล็งอยู่ก่อนแล้วแต่ตกลงกับเจ้าของที่ไม่ได้ พวกนายก็เป็นคนได้ไป...” เมื่อฟังจากคำพูดและคำเรียกชื่อเล่นที่สนิทสนมทั้งสองพี่น้องจึงเชื่อแน่ว่าไอ้มารสองคนนี้คงไม่ได้ตั้งใจมาสมัครงานเพื่อทำงานอย่างคนอื่นๆ ตั้งแต่ทีแรกแล้ว มันเป็นหนอนบ่อนไส้ตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว “พวกแกเป็นอะไรกับนายพิทักษ์ ทำไมกลัวมันนัก...แล้วของที่ปล้นไปมันเอาไปไว้ไหน” ภูมิศิลาถามขึ้นบ้าง “ผมกับไอ้แสนเป็นลูกน้องของคุณปันครับ...คุณปันชุบเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก...แล้วเอ่อ...ของที่ปล้นไปพอปล้นมาได้ก็นำไปที่ไร่คุณปัน ก่อนจะขนไปเก็บในโกดังที่จังหวัดปทุมฯ อีกทอดครับนาย” ชื่นบอกละล่ำละลัก สายตาหลุกหลิกไม่กล้าสบตาผู้เป็นอดีตนายเพราะความกลัว “ทำไมต้องพาไปไกลขนาดนั้น” “เพื่อไม่ให้ใครสงสัยครับ นายภูมิ...เพราะถ้าเอาไปไว้ไกลขนาดนั้นก็สาวตัวได้ยาก ว่าเป็นใครกันแน่” “แล้วแกรู้จักโกดังที่ว่าไหม” “รู้...รู้ครับ นายภูมิ...แต่...แต่ผมไม่กล้าพาไป...คือคุณปันเอาผมตายแน่”                                                                                “แล้ว...แกคิดว่าถ้าไม่พาพวกฉันไปแกจะรอดเหรอ...เลือกเอาจะตายตอนนี้หรือจะยืดเวลาไปอีกสักหน่อย...บางทีฉันกับณกรอาจไม่ใจดำถึงขนาดฆ่าแกงแกก็ได้หากแกทำประโยชน์ให้เรา”                                                                              ข้อเสนอของภูมิศิลาทำให้ชื่นรู้ว่ามันไม่ได้มีทางเลือกมากนักในการตัดสินใจ มันจึงตกลงช่วยนำทางไปยังโกดังซึ่งได้ซุกซ่อนของที่ปล้นไป     ภูมิศิลา ณกรรวมถึงคนงานอีกส่วนจึงออกเดินทางไปยังจังหวัดปทุมธานีทันทีโดยการนำทางของชื่นอดีตคนงานเก่าและเป็นนักโทษของพวกเขาในตอนนี้ พอไปถึงโกดังร้างก็พบว่ามีคนคอยดูแลอยู่เพียงสองสามคน เมื่อสอบถามทั้งหมดกลับไม่รู้จักกับนายพิทักษ์เลย บอกเพียงว่ามีคนจ้างมาให้เฝ้าโกดังเท่านั้น ภูมิศิลาจึงสอบถามเจ้าของโกดังเมื่อพบตัวก็ได้ความว่ามีคนมาขอเช่าโกดังเพื่อเก็บสินค้า ตนจึงปล่อยให้เช่าโดยผ่านนายหน้าอีกทีถึงไม่รู้ว่าคนเช่าที่แท้จริงคือใคร นับว่านายพิทักษ์ระวังเรื่องนี้พอสมควรเพราะไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ ให้สาวถึงตัวเลย ทั้งพวกที่ชื่นกับแสนจ้างวานก็ไม่รู้จักกับคนบงการ และชื่นกับแสนเองก็เป็นคนงานในไร่ดวงหทัย ดังนั้นถึงชื่นจะให้การว่าได้รับคำสั่งจากนายพิทักษ์จริงก็คงเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้นเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับตัวนายพิทักษ์โดยตรงสักอย่าง ทุกอย่างดูจะไกลจากตัวบงการเหลือเกิน พวกเขาเข้าไปตรวจสอบสินค้า พบว่ามีบางส่วนที่หายไปแต่ก็ไม่เยอะ ส่วนมากยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ภูมิศิลาและณกรจึงแสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าของสินค้ารวมทั้งเล่าความเป็นมาให้ฟัง และขอของกลับคืนหากไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาจะแจ้งความดำเนินคดีฐานมีของโจรไว้ในครอบครอง ซึ่งชื่นกับพวกที่ถูกส่งตำรวจไปแล้วเป็นพยานได้อย่างดี เถ้าแก่เจ้าของโกดังจึงยอมส่งของคืนให้ ถึงแม้จะสาวไปถึงตัวบงการตัวจริงได้ยากแต่พวกเขาก็ได้สินค้ากลับคืนมา ส่วนชื่นก็ถูกนำไปมอบให้ตำรวจดำเนินคดีต่อไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สองพี่น้องแน่ใจว่าเรื่องราวคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่ เพราะพวกเขาเองก็จะไม่ยอมปล่อยใครมาเหยียบจมูกได้ฝ่ายเดียวอีกแล้วเหมือนกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม