ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าตัวตนดั้งเดิมที่แท้จริงของขันทีผู้นี้หาใช่ชาวหยวนเป่ยโดยกำเนิด ในความเป็นจริงแล้วคือสายลับที่ถูกฮ่องเต้ต้าเหลียงและฮ่องเต้ต้าซางซึ่งจับมือผนึกกำลังหวังโค่นล้มหยวนเป่ย ถูกส่งตัวเข้ามาแทรกซึมคอยหาข่าวภายในราชสำนักหยวนเป่ย เป้าหมายเพื่อหาโอกาสลอบสังหารอุปราชอวิ๋นหยาง และถ้าหากลงมือกับอุปราชผู้นั้นสำเร็จมีหรือชีวิตของอินอวิ๋นฉวี่จะอยู่รอดต่อไปได้นาน ฮ่องเต้หนุ่มจะต้องถูกสังหารตายตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทันทีที่ชีวิตของอินอวิ๋นหยางหลุดลอยออกจากร่าง
แต่ที่ไม่ลงมือปลงพระชนม์อินอวิ๋นฉวี่ด้วยเพราะ หากอวิ๋นฉวี่สวรรคตลงวันใดแน่นอนว่า แผ่นดินหยวนเป่ยจะต้องตกเป็นของอุปราชผู้กล้าอินอวิ๋นหยางโดยทันที และนั่นจะยิ่งยากกว่าอะไรทั้งหมดหากจะคิดเป็นอิสระและก้าวขึ้นมาครอบครองหยวนเป่ย แทนที่นั้นต้องสืบล่วงรู้จุดอ่อนของอุปราชลือชื่อผู้นี้ให้จงได้รวมไปถึงที่พำนักอันแท้จริงของพระองค์
ด้วยไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอุปราชผู้นี้ประทับอยู่แห่งหนใดและบริหารแผ่นดินโดยใช้อินทรีทองสื่อสารอันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งต้าเหลียงและต้าซางรวมไปถึงหยวนเป่ยนั้นต่างรบพุ่งกันมานานเพื่อแผ่ขยายอำนาจที่อยู่ติดกันให้รวมเป็นหนึ่งเดียวจนกระทั่งอวิ๋นหยางบุกเข้ายึดครองและสามารถโจมตีแคว้นต้าเหลียงและต้าซางได้เป็นผลสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้าเหลียงและต้าซางกลายเป็นแคว้นภายใต้การปกครองของหยวนเป่ยนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชีวิตผู้คนถูกสังหารแทบหมดเมืองเพราะความอำมหิตของอินอวิ๋นหยางแทนที่จะใช้ฆ่าหนึ่งข่มร้อย แต่อุปราชผู้นี้กลับเลือกที่จะฆ่าทั้งเมืองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมสยบแทบเท้า
จวบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 12 ปีแล้วที่ต้องก้มหัวให้และมีหน้าที่ส่งบรรณาการตามข้อตกลงสัญญาสงบศึกมาให้เป็นประจำทุกปี และวิธีเดียวที่จะทำให้ต้าเหลียงและต้าซางจะได้รับอิสรภาพจากหยวนเป่ยนั่นก็คือ ปลิดชีพอุปราชผู้ลือนามให้จงได้
ทว่าหามีผู้ใดสามารถที่จะเข้าถึงตัวของอินอวิ๋นหยางได้แม้แต่น้อย สาเหตุเพราะอุปราชผู้กล้าเป็นผู้นำกองทัพออกล่าดินแดนมาโดยตลอด นำกองทัพผ่านแคว้นใดไม่มีคำว่าพ่ายแพ้มีแต่ได้รับชัยชนะกลับมา จนเป็นที่กล่าวขวัญและเลื่องลือไปทั่วทุกแดนดินถึงความเก่งกาจอย่างหาตัวจับได้ยาก อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดพานพบตัวตนที่แท้จริงของอุปราชผู้นี้
หากนับอายุจนถึงขณะนี้อุปราชอวิ๋นหยางมีอายุย่างเข้า 29 พระชันษาแล้ว ทรงจากหยวนเป่ยไปตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงแค่ 12 พระชันษาเท่านั้นและเข้าไปอยู่ในกองทัพตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่าเอาชีวิตจากฮองไทเฮา
ที่ต้องการกำจัดพระโอรสทุกพระองค์ที่ประสูติจากฟูเหรินตลอดจนถึงพระสนมองค์อื่นๆ เพื่อไม่ให้อยู่ขวางทางการก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ของพระโอรสอวิ๋นโฉ ซึ่งก็คือพระราชบิดาของอินอวิ๋นฉวี่ ฮ่องเต้น้อยของหยวนเป่ยอยู่ในเวลานี้
“เอาเถอะ! เอาเถอะ! เหตุใดข้าจะต้องสนใจถ้อยคำของเหล่าขุนนางที่ฝักใฝ่และอยู่ข้างเดียวกับคนผู้นั้นด้วยเล่า ในเมื่อพวกมันไม่เคยคิดว่าข้าคือฮ่องเต้ จะพูดยกย่องหรือไม่ก็ไม่ต่างอะไร ข้าสนใจเพียงแค่ทำอย่างไงจึงจะได้อำนาจบัญชาการทหารกลับคืนมาหาข้าทั้งหมดเท่านั้น เจ้าคิดเห็นอย่างไงเสี่ยวฉิงจื่อ” ประโยคสุดท้ายหันกลับไปถามขันทีคนสนิท
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขันทีผู้นั้นขึ้นมาทันที เมื่อโอกาสที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอดในสุดก็มาถึงจนได้ในวันนี้
“ฝ่าบาทรับสั่งถามกระหม่อมเช่นนี้ หากเสนอความคิดเห็นออกไป เกิดมีผู้ใดมาล่วงรู้เข้ามีหวังได้คอขาดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พระสุรเสียงของฮ่องเต้หนุ่มแผดดังก้องออกมาทันใด
“ข้ายังไม่ได้มีคำสั่งบั่นคอเจ้า หัวจะขาดออกจากตัวไปได้อย่างไง! เจ้าโง่!” รับสั่งตวาดกลับไป
ไส้ศึกจากต้าเหลียงแสร้งทำทีตัวสั่นงันงกขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินสุรเสียงกร้าวรับสั่งออกมาเช่นนั้น
“ผู้ที่มีอำนาจสั่งประหารกระหม่อมได้ นอกจากฝ่าบาทแล้วก็คือองค์อุปราชอย่างไงเล่าพ่ะย่ะค่ะ ทรงลืมไปแล้วอย่างนั้นเหรอ อำนาจทัดเทียมฝ่าบาทและดูท่าจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจ!!!” ฮ่องเต้หนุ่มตวาดสุรเสียงดังกระหึ่มครั้นได้ยินเช่นนั้น พร้อมยกนิ้วพระหัตถ์ชี้หน้าขันทีคนสนิท
“ผู้ใดจะมีอำนาจมากเกินไปกว่าข้า ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ของหยวนเป่ย อุปราชผู้นั้นแม้จะเป็นเสด็จอาของข้าก็ตามแต่ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เสด็จย่าทรงวางเอาไว้ และจะต้องมอบทุกอย่างให้แก่ข้าทั้งหมด ทุกสิ่งที่อยู่ในตัวของคนผู้นั้นต้องเป็นของข้าไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาอันปราดเปรื่อง วิชายุทธ์ล้ำเลิศและอำนาจทั้งหมดก็ต้องเป็นของข้าทั้งสิ้น!!!” รับสั่งตวาดก้องด้วยแรงเดือดดาล
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย กระหม่อมคิดเห็นเช่นเดียวกัน” ขันทีจอมสอพลอรีบกราบทูลกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมสุรเสียงของอินอวิ๋นฉวี่ดังแทรกขึ้น
“ในเมื่อล่วงรู้แล้วเช่นนี้! เจ้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น มีข้าอยู่ทั้งคนมีหรือที่หัวของเจ้าจะหลุดลอยด้วยน้ำมือของคนผู้นั้น มีแต่จะหัวขาดเพราะข้าเสียมากว่า เพราะฉะนั้นตอบมา! เจ้าคิดว่าจะจัดการกับอุปราชผู้นั้นอย่างไงดี” ฮ่องเต้จอมโง่เขลารับสั่งถาม
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็จะกราบทูลฝ่าบาทตามตรงโดยไม่อ้อมค้อมอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ! มีวิธีเดียวที่จะทรงได้อำนาจกลับคืนมานั้นก็คือ” ขันทีจอมสอพลอกล่าวพร้อมก้าวเข้าไปหาฮ่องเต้น้อยพร้อมก้มลงกระซิบวิธีการที่จะกำจัดอุปราชลือชื่อ
ครั้นทรงฟังแผนการจากขันทีคนสนิทจบลง อินอวิ๋นฉวี่หันกลับไปทอดพระเนตรใบหน้าออกทรงเหลี่ยมของเสี่ยวฉิงจื่อซึ่งเป็นขันทีคนสนิทของพระองค์ และสายตาดังกล่าวทำให้ไส้ศึกที่ปลอมตนมานั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะ ด้วยคาดไม่ออกว่าฮ่องเต้โง่ผู้นี้จะมีความเห็นคล้อยตามด้วยหรือไม่
ตุบ! ร่างสันทัดทรุดกายลงนั่งคุกเข้ากับพื้นตำหนักอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมสมควรตายยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ! ที่เสนอความคิดเห็นอันโง่เขลาให้แก่พระองค์เช่นนี้ แต่ที่กระหม่อมกราบทูลกลับไปเพราะฝ่าบาทอนุญาตให้ถวายคำแนะนำได้ ก็เลยเสนอความเห็นไปเท่าที่จะคิดได้พ่ะย่ะค่ะ” ไส้ศึกจากสองแคว้นอธิบายกลับไปหากแต่ภายในใจกลับเฝ้ารอคำตอบที่คาดหวังเอาไว้
ฉาด!!!