ตอนที่ 7 อินอวิ๋นฉวี่/1

2500 คำ
ยุคอดีต แคว้นหยวนเป่ย ณ.พระราชวังหลวง ภายในแคว้นหยวนเป่ยในเวลานี้อยู่ในสมัยการปกครองของสายสกุลอิน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป และได้นั่งบัลลังก์สืบทอดมานานกว่า 111 ปี จนถึงสมัยอินอวิ๋นฉวี่ขึ้นปกครองแคว้นในขณะที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 10 พระชันษาเท่านั้น สืบเนื่องจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 27 พระชันษาและขึ้นปกครองแคว้นได้เพียงห้าปีเท่านั้น ด้วยสาเหตุเลือดในพระวรกายเกิดเป็นพิษ ซึ่งหากเทียบในยุคปัจจุบันคือติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้องค์ชายอินอวิ๋นฉวี่ ที่ประสูติจากหยางฮองเฮาขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นด้วยเพราะเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว ส่วนอีกแปดพระองค์นอกนั้นเป็นพระราชธิดาทั้งสิ้น ในขณะที่หยางฮองเฮาพระราชมารดา ก็สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไปด้วยเพราะทรงตรอมพระทัย เพียงแค่สามเดือนที่ฮ่องเต้อวิ๋นโฉสวรรคตพระนางก็จากไป จึงทำให้ฮ่องเต้น้อยผู้ครองแคว้นหยวนเป่ย ซึ่งยังเยาว์วัยยิ่งนักต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์เหลือเพียงฮองไทเฮาเสด็จย่า และเสด็จอาซึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของอดีตฮ่องเต้พระนามอินอวิ๋นหยางที่หลงเหลืออยู่ หลังจากอินอวิ๋นโฉสวรรคตลง ฮ่องเต้พระองค์น้อยก็ทรงอยู่ในความดูแลของฮองไทเฮา อีกทั้งยังต้องออกว่าราชการควบคู่ไปกับฝ่าบาทน้อย ท่ามกลางความอัดอั้นตันใจของบรรดาขุนนางในราชสำนักหยวนเป่ยทุกระดับชั้น ต่างไม่เห็นด้วยที่ฮองไทเฮาซึ่งมีพระชนมายุสูงถึง 68 พรรษามาออกว่าราชการกับฮ่องเต้พระองค์น้อย ต่างพากันเรียกร้องให้พระนางทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นอุปราชเพื่อทำหน้าที่แทนพระนางซึ่งชราภาพมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามฮองไทเฮาก็ทรงไม่ยินยอมด้วยเกรงว่าอินอวิ๋นหยางจะถือโอกาสช่วงชิงราชบัลลังก์นี้ไปจากพระนัดดาของพระนาง แต่แล้วสังขารก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปเป็นคนที่สอง เมื่อฮองไทเฮาต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความวิบัติโรยราของโรคชราที่ก้าวเข้ามาเยือนหลังจากที่อินอวิ๋นฉวี่ขึ้นครองแคว้นได้เพียงสองปี ฮองไทเฮาจึงเสด็จสวรรคตลงเมื่อทรงมีพระชนมายุ 70 พระชันษา ในขณะที่อินอวิ๋นฉวี่เพิ่งจะมีพระชนมายุ 12 พรรษเท่านั้น แต่ก่อนที่ฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตได้ทรงแต่งตั้งอินอวิ๋นหยางขึ้นเป็นองค์อุปราช เพื่อเข้ามาทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้น้อยที่ยังทรงพระเยาว์และสำเร็จราชการแทน อีกทั้งจะต้องสั่งสอนศาสตร์รอบด้านทุกแขนงซึ่งอินอวิ๋นหยางแตกฉานทั้งบู้และบุ๋นมอบให้แก่อินอวิ๋นฉวี่ทั้งหมดอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น และที่สำคัญก่อนฮองไทเฮาจะเสด็จสวรรคตนั้น ทรงให้อินอวิ๋นหยางถวายสัตย์สัญญาและกรีดเลือดถวายคำสัตย์สาบานว่าจะไม่ชิงราชบัลลังก์ของฮ่องเต้น้อยอินอวิ๋นฉวี่ไปครอบครองอย่างเด็ดขาด หากกฎมณเทียรบาลของแคว้นไม่ได้บันทึกเอาไว้ว่าจะต้องเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์มีหรือที่อดีตฮ่องเต้จะได้ขึ้นครองแคว้นหยวนเป่ยนี้ได้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางประสูติจากพระสนมชั้นฟูเหริน ซึ่งเป็นพระโอรสลำดับที่สิบสองและยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้นานกว่าพระเชษฐาองค์อื่นๆ ที่แต่ละพระองค์ทยอยถูกฮองไทเฮากำจัดเพื่อไม่ให้หลงเหลือผู้ใดมาแข่งรัศมีกับพระโอรสของพระนางได้ ในขณะที่อินอวิ๋นหยางก็ล่วงรู้ที่มาที่ไปของจุดจบพระเชษฐาองค์อื่นๆ พระองค์จึงทรงนำทัพออกล่าดินแดนน้อยใหญ่ให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นหยวนเป่ยจนสามารถขยายอำนาจและเขตแดนออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าทุกรัชสมัยที่เคยมีมา ทำให้พระราชบิดาโปรดปรานเป็นยิ่งนัก พระองค์เก่งกล้ารอบด้านและสุดยอดเกินคนหาผู้ใดทัดเทียม ด้วยเหตุนี้เองยิ่งพระราชบิดาทรงโปรดปรานมากเพียงใด อินอวิ๋นหยางยิ่งจะต้องไปให้ไกล ไม่สามารถพำนักอยู่ในแคว้นเช่นพระเชษฐาองค์อื่นๆ ได้เพราะแน่นอนว่าความตายจะต้องคืบคลานมาถึงตัวสารพัดวิธีที่จะเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่พระเชษฐาพระองค์ใหญ่ซึ่งรั้งตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในขณะนั้น เฝ้าหวาดระแวงว่าพระบิดาจะทรงเปลี่ยนพระทัยยกราชบัลลังก์ให้แก่พระอนุชาแทนพระองค์ ด้วยเพราะเก่งกล้าเกินคนและครองใจเหล่าทหารหาญของแคว้นเอาไว้ได้ทั้งหมด และดูเหมือนว่าอินอวิ๋นหยางจะทรงตระหนักถึงความหวาดระแวงของพระเชษฐาเป็นอย่างดี พระองค์จึงทำหน้าที่คอยดูแลปกป้องแคว้นอยู่ตามขอบชายแดน ไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ยให้พระพระเชษฐาต้องเป็นกังวล โดยหารู้ไม่ว่าอินอวิ๋นหยางไม่ใช่คนโง่และไม่ใช่ผู้เสียสละ และไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจดีเสมอไป ในความดีแฝงเร้นความร้ายกาจที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดทัดเทียมได้เลย หากถามถึงความอำมหิตของอินอวิ๋นหยางช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก วิธีการทำสงครามเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทั้งนี้เพื่อข่มขวัญแคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของหยวนเป่ย ทหารในกองทัพทุกคนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและได้รับการยอมรับจากทั่วหล้าว่าทหารกล้าของหยวนเป่ยนั้นเป็นยอดคน แต่ในขณะเดียวกันวิธีการฝึกนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่กว่าจะผ่านมาได้นั้น ชีวิตของทหารล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ในขณะที่ผู้ผ่านการฝึกฝนนั้นจะได้เข้าร่วมในกองทัพและได้รับความเจริญก้าวหน้า รับบำเหน็จรางวัลเป็นการตอบแทนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จนมีการกล่าวขานว่ากองทัพของหยวนเป่ยเพียงแค่หนึ่งพันนายเทียบเท่ากองทหารห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งคนสามารถผลาญคร่าชีวิตศัตรูอีกฝ่ายเพียงระยะเวลาอันสั้นจนนับไม่ถ้วน เป็นกองทัพแข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้นทำให้แคว้นหยวนเป่ย กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่ในเวลาต่อมาในยุคจ้านกว๋อซึ่งก็คือแคว้นจ้าวนั่นเองเพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุทธวิธีของอินอวิ๋นหยาง ดังนั้นหากจะเปรียบฮ่องเต้อินอวิ๋นโฉและอินอวิ๋นหยางแล้วอินอวิ๋นโฉเปรียบเช่นนักรบกำลังฝึกหัด ในขณะที่อินอวิ๋นหยางนั้นคือเทพสงครามนั่นเอง อยู่เงียบๆ อย่างชาญฉลาดแต่ได้บัลลังก์อยู่ในมือด้วยเสียงของเหล่าทหารและชาวประชานี่สิจึงจะของจริง และเป็นเพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้อินอวิ๋นโฉก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยได้อย่างสมความตั้งใจ ทว่าอำนาจทางการทหารกลับอยู่ในมือของอินอวิ๋นหยางทั้งหมด ทั่วราชสำนักต่างให้ความเคารพและกลัวเกรงยิ่งนัก ทำให้อินอวิ๋นโฉคิดหาวิธีกำจัดพระอนุชาอยู่ตลอดเวลาแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ เพราะหามีผู้ใดมีพลังวรยุทธฺสูงทัดเทียมกับอินอวิ๋นหยางได้ จำต้องรามือและคอยหาโอกาสพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดหนามหยอกอกซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันออกไปอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายอินอวิ๋นโฉก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารตัวเอง เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ราชบัลลังก์ก็ยังไม่ยอมที่ยกให้พระอนุชาทั้งๆ ที่คู่ควรจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นมากกว่าพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ แต่ก็ยังพยายามที่จะกดอินอวิ๋นหยางเอาไว้ไม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น แต่แล้วในที่สุดไม่ว่าจะเป็นฮองไทเฮาและอินอวิ๋นโฉจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไรดูท่าก็ไร้ประโยชน์เพราะความตาย และด้วยเพราะเหตุนี้เองอินอวิ๋นหยาง จึงก้าวขึ้นเป็นอุปราชทำหน้าที่คอยดูแลฮ่องเต้พระองค์น้อยและสำเร็จราชการแทนจนกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา จึงทำการส่งมอบพระราชอำนาจทั้งหมดกลับคืนให้แก่พระองค์ปกครองแคว้นตามเดิม ซึ่งเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างไม่เห็นด้วยที่อุปราชจะคืนอำนาจให้แก่ฝ่าบาทน้อยอินอวิ๋นฉวี่ ด้วยเพราะอินอวิ๋นฉวี่ไม่แตกต่างไปจากพระราชบิดาของพระองค์แม้แต่น้อย สาเหตุมาจากฮองไทเฮาคอยสั่งสอนและยุยงให้เกิดความเกลียดชังและหวาดระแวงเสด็จอาซึ่งเป็นอุปราชของแผ่นดินหยวนเป่ยอยู่ในขณะนี้ แต่ในขณะเดียวกันกลับให้พยายามฉกฉวยเอาเคล็ดวิชาและความรู้รอบด้านทั้งบู้และบุ๋นมาจากอุปราชอวิ๋นหยางมาทั้งหมด ทว่ามีหรือที่อุปราชผู้ปราดเปรื่องจะไม่ทรงล่วงรู้แผนการอันร้ายกาจของฮองไทเฮา ที่แม้จะสวรรคตลงไปแล้วก็ยังไม่วายสั่งสอนพระนัดดาให้มีนิสัยที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง สิ่งที่หวังไว้จึงไม่บรรลุผลตามที่คาดเอาไว้ ด้วยเพราะอินอวิ๋นหยางไม่เสด็จกลับเมืองหลวงซางเป่ย แต่ยังคงทำหน้าที่ของพระองค์อยู่ที่ขอบชายแดนเช่นเดิม แต่ถึงกระนั้นอุปราชผู้ปราดเปรื่องก็สามารถสำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นได้เป็นอย่างดี โดยใช้อินทรีสื่อสารสั่งการลงไปในข้อราชการสำคัญๆ ซึ่งนับรวมระยะเวลาจากที่อินอวิ๋นหยางทรงออกล่าดินแดนและประทับอยู่ที่ขอบชายแดน ตั้งแต่วันแรกที่อินอวิ๋นโฉขึ้นครองแคว้นจนถึงในรัชสมัยของอินอวิ๋นฉวี่ รวมแล้วนานถึง 12 ปี แม้ว่าจะมีพระบัญชาของฮองไทเฮาให้พระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน เพื่อให้พระองค์ทำหน้าที่ดูแลอินอวิ๋นฉวี่ซึ่งจะก้าวขึ้นปกครองแคว้นหยวนเป่ยต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่เสด็จกลับมาทรงอ้างว่าติดพันสงครามบุกยึดแคว้นต้าลี่อยู่ในขณะนั้น จึงทำให้ฮองไทเฮาต้องส่งสาสน์มาถึงพระองค์อีกครั้ง และจากข้อความในสาสน์ดังกล่าวอินอวิ๋นหยางจึงกรีดเลือดสาบานถวายสัตย์สัญญาส่งกลับไปให้ฮองไทเฮาตามความต้องการของพระนาง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครพบเห็นอุปราชอินอวิ๋นหยางว่าทรงเป็นอย่างไรนับตั้งแต่นำทัพออกทำศึกสงครามและจากวันนั้นจนถึงวันนี้พระองค์ก็ไม่เคยกลับมาเหยียบเมืองหลวงซางเป่ยเลยสักครั้ง จวบจนกระทั่งในวันนี้เป็นวันที่อินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีพระชนมายุครบ 17 พระชันษาและได้รับพระราชอำนาจในการปกครองแคว้นอย่างสมบูรณ์ทุกประการ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่อาจมีพระบัญชาควบคุมได้ นั่นก็คือทหารนับหลายแสนชีวิตของหยวนเป่ยนั่นเองที่ยังคงอยู่ภายใต้อาณัติของอุปราชลือชื่อซึ่งเป็นเสด็จอาของพระองค์ ฟิ้วววว!!!! พระราชสาสน์ที่อยู่ภายในพระหัตถ์ ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ชั้นดีถูกปาลงไปที่พื้นพระตำหนักภายในห้องทรงงานด้วยแรงพิโรธเป็นอย่างยิ่งทันทีที่ได้อ่านข้อความที่อยู่ภายในนั้นจนจบ “บัดซบที่สุด! ตกลงข้าหรือเสด็จอากันแน่ที่เป็นฮ่องเต้ปกครองหยวนเป่ย! เหตุใดอำนาจในการบังคับบัญชากำลังทหารเกือบห้าแสนชีวิตจึงไม่ส่งคืนให้แก่ข้า! รั้งเอาไว้อยู่ในมือของตัวเองทำเช่นนี้เท่ากับว่าคิดจะกบฏต่อราชบัลลังก์ของข้าอย่างนั้นเหรอ!!!” รับสั่งอย่างเดือดดาลด้วยทรงเจ็บแค้นในพระทัยเป็นยิ่งนัก ท่ามกลางสายตาของขันทีข้างพระวรกายที่ยืนก้มหน้ามองพื้นพระตำหนักนิ่ง จับจ้องพระราชสาสน์ของอุปราชลือชื่อที่ส่งมาให้ฮ่องเต้หนุ่มแจ้งรายละเอียดการส่งมอบพระราชอำนาจกลับคืน โดยไม่แสดงความเห็นส่วนตัวหรือทัดทานอะไรออกมาทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะทรงอนุญาตก็ตาม ด้วยเพราะขันทีผู้นี้ถูกส่งมาแทรกซึมภายในราชสำนักหยวนเป่ย จนสามารถเข้ามาถวายการรับใช้ฮ่องเต้หนุ่มได้เป็นผลสำเร็จนานกว่าห้าปีแล้ว จวบจนกระทั่งทรงมีพระชนมายุครบ 17 พระชันษา และได้อำนาจการปกครองของพระองค์กลับคืนมา แผนการขั้นต่อไปจะเริ่มลงมือทันทีเพื่อให้สำเร็จลุล่วง “เสี่ยวฉิงจื่อ!” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งหาขันทีคนสนิท “กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับเบาๆ ดังอยู่ไม่ห่างจากพระองค์เสียเท่าใดนัก “ข้าจะทำอย่างไรกับคนผู้นี้ดี จึงจะเรียกคืนอำนาจของข้ากลับคืนมาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอำนาจควบคุมกองทัพ ข้ากับเสด็จอาแตกต่างกันตรงไหน ในเมื่อข้าเป็นฮ่องเต้เหตุใดจึงบัญชาการกองทัพของตัวเองไม่ได้” รับสั่งถามขันทีคนสนิทของพระองค์ เอือก!!! เสียงแสร้งกลืนน้ำลายลงคอทำท่าหวาดกลัวขึ้นมาทันใดเมื่อรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น พร้อมทำทียกแขนที่มีชายเสื้อปกคลุมขึ้นซับเหงื่อของตัวเองที่นำน้ำมาปะพรมใบหน้าคล้ายมีตุ่มเหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นเต็มไปหน้าของตัวเอง ท่ามกลางสายพระเนตรของฮ่องเต้น้อย “นี่กลัวข้าถึงขนาดเหงื่อออกเต็มหน้าถึงขนาดนี้เลยเหรอเสี่ยวฉิงจื่อ! ข้าถามความเห็นของเจ้าใช่ว่าจะลากคอเอาไปตัดหัวเสียที่ไหนกันเล่าหรือว่าอยากจะโดนแบบนั้นจริงๆ” รับสั่งถามกลับไป ตุบ! ร่างสันทัดรีบทรุดกายลงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพระตำหนักอย่ารวดเร็วครั้นได้ยินเช่นนั้น “ฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่ไม่สามารถออกความคิดเห็นแก่พระองค์ได้ ด้วยปัญญาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเกรงว่าแนะนำไปก็ไม่เป็นประโยชน์และไม่เป็นผลดีต่อพระองค์แต่อย่างใด ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยงดงามเป็นที่กล่าวขานในราชสำนักจะทรงไปเปรียบเทียบกับองค์อุปราชที่มีแต่ผู้คนกล่าวขวัญถึงแต่เรื่องความอำมหิตและโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงจนล่วงรู้กันไปทั่วทั้งหยวนเป่ยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์พยักขึ้นลงเมื่อทรงได้ยินคำกล่าวของขันทีคนสนิทเช่นนั้น “จริงเหรอ! ที่ทั่วราชสำนักต่างพากันยกย่องข้าเช่นนั้น” รับสั่งถามกลับไปเพื่อความแน่พระทัย เสี่ยวฉิงจื่อพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกันเป็นการยืนยันกลับไป “แต่ข้าไม่เชื่อ! มีแต่เจ้าที่บอกข้าแล้วทำไมเหล่าขุนนางจึงไม่มีผู้ใดกล่าวเหมือนเจ้า!” รับสั่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ “แล้วจะมีผู้ใดกล้าบอกกับเจ้าหรือว่า หยวนเป่ยมีฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาเช่นนี้ ถ้าไม่ติดว่ามีอุปราชผู้นั้นคอยค้ำจุนอยู่แล้วละก็ต้าเหลียงของข้าจะต้องบุกเข้ายึดครองแคว้นของเจ้าไปนานแล้ว ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!” เสี่ยวฉิงจื่อรำพึงอยู่ภายในใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม