เมืองลั่วหยาง
เทศกาลดอกโบตั๋นเป็นหนึ่งในเทศกาลระดับชาติ ซึ่งทางการจีนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้นานาชนิดก็เริ่มผลิบาน แย้มดอก ออกใบ อวดความสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกันอย่างหลากหลายพื้นที่ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลดอกไม้ที่สวยงามและหาชมได้ยาก นั่นก็คือเทศกาลดอกโบตั๋น
ดอกโบตั๋นหรือดอกพิโอนีถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยและรุ่งเรือง ทำให้ดอกโบตั๋นในประเทศจีนนั้นมีมากมายกว่า 1,200 สายพันธุ์ นอกจากนี้ทุกปีช่วงเดือนเมษายนยังมีเทศกาลดอกโบตั๋นที่เมืองลั่วหยาง Luoyang เมืองแห่งประวัติศาสตร์ชาติจีนโบราณที่ขึ้นชื่อว่าปลูกดอกโบตั๋นได้สวยงามที่สุด
เทศกาลดังกล่าวจะแบ่งสถานที่จัดงานออกเป็นหลายจุดเพื่อกระจายกำลังต้อนรับนักท่องเที่ยว สถานที่หลักในการจัดงานคือ Luoyang National Peony Garden ด้านในมีต้นราชาโบตั๋นสูงกว่า 3 เมตร อายุกว่า 1,600 ปีขึ้นอยู่อย่างโดดเด่น ท่ามกลางดอกโบตั๋นหลากสีมากมายแข่งกันเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งงาน
ในขณะที่สองพี่น้องหลี่ยู่และหยางเฟยอี้ เดินทางมาร่วมงานในเทศกาลดอกไม้ลือชื่อดังกล่าวพร้อมขึ้นเวทีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดแข่งขันเพาะดอกโบตั๋น รวมไปถึงใช้พลังเสียงของเธอขับกล่อมผู้ชมภายในงานจนได้รับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชม
ร่างระหงของนักร้องสาวชื่อดังเดินลงจากเวที เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจวันนี้เป็นที่เรียบร้อยก่อนจะยื่นมือรับขวดน้ำดื่มจากพี่สาวมาถือเอาไว้ในมือพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณงาน
“โอโห่! พี่ใหญ่ดอกโบตั๋นของจริงมีหลายสีขนาดนี้เลยเหรอเพิ่งจะรู้ก็วันนี้แหละดอกเบ้อเริ่มเลย แค่ดอกเดียวก็สามารถปิดหน้าหนูจนมิดเลย” หญิงสาวพูดพลางยกขวดน้ำขึ้นกรอกปากก่อนจะดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจนหมด
“ถิงถิง! เดี๋ยวขากลับเราแวะเที่ยวเมืองลั่วหยางกันเถอะ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลย อีกอย่างหมดคิวงานของทางนี้แล้ว กว่าคิวงานจากฮ่องกงจะเริ่มมีเวลาว่างตั้งห้าวันเลยเชียวนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาวของเธอพลางเปิดไอแพด ซึ่งบันทึกคิวงานของแต่ละวันขึ้นตรวจสอบอีกครั้ง
“ก็ดีเหมือนกันนะพี่ใหญ่ มีเวลาว่างตั้งห้าวันถือโอกาสใช้เวลานี้เที่ยวพักผ่อนให้ร่างกายผ่อนคลาย หนูจะได้มีเวลานอนยาวๆ สักวันจะได้พักเส้นเสียงไปในตัว กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้พักเลยทำแต่งานอย่างเดียว เกิดตายไปก่อนอดได้ใช้เงินตัวเองพอดี หาเงินมาได้ตั้งเยอะแยะ ต้องหาความสุขใส่ตัวเสียบ้างดะ...” หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ
เพียะ!ฝ่ามือของพี่สาวกระหน่ำลงมาทันที
“พูดอะไรแบบนี้เด็กบ้า! มาต่างบ้านต่างเมืองเขาห้ามไม่ให้พูดเรื่องตายมันเป็นลางไม่ดีรู้หรือเปล่า!” หลี่ยู่เอ็ดน้องน้องสาวต่างพ่อกลับไปท่ามกลางเสียงหัวเราะร่วนของสาวเจ้าดังออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไร้สาระนะพี่ใหญ่! งมงายไปได้ใครเชื่อก็บ้าแล้ว! ไอ้เรื่องตายคนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคนนั้นแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ตอนที่ยังไม่ถึงเวลาตายก็ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่าไม่ดีกว่าเหรอ ถึงหนูจะตายตอนนี้ก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วเพราะมีเงินทิ้งให้ปะป๋ากับมะม้าแล้วก็พี่ใหญ่ เพียงพอที่จะอยู่สบายไปทั้งชาติเลย” หญิงสาวพูดออกมาตามความรู้สึกของเธอ
“แต่พี่ใหญ่แกไม่ต้องการ! เรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นจะทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวได้อย่างไงเจ้าน้องบ้า! เลิกพูดเรื่องแบบนี้ได้แล้วอย่าให้ได้ยินอีกนะ เพราะพี่ไม่ชอบให้แกพูดเป็นลางแบบนี้!” หลี่ยู่กำชับน้องสาวเสียงจริงจัง
หมับ! ท่อนแขนเรียวตรงเข้ากอดเอวพี่สาวต่างพ่อ เมื่อเห็นอารมณ์อีกฝ่ายเริ่มไม่ดีขึ้นมาเพราะจากคำพูดของเธอ
“ถิงถิงผิดไปแล้ว พี่ใหญ่อย่าโกรธเลยนะ ต่อไปหนูจะไม่พูดจาอะไรแบบนี้อีกแล้วสัญญาเลย” หญิงสาวพูดพลางชูนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาเพื่อเกี่ยวก้อยสัญญากับพี่สาว
หลี่ยู่มองน้องสาวตัวดีของเธอก่อนจะทำตาปะหลับปะเหลือกส่งค้อนให้อีกฝ่าย พลางยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วของน้องเพื่อให้สัญญาระหว่างพี่น้อง
“สัญญาแล้วนะว่าจะไม่พูด! เป็นเด็กดีของพี่ใหญ่ว่านอนสอนง่ายตลอดไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแกไปที่ไหนต้องมีพี่ไปด้วยทุกที่ ฉันไม่ปล่อยให้แกต้องไปไหนคนเดียวตามลำพังหรอก” หลี่ยู่บอกน้องกลับไป
“ว้าว! หนูโชคดีมากเลยที่พี่ใหญ่รักและเป็นห่วงมากขนาดนี้ สัญญาเลยว่าจะเด็กดีของพี่ใหญ่และเชื่อฟังทุกอย่างเลย” นักร้องสาววัยแรกรุ่นกล่าวให้สัญญา
“ดีแล้ว! เดี๋ยวเรากลับเข้าที่พักกันก่อนช่วงบ่ายค่อยออกมาเดินเที่ยวเมืองลั่วหยางว่ามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดสบายๆ ไม่ต้องมากพิธีเหมือนตอนนี้” หลี่ยู่กล่าวพลางตรงเข้าควงแขนน้องสาวเดินไปพร้อมกับเธอพร้อมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยวช่วงบ่ายเราไปเที่ยวจวนโบราณดีกว่าถิงถิง พี่ใหญ่เห็นโบชัวร์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม เป็นจวนอุปราชที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เห็นว่าทางการประกาศขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เอาไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ภายในนั้นมีของเก่าแก่มาจัดแสดงด้วยนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาว
ในขณะที่คนเป็นน้องไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่มองดอกโบตั๋นพร้อมเอ่ยขึ้น
“มีแต่คนชอบดอกโบตั๋นกันทั้งนั้นเลยแต่ทำไมเรากลับไม่ชื่นชอบเหมือนคนอื่นเขาหว้า ถ้าเป็นดอกเหมยว่าไปอย่างยิ่งเป็นดอกสีขาวละก็เยี่ยมมากเลย” หยางเฟยอี้บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“ตกลงแกฟังพี่ใหญ่อยู่หรือเปล่าถิงถิง! แล้วนี่อะไรมาเทศกาลดอกโบตั๋นแทนที่จะชื่นชมกลับบ่นหาดอกเหมย นี่มันใช่ฤดูกาลของมันหรือเปล่ายะ! อีกอย่างดอกเหมยสีขาวเป็นพันธ์แท้หายากจะตายในสมัยนี้ ที่เห็นมีแต่พวกกลายพันธ์ทั้งนั้นจะไปหาดูที่ไหนได้!” หลี่ยู่บ่นให้น้องสาวเสียยืดยาวในขณะที่เจ้าตัวได้แต่เงียบปากไม่ตอบโต้แม้แต่คำเดียว
“โอโห่! พี่ใหญ่ทำไมบ่นเก่งจัง อายุก็เพิ่งจะ 24 เท่านั้นเองทำเหมือนคนอายุ 42 เข้าไปได้หูชาไปหมดแล้ว!” หญิงสาวพูดพร้อมยกนิ้วเขี่ยในรูหูของเธอไปมา
โป๊ก! มะเหงกเขกลงกลางศีรษะของน้องสาวเบาๆ เป็นการลงโทษ
“ยายเด็กแก่แดดมาว่าพี่ใหญ่ทำตัวเป็นยายแก่อย่างนั้นเหรอ! แล้วไอ้ที่พูดมามันถูกไหมเล่า ถามจริงตั้งแต่เกิดมาเรานะเคยเห็นดอกเหมยแล้วเหรอถึงได้แยกแยะออกได้ พวกเราเกิดที่ฮ่องกงนะ! เป็นคนฮ่องกงโดยกำเนิดไม่ใช่เกิดและโตในแผ่นดินใหญ่” หลี่ยู่บ่นนน้องสาวเสียยืดยาว
“ก็ชาติที่แล้วหนูเกิดที่นี่!” หยางเฟยอี้สวนพี่สาวกลับไปทันที
หือ!!! หลี่ยู่ส่งเสียงสูงอยู่ในลำคอทันทีที่ได้ยินน้องสาวของเธอกล่าวออกมาเช่นนั้น
ในขณะที่เจ้าตัวก็ชะงันงันอยู่กับที่เช่นกันเพราะเหตุใดจึงพูดประโยคนั้นออกมาได้ ครั้นเหลือบสายตามองพี่สาวก็ต้องรีบหลบทันทีเมื่อหลี่ยู่จอมเฮี้ยบมองเธอเขม็งอยู่ในขณะนี้
“เออ...คือว่า...หนูแค่ลืมตัวก็เลยพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเองพี่ใหญ่” หญิงสาวรีบแก้ตัวให้กับตัวเอง
หลี่ยู่ยกมือขึ้นจับหน้าผากของตัวเองพร้อมใช้มืออีกข้างแตะหน้าากของน้องสาววัดอุณหภูมิในร่างกายเพื่อให้แน่ใจ
“ไม่มีไข้ก็แล้วไป สงสัยคงจะนอนไม่อิ่มก็เลยพูดจาเลอะเลือนออกมา พี่ใหญ่คิดว่าแกต้องนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า วันนี้ยังไม่ต้องออกไปไหนหรอกเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ เพื่อจะดีขึ้นกว่าวันนี้” หลี่ยู่ไม่พูดเปล่าตรงเข้าควงแขนของน้องสาวอีกครั้งพร้อมลากร่างระหงของเด็กสาวไปด้วยกัน
“พี่ใหญ่หนูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ!” นักร้องดังบ่นพึมพำไปตลอดทางเมื่อถูกพี่สาวกักตัวเธอเอาไว้แต่ในที่พักแบบนั้น