หลังจากวันนั้นจางเหยียนเหวยก็ไม่ได้พบเจอกับไป๋เหมยเหม่ยอีก เขาเองก็มีงานให้ต้องไปทำเช่นเดียวกัน นั่นคือตามล่าหาตัวคนบงการที่ส่งคนมาลอบสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาตัวผู้บงการไม่พบ จางเหยียนเหวยขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปน่าแปลกยิ่งนัก เขาส่งคนไปสืบหาทั้งในเมืองหลวงและเมืองเมืองหลวง แต่กลับไม่พบเบาะแสใดที่จะโยงถูกตัวผู้สั่งการได้ พวกมันกลับเก็บตัวเงียบซ่อนเร้นแฝงกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
วังหลวง
ด้านฮ่องเต้จางเลียนไห่ที่ได้ทราบว่าจางเหยีนเหวยยังไม่พบเบาะแสใดก็ค่อนข้างกังวลใจไม่น้อย เขารู้ดีว่าหลานชายผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทหารรับใช้ที่ไม่ขึ้นตรงต่อราชสำนักอีกหลายแสนนาย เป็นทหารที่จางเหยียนเหวยฝึกฝนขึ้นมาเองกับมือ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาเองก็มีความหวาดกลัวในตัวหลานชายผู้นี้ว่าอาจมีใจคิดก่อกบฏ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไปเพราะเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจของจางเหยียนเหวยเอาได้
ยิ่งรู้ว่าจางเหยียนเหวยตั้งแต่กลับเมืองหลวงก็ไม่เคยกลับเข้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเลย อยู่แต่ที่โรงน้ำชาเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ จวนอ๋องยามนี้ราวกับจวนร้าง โชคดีที่หลายปีมานี้เขาสั่งให้คนเข้าไปดูแลไม่ได้ขาด
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ จางเหยียนเหวยนั้นชอบไปที่จวนตระกูลไป๋อยู่บ่อยครั้ง เขารู้ว่าตระกูลไป๋ไม่เคยมีใจคิดกบฏ แต่คนนอกจะมองเช่นไรเล่านี่คือสิ่งที่เขาเป็นกังวล
อีกเรื่องก็คือเขาไม่ต้องการให้จางเหยียนเหวยสนิทสนมกับไป๋เหมยเหม่ยมากนัก สตรีที่จะเข้ามาเป็นพระชายาเอกจวิ้นอ๋องควรจะเป็นสตรีที่งดงามเพรียบพร้อมไม่มีตำหนิจึงจะเหมาะสม
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหัวไม่น้อยเลย ความทุกข์ใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือจางเหยียนเหวยเพียงเท่านั้น
"ฝ่าบาท จวิ้นอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เกากงกง ขันทีคนสนิทเอ่ยกับฮ่องเต้จางเหลียนไห่ด้วยท่าทีนอบน้อม ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ให้เขาเข้ามาเร็ว"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ไม่นานนักจางเหยียนเหวยก็ก้าวเดินเข้ามาในห้องทรงอักษร เขาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย
"ข้าส่งจดหมายมาแจ้งเรื่องพวกนักฆ่าแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงเรียกข้ามาอีก หรือว่าท่านเห็นข้าว่างมากนัก"
มาถึงก็เอ่ยวาจาเหน็บแนมเขาเช่นนี้เสียแล้ว ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
"อาเหยียน เราพูดจากันดีดีเช่นแต่ก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ"
"มีสิ่งใดก็รีบเอ่ยมาเถิดเสด็จลุง"
เมื่อเห็นว่าจางเหยียนเหวยรักษาระยะห่างถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้จางเหลียนไห่จึงไม่อยากเซ้าซี้เขาอีก
"ข้าจะหาสตรีดีดีสักคนให้เจ้า ได้ยินว่าตระกูลจ้าวนั้นมีบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกนางหนึ่งงดงามเพรียบพร้อม..."
"หากไม่อยากเร่งวันตายให้นาง ข้าขอเตือนว่าอย่ายัดเยียดนางเข้ามาในชีวิตข้า"
"จางเหยียนเหวยข้าทำไปเพื่อเจ้าทั้งนั้น!!!!!"
"ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่บุรุษที่ดีงามเท่าใดนัก หากข้าอารมณ์ไม่ดีแล้วเกิดพลั้งมือฆ่านางขึ้นมา เกรงว่าจะต้องลำบากท่านหาข้อแก้ต่างกับจวนตระกูลจ้าวอีก หากท่านยังดึงดันก็รอดูจุดจบของสตรีนางนั้นได้เลย”
ไม่รอให้ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยสิ่งใดต่อ จางเหยียนเหวยก็เดินจากไปเสียแล้ว ทิ้งให้บุรุษวัยกลางคนผู้ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
เจ้าไม่เข้าใจข้า ข้าเพียงอยากหาสิ่งดีดีมอบให้เจ้าเพื่อชดเชยเรื่องราวในครั้งนั้น
ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศช่างดีไม่น้อย วันนี้ไป๋เหมยเหม่ยลองนำผลไม้ที่มีประจำฤดูมาเคลือบน้ำตาลขาย พบว่ามีคนให้การตอบรับที่ดีไม่น้อยเลยอีกทั้งหม้อไฟก็ขายหมดเร็วกว่าทุกวัน นางจึงเตรียมจะปิดร้านแต่ว่ากลับมีใครบางคนเดินเขามาเสียก่อน
"น้องเหมยเหม่ยจะปิดร้านแล้วหรือ พี่่ฟ่านเหลียนว่าจะมากินหม้อไฟร้านเจ้าเสียหน่อย"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองฟ่านเหลียนคราหนึ่งด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย
"หมดแล้ว"
นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ฟ่านเหลียนจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาแทะโลม เขาอยากจะฉีกทึ้งเสื้อผ้านางออกให้หมดเสียตรงนี้ แล้วกอดจูบลูบคลำนาง เขาอยากรู้เหลือเกินว่าสตรีหม้ายที่ถูกสามีหย่านั้นจะมีสิ่งใดสึกหรอไปบ้างหรือไม่ เขาไม่รังเกลียดที่นางเคยมีสามีมาก่อน ขอเพียงได้เชยชมนางสักครั้งก็พอ
ไป๋เหมยเหม่ยเมื่อได้เห็นว่าฟ่านเหลียนส่งสายตาแทะโลมนางไม่เลิกราก็รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก คราก่อนยังไม่เข็ดสินะที่โดนนางจัดการไป หากมันกล้าลวนลามนางอีกครั้ง นางจะจัดการมันให้หนักกว่าครั้งก่อนเลยคอยดู
"คุณหนู บ่าวเก็บของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
เฉียวเหลียนที่เดินออกมาจากด้านในห้องครัว เมื่อเห็นฟ่านเหลียนยืนอยู่หน้าร้านก็ขมวดคิ้วมุ่น คุณชายฟ่านผู้นี้เอะอะก็ตามมาเอาแทะโลมคุณหนูของนางตลอดนางไม่ชอบหน้าเขาเลย
ไป๋เหมยเหม่ยคร้านจะสนใจฟ่านเหลียนอีก นางจึงหันไปเอ่ยกับเฉียวเหลียนทันที
"เรากลับกันเถิด"
ในขณะที่ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะเดินไปที่รถม้า อยู่ๆ ฟ่านเหลียนก็ยื่นมือมาคว้าแขนของนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็จ้องมองฟ่านเหลียนอย่างเอาเรื่อง
"ปล่อยข้า"
ฟ่านเหลียนยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างคนที่ไร้ยางอาย เขาโน้มใบหน้าเข้ามาหานางพลางทำจมูกฟุดฟิดคล้ายสูดลมบางอย่าง ไป๋เหมยเหม่ยรีบเบี่ยงกายหลบอย่างรังเกียจ
"น้องเหมยเหม่ย กลิ่นตัวเจ้าช่างหอมนัก ข้าอยากจะลองดมดูข้างในเหลือเกินว่ามันจะหอมสักเพียงใด"
"ปากของเจ้านี่มันเหม็นเน่าจริงเชียว ไม่มีความเป็นบุรุษที่ดีเลยแม้แต่น้อย"
ฟ่านเหลียนส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เหมยเหม่ย เจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้าอีกหรือ หากเจ้าดีจริง หยางเจ๋อหยวนจะมอบหนังสือหย่าให้เจ้าทำไมกัน หากเจ้าได้ข้าเป็นสามีคนที่สองนี่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ดีกว่าไปได้พวกพ่อค้าหรือว่าขอทานข้างถนนพวกนั้นเสียอีก เจ้าเองก็เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ยังจะมาเล่นตัวอีกทำไมกัน"
เฉียวเหลียนที่เห็นฟ่านเหลียนใช้วาจาเน่าเหม็นว่าร้ายไป๋เหมยเหม่ยก็ทนไม่ไหว รีบเอ่ยปากปกป้องเจ้านายของตนทันที
"คุณชายฟ่านอย่ากล่าววาจาเหลวไหล คุณหนูของข้ายังบริสุทธิ์อยู่ นายน้อยหยางไม่เคยแตะต้องคุณหนูของข้าเลยแม้แต่ปลายเล็บ!!!"
"เฉียวเหลียนเงียบ!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยหันมาเอ่ยกับเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ด้านฟ่านเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาลุกวาว เขาใช้สายตาหื่นกามแทะโลมไป๋เหมยเหม่ยหนักขึ้นไปอีก แม้กระทั่งผู้คนที่เข้ามาชมละครงิ้วฉากนี้ต่างก็ซุบซิบนินทากันไปต่างๆ นานา
ต้องเป็นสตรีน่าเกลียดเพียงใดกัน สามีจึงไม่เคยแตะต้องนาง
ได้ยินว่าสามีนางเอาแต่อยู่กับแม่นางฟ่านผู้เป็นภรรยารอง ไม่เคยมาหานางเลยสักครา
นางชั่วร้ายออกปานนั้น ผู้ใดจะหลับนอนกับนางลงกัน
เสียงวิจารณ์มากมายดังออกมาเป็นระยะ ไป๋เหมยเหม่ยพยายามข่มกลั้นอารมณ์ ยุคสมัยนี้อยู่ยากจริงๆ สตรีจะขยับตัวสิ่งใดก็ต้องเป็นขี้ปากให้คนเอาไปนินทาเล่นอยู่เสมอ
ฟ่านเหลียนจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยราวกับมองอาหารอันโอชะ ก่อนจะเอ่ย
"เจ้ายังไม่เคยเสียตัวเลยหรือ ดีเลย เช่นนั้นข้าก็จะเป็นสามีคนแรกให้เจ้าเอง"
ฟ่านเหลียนพยายามจะเข้ามาลวนลามไป๋เหมยเหม่ย เฉียวเหลียนรีบเข้ามาช่วยนายตนทันที แต่ทว่ากลับถูกฟ่านเหลียนง้างมือตบจนนางล้มลงไปกองกับพื้น
"เฉียวเหลียน!!!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยโมโหแล้ว นางหันมาจ้องมองฟ่านเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เจ้ากล้าดีเช่นไรจึงกล้ามาทำร้ายบ่าวของข้า!!!!วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจำจนวันตายเลยฟ่านเหลียน"
พลั่ก!!!
ไป๋เหมยเหม่ยใช้มือข้างที่ว่างชกเข้าไปที่ใบหน้าของฟ่านเหลียนอย่างเต็มแรง จนบุรุษตรงหน้าดวงตาเลื่อนลอยปล่อยมือที่จับแขนนางเอาไว้ในทันที ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะพุ่งเข้าไปต่อยซ้ำ แต่ทว่ายังไม่ทันที่ไป๋เหมยเหม่ยจะทุบตีฟ่านเหลียนให้สาแก่ใจ ก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาก่อนจะยกเท้าถีบฟ่านเหลียนจนกระเด็นลอยไปนอนร้องโอดครวญอยู่ที่กองขยะเสียแล้ว ฟ่านเหลียนกระอักโลหิตออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง
"ท่านอ๋องมาได้เช่นไรเพคะ"
“มานานแล้ว เมื่อครู่เจ้าออกแรงเบาไปหน่อยนะ ควรจะออกแรงมากกว่านี้เอาให้มันฟันร่วงหมดปากไปเลย”
ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองจางเหยียนเหวยคราหนึ่ง เป็นเขาที่ถีบฟ่านเหลียนจนกระเด็น ด้านฟ่านเหลียนที่คิดจะหาเรื่องต่อ แต่เมื่อได้ยินคำว่าท่านอ๋องก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
จางเหยียนเหวยจ้องมองที่ข้อมือของไป๋เหมยเหม่ยซึ่งยามนี้แดงเป็นรอยมือเพราะถูกฟ่านเหลียนฉุดกระชากก็บังเกิดโทสะขึ้นมาในใจ เขาเดินเข้าไปหาบุรุษเฮงซวยผู้นั้นทันที ฟ่านเหลียนที่เห็นเช่นนั้นก็รีบถอยร่นหนีอย่างหวาดกลัว แม้เขาจะโง่แต่ก็พอรู้ ท่านอ๋องหรือ แคว้นไท่เหลียงมีท่านอ๋องสองคน คนแรกคือชินอ๋องจางเหวินฟู่ที่ไม่กลับเมืองหลวงมาสักระยะแล้ว ส่วนท่านอ๋องอีกคนคือจวิ้นอ๋องหนุ่มผู้ที่เพิ่งกลับมาจากสมรภูมิสงคราม
เป็นจวิ้นอ๋องผู้นั้นไม่ผิดแน่ แม้เขาจะไม่เคยเห็นหน้าท่านอ๋องผู้นี้ แต่ดูจากรัศมีความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาเขาก็คิดว่าตนเองเดาไม่ผิดเป็นแน่
"ทะ ท่าน อั๊ก!!!"
ไม่รอให้ฟ่านเหลียนเอ่ยสิ่งใด จางเหลียนเหวยก็ยกปลายเท้าเตะเสยไปที่ปลายคางของฟ่านเหลียนอย่างเต็มแรงจนฟ่านเหลียนสลบเหมืิอดไปทันที ก่อนจะหันมาเอ่ยกับองค์รักษ์ของตน
"ส่งตัวเขากลับจวนตระกูลฟ่าน บอกว่าเขารังแกสตรีไปทั่ว ข้าพบเข้าจึงกล่าวเตือนแต่เขากลับต่อต้านจึงถูกข้าสั่งสอน หากมีปัญหาก็มาหาข้าได้"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
ผู้คนที่รุมล้อมส่งเสียงซุบซิบนินทาก่อนหน้านี้เมื่อเห็นว่าจางเหยีนเหวยปรายตามองก็รีบสลายหายไปในทันที ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปช่วยพยุงเฉียวเหลียนขึ้นมา แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหวย
เขามาช่วยนางอีกแล้ว
ทุกคราที่คิดจะหลบหลีกเขา เขาก็เป็นฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้านางทุกครั้ง
จางเหยียนเหวยก้าวเดินเข้ามาหานางก่อนจะเอ่ย
"เป็นอันใดหรือไม่"
ไป๋เหมยเหม่ยส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ไม่เป็นอันใดเพคะ ขอบคุณท่านอ๋องมาก หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ จะรีบพาสาวใช้กลับจวน"
จางเหยียนเหวยที่เห็นท่าทีของไป๋เหมยเหม่ยก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าวันนี้นางเหมือนจะทำตัวรักษาระยะห่างจากเขา ทั้งที่หลายวันก่อนนางยังยิ้มแย้มพูดจากับเขาเป็นอย่างดีอยู่เลย
ไป๋เหมยเหม่ยเองก็ทุกข์ใจไม่น้อย คำพูดของไป๋จินเซียงในวันนั้นทำให้นางคิดได้ ว่านางไม่คู่ควรกับเขา
จางเหยียนเหวยจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขากำลังไปที่โรงน้ำชาแต่กลับพบว่าไป๋เหมยเหม่ยกำลังถูกบุรุษผู้หนึ่งหาเรื่อง เมื่อมองให้ดีก็พบว่าเป็นฟ่านเหลียน บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมนั่นเอง อีกทั้งน้าสาวของฟ่านเหลียนยามนี้ยังเป็นถึงสนมเอกของเสด็จลุงเขาและยังให้กำเนิดองค์ชายรองอีกด้วย ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้รู้เรื่องราวในเมืองหลวงไม่น้อย ได้รู้จักขุนนางหลายตระกูลรวมถึงความเป็นไปของเมืองหลวงในระยะนี้ด้วย
เขารู้สึกไม่ชอบใจที่ฟ่านเหลียนเอ่ยวาจาไม่ดีกับไป๋เหมยเหม่ย เขามองดูอยู่นานจนกระทั่งทนไม่ไหวจึงกระโดดถีบเข้าให้
เขามองเห็นแววตาของนางมีความดีใจที่ได้พบเขา แต่ทว่านางกลับทำท่าทีเหินห่างกับเขานี่มันคือสิ่งใดกัน
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นางพยายามไม่มองเขาอีก รีบพยุงเฉียวเหลียนให้เข้าไปนั่งในรถม้า คิดเพียงว่าอยากจะรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด
"ช้าก่อน"
ไป๋เหมยเหม่ยพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มมองที่แขนของตนก็พบว่ายามนี้จางเหยียนเหวยกำลังคว้าจับแขนของนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เอ่อ ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ"
"ไปกับข้า ส่วนสาวใช้ของเจ้าข้าจะให้คนของข้าไปส่งนางกลับจวนเอง"
"จะพาหม่อมฉันไปที่ใดเพคะ"
"ตามมาเถิด ข้าไม่พาเจ้าไปทำเรื่องไม่ดีหรอก"
จางเหยียนเหวยจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะคว้าจับมือของนางเอาไว้แน่นแล้วจึงพานางเดินไปโดยไม่สายใจสายตาของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตกใจไม่น้อยแต่กลับไม่อยากปล่อยมือจากเขา นางจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ข้าคิดจะหลบ แต่ท่านกลับมาตามติด ท่านคิดสิ่งใดอยู่กันแน่จางเหยียนเหวย