เจ้าของร่างสูงที่ยังยืนหันหน้ามองไปยังนอกบานหน้าต่างมาพักใหญ่ เขามองภาพเหล่านั้นด้วยความภาคภูมิใจเพราะทุกสิ่งเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเองมิใช่อาศัยอยู่ใต้เงาของบิดา แม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพนี้เขาก็เลือกหนทางให้ตนเองมิใช่รอคอยให้ผู้เป็นบิดานำมาจับยัดเยียดใส่มือให้ดังคุณชายตระกูลอื่น
...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
ซึ่งเขาคงยืนมองและซึมซับความภาคภูมิใจของตนเองนานไปหน่อยกระมังเสียงเคาะประตูที่คาดว่าต้องเป็นแม่กระต่ายตัวน้อยด้วยเขาจดจำจังหวะการเคาะประตูได้ดีว่าจังหวะใดเป็นของผู้ใด กายสูงใหญ่ทว่ากับเคลื่อนไหวว่องไวเขาไม่ยอมส่งเสียงตอบออกไปเพราะคาดว่าประเดี๋ยวคนตัวนุ่มนางจะต้องเปิดประตูเข้ามาตามเขาที่ภายในห้องนี้เป็นแน่ แม่ทัพใหญ่จึงไปยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังบานประตูอย่างรอคอยดังนายพล่านรอคอยเหยื่อตัวน้อยให้เดินเข้ามาติดกับดัก และยิ่งปลายจมูกโด่งสัมผัสกลิ่นดอกกล้วยไม้หอมรวยรินเฉพาะของซูผิงหลัวที่เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าที่มาเคาะประตูนั้นย่อมเป็นแม่กระต่ายน้อยขนนุ่มของเขามิผิดไปเป็นแน่
...แอ๊ด...
“ท่านพี่...”
มือเรียวผลักบานประตูแล้วจึงค่อยโผล่ใบหน้าเรียวเข้ามาเมียงมองอย่างระแวดระวังกิริยาเหล่านี้มองกี่คราก็เป็นดังกระต่ายตัวน้อยขนปุกปุยจอมระแวงภัยมิผิดไปเสียจริงๆ พอนางมองตรงไปตรงโต๊ะตัวโตกับเก้าอี้ว่างเปล่าเท้าเรียวเล็กภายใต้รองเท้าผ้าไหมเนื้อดีก็จึงขยับพากายบอบบางเคลื่อนเข้ามาภายในห้องอีกหน่อย ซึ่งคนที่แอบอยู่ด้านหลังบานประตูแอบอมยิ้มจนดวงตาเรียวแทบจะปิดเป็นเส้นตรง
“ท่านพี่อาหารกลางวันเสร็จแล้วนะเจ้าค่ะ...หายไปที่ใดนะ หรือข้ามาผิดห้อง อุ๊ย!”
พอคนตัวนุ่มและหอมกรุ่นพากายตนเองเข้ามาในระยะของคนซึ่งซุ่มดักรออยู่อ้อมแขนแกร่งก็พุ่งไปรวบเอวอรชรดึงกายบอบบางมากอดไม่พอปลายจมูกโด่งนั้นยังกดไปบนรอยลักยิ้มของแก้มกลมไปเสียงฟอดใหญ่จนซูผิงหลัวตกใจแทบจะเผลอกรีดร้องออกไปให้คนทั้งจวนแตกตื่นกันหมดเสียแล้วด้วยมิคาดว่าคนเช่นเซี่ยหย่งอี้จะมาเล่นอันใดเป็นคู่หนุ่มสาวหยอกเย้ากันเช่นนี้
“ตกใจหมดเลย ท่านพี่เล่นอันใดเช่นนี้ อาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะเราไปกันเถิดท่านพ่อบ้านเกากล่าวว่าจะเร่งจัดโต๊ะรอที่เรือนด้านซ้ายเจ้าค่ะ”
เซี่ยหย่งอี้ไม่ยอมออกจากห้องไปตามที่อีกฝ่ายมาตามไม่พอเขายังคงหันไปปิดประตูแน่นหนาแล้วกายแกร่งยังจับเอวอรชรดึงรั้งให้ไปทรุดนั่งลงยังเพราะรองนั่งสำหรับมีไว้ให้เขาได้เอนหลังพักผ่อนอีกด้วย กายอ้อนแอ้นของดรุณีน้อยจึงเซถลาลงไปนั่งซ้อนลงบนตักแกร่งอย่างแม่นยำ พอนางเตรียมขยับหนีอ้อมแขนแกร่งนั้นกลับรีบโอบกอดกระชับมิยอมอ่อนข้อ
“ท่านพี่ปล่อยนะเจ้าค่ะ!”
ซูผิงหลัวตกใจแล้วตกใจอีกกับกิริยาของท่านแม่ทัพเซี่ยที่ชอบทำหน้าโหดไม่พออดีตยังรังแกนางอยู่บ่อยครั้ง นางพยายามลนลานตะเกียกตะกายหนีลงจากตักของคนที่นางคิดว่าเขามันมากราคะจ้องแต่จะเอาเปรียบนางไม่มีว่างเว้น!
“ไม่ปล่อย ข้าอยากจะให้เจ้านั่งตรงนี้เจ้าก็ต้องนั่งหรือเดี๋ยวนี้รู้จักขัดใจสามีแล้ว?”
มือเล็กพลันสั่นระริกนางพยายามอย่างมากที่จะไม่กางนิ้วทั้งสิบแล้วข่วนใบคนใบหน้ากวนอารมณ์ของบุรุษนามเซี่ยหย่งอี้เหลือกำลัง...ท่องเอาไว้สิผิงหลัวเจ้าเป็นสตรีอ่อนแอไร้เขี้ยวไร้เล็บเจ้าบอบบางเจ้าจะข่วนใบหน้าของสามีมิได้!...
เด็กสาวที่เคยปีนหนีมารดาบุญธรรมไปท่องเที่ยวงานประจำปีในเมืองหลวงแล้วเคยจับบุรุษตัวเท่าหมีทุ่มลงพื้นจำต้องกัดฟันแล้วเตือนตนเองว่านางจะต้องเป็นสตรีบอบบางไร้เขี้ยวเล็บและเรียบร้อยไม่เคยเตะเป้าบุรุษเอาไว้ให้จงได้แต่แววตาวิบวับของเซี่ยหย่งอี้เขาจะทราบหรือไม่ว่ามันช่างกวนเท้ากวนมือของนางจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้วนะ!
“อย่าได้คิดเตะสามีเจ้าเชียว”
“!!!”
เด็กสาวถึงกับอ้าปากค้างเพราะมิคาดว่าอีกฝ่ายจะทราบวีรกรรมเมื่อหลายเดือนก่อนของตนเองเช่นนี้เพราะเรื่องเหล่านี้นอกจากเย่เจาสิงกับชุนจื่อล้วนมิเคยมีผู้ใดทราบเป็นแน่เพราะนางปลอมตัวสลับกันกับเย่เจาสิงในวันนี้เขาแต่งกายเป็นคุณหนูเฉิดฉาย ทว่านางนั้นเป็นคุณชายน้อยผู้หล่อเหล่าที่สาวน้อยสาวใหญ่ห้อมล้อมมิใช่น้อยแล้วอีตาแม่ทัพเซี่ยอยู่ไกลเป็นพันลี้เขาจะทราบความแสบสันของนางได้อย่างไรกัน?
“เจ้าใช้หน้าตาใสซื่อนี้หลอกผู้ใดย่อมได้แต่...หลอกสามีของเจ้ามิได้หรอกนะผิงหลัว”
“!!!”
เป็นอีกครั้งที่ซูผิงหลัวอ้าปากจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนเอาแต่ใจขยับใบหน้างดงามและหล่อเหลาลงตัวนั้นเข้าไปคลอเคลียลมหายใจร้อนรุ่มกับแก้มซึ่งกลมจนคนตัวเล็กถึงกับหลบหลีกแต่ไม่พ้นความร้อนผะผ่าวแล่นพุ่งสู่ใบหน้าเรียวจนผิวผ่องนั้นแดงก่ำขึ้นทันตาซึ่งกลับทำให้คน’ รังแก’ นั้นยิ่งติดตามดอมดมความหอมกรุ่นแล้วจึงลากไล้ปลายจมูกโด่งแนบไปกับผิวเนียนนุ่มอย่างหยอกเย้า ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปจุมพิตเข้าหาอย่างหนักหน่วง
ยิ่งพอแม่กระต่ายตัวนุ่มพยายามจะหลบหลีกหนีใบหน้าหลบปลายจมูกโด่งร้ายกาจ เขากลับยิ่งอยากแกล้ง ตามไปรังแกแก้มหอมอย่างไม่ลดละ อดคิดในใจไม่ได้ว่าก่อนจะตบแต่งให้แก่เขาซูเยว่ผิงพาแม่กระต่ายน้อยของเขาไปทำสิ่งใดมากันแน่ยิ่งเข้าใกล้เขายิ่งคลั่งนางราวกับนางคือสุรารสดีที่ยิ่งดื่มยิ่งเมามาย
“อื้อ...เจ็บ” สุดท้ายคนตัวหอมนุ่มนิ่มนางก็บ่นอ้อมแอ้มออกมาเสียงหวานประท้วงแล้วยกมือขึ้นปกปิดซีกแก้มนวลเนียนที่ถูกอีกฝ่ายจุมพิตจนรู้สึกทั้งเจ็บและแสบด้วยถูกหนวดเคราของอีกฝ่ายที่เริ่มยาวครูดไปกับผิวบอบบางใสจนแลเห็นเส้นเลือดกระจ่าง ทำเอาเซี่ยหย่งอี้ถึงกับชะงักแล้วหยุดการกระทำของตนเองแล้วถอยห่างออกมามองดูจึงแลเห็นว่าผิวบอบบางของคนในอ้อมแขนนั้นบัดนี้ปรากฏริ้วรอยแดงขึ้นมาทันตาจนอดจะแอบสงสารคนผิวบางเสียมิได้
“เจ็บก็ต้องอดทน เป็นภรรยาทหารอย่าอ่อนแอจงจำใส่ใจเอาไว้นะผิงหลัว”
ถึงปากจะกล่าววาจาร้ายกาจไม่อ่อนโยน ทว่าปลายนิ้วแกร่งนั้นกลับเกลี่ยลูบไล้บนรอยแดงจากการกระทำของตนเองราวกับจะปลอบโยน ซึ่งช่างขัดกับน้ำเสียงคำพูดหรือแม้แต่สีหน้า ทำเอาเด็กสาวที่ไม่ประสาสับสนไม่เข้าใจไปกับการกระทำดังกล่าวของท่านแม่ทัพใหญ่
“เอ่อ...ท่านพ่อบ้านอาจจะตั้งโต๊ะเสร็จแล้วนะเจ้าค่ะท่านพี่”
พอนางมาถูกเกี้ยวพากันซึ่งหน้าเช่นนี้สาวน้อยก็พลันมีอาการใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะเสียกิริยาไปหมดเพราะนับจากจำความได้และเติบโตมาเป็นสาวน้อยวัยสิบหกก็ยังมิเคยถูกบุรุษใดทั้งรังแกและแนบชิดกันเช่นนี้มาก่อน ยิ่งฝ่ามือแกร่งที่ยื่นปลายนิ้วร้อนๆ มาสัมผัสกับผิวผ่องจนคล้ายมีกระแสร้อนวิ่งพล่านเข้ามาในกายอรชรจนนางเริ่มสิ้นเรี่ยวแรงอ่อนระทวยลงไปไม่น้อย
“เสร็จแล้วก็ปล่อยให้เขารอไป”
กล่าวจบเขาก็ก้มลงไปเอาปลายจมูกโด่งของตนเองไปแนบแล้วขยับเสียดสีไปกับปลายจมูกโด่งเรียวของคนตัวเล็กจนนางไปต่อไม่ถูกจนบังเกิดความเอียงอายขึ้นอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้ริมฝีปากสวยของเซี่ยหย่งอี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนจะกรุ้มกริ่มร้ายกาจอย่างที่ไม่บ่อยเลยที่ท่านแม่ทัพหนุ่มจะแสดงสีหน้าหรือกิริยาเหล่านี้ นิ้วเรียวยาวเชยปลายคางเรียวของคนบนตักให้หันมาเผชิญ แล้วจึงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกว่า...
“ข้ายังไม่รู้สึกหิวข้าวทว่าข้า...หิวอย่างอื่น...อย่างเช่น...เจ้า”
คนกำลังเขินอายหูกำลังอื้อภายในหัวนั้นก็คิดช้าพออีกฝ่ายพูดรวบรัดเช่นนี้เด็กสาวไร้เดียงสาจึงคิดตามไม่ทันงงงันไปหมดไม่เข้าใจเพราะว่าเมื่อครู่ใหญ่เขายังบอกว่าหิวมื้อกลางวันให้ท่านพ่อบ้านเกาไปจัดเตรียมอาหารกลางวัน ทว่าในยามนี้กลับว่าเขาหิวนาง
“ท่านพี่หิวข้า? ...แต่ข้ากินไม่ได้นี่เจ้าค่ะ?”
ซูผิงหลัวทำสีหน้างงจริงจัง พลางเผลอกัดริมฝีปากอย่างขบคิดอย่างหนักว่าตัวของตนเองนั้นมันมีส่วนใดบ้างที่จะกินแก้หิวแทนข้าวมื้อกลางวันได้บ้างจากเขินอายก็ชักจะนึกกลัวมิใช่ว่าคำเล่าอ้างที่ว่าพวกแม่ทัพใหญ่นั้นโหดมากถึงขนาดกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกันก็ได้ คิดไปพลางเด็กสาวก็มองเซี่ยหย่งอี้อย่างไม่วางใจถึงแปดส่วน
ทว่ากิริยาและการกระทำเหล่านี้ของกระต่ายน้อยของเขายิ่งดูก็ยิ่งช่างเย้ายวนเป็นไปเองโดยธรรมชาติมิต้องปั้นแต่งกลับชวนให้คนที่มองจ้องอยู่นั้นถึงกับแอบลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึกใหญ่ เพราะเรียวปากสีสวยอวบอิ่มของนางช่างทำเขา’ หิว’ จนดวงตาพร่าเลือนไปหมดแล้ว
“กินได้สิ เจ้าน่ะน่าจะอร่อยกว่าเกี๊ยวปลาเสียอีก”
“???!!!”
ดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองสบประสานสายตาเร่าร้อนของอีกฝ่ายก็ชักจะหายใจติดขัดเริ่มเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อมายังตนเองบ้างแล้วว่าที่อีกฝ่ายนั้น’ หิว’ มิใช่จะดื่มเลือดหรือกินเนื้อของนางทว่าเขากำลังจะกลืนนางลงท้องไปทั้งกายต่างหาก ทำเอาสาวน้อยถึงกับใบหน้าเห่อร้อนผะผ่าวราวกับเริ่มจะมีไข้ บังเกิดอาการกระดากอายไปหมดจนแทบไม่รู้จะเก็บเท้าและวางมือของตนเองเอาไว้ตรงไหนดี เพราะต่อให้นางจะไร้เดียงสาเพียงใดแต่สายตาของท่านแม่ทัพหนุ่มมันสื่อออกมาอย่างชัดเจนเยเพียงต่อให้นางโง่กว่าตัวตุ่นก็มองออก!
“ยะ...อย่าเพิ่งกินผิงหลัวเลยเจ้าค่ะ ไปกินเกี๊ยวปลาย่อมอร่อยและอยู่ท้องกว่าผิงหลัวยิ่งนัก”
ซูผิงหลัวกลั้นใจกล่าวออกไป แล้วพลันความร้อนรุ่มเพราะความอับอายก็พวยพุ่งขึ้นสู่สองข้างแก้มจนนางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองแทบจะมอดไหม้เสียให้ได้ คาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าในยามอยู่กันในที่ลับตาคนแล้วคนเช่นเซี่ยหย่งอี้จะมีมุมเจ้าเล่ห์ร้ายกาจไม่พอยังมีกิริยากรุ้มกริ่มเจ้าชู้ได้มิแตกต่างจากบุรุษอื่นเลย
“ฉลาดเสียด้วย”
เซี่ยหย่งอี้กล่าวชมอีกฝ่ายไปก็คลอเคลียค้ากำไรดังพ่อค้าหน้าเลือดเช่นสหายรักถังเจี้ยนป๋อเสียแล้ว บัดนี้หากซูผิงหลัวละลายได้นางคาดว่าตนเองคงละลายลงไปกองกับพื้นแล้วเป็นแน่ กิริยา ท่าทีประหม่าเขินอายของคนบนตักทำเอาท่านแม่ทัพหนุ่มยกยิ้มอย่างพึงใจเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งแลเห็นพวงแก้มกลมที่ในยามแย้มยิ้มมีรอยบุ๋มน่ารักน่าเอ็นดูเริ่มมีริ้วสีแดงปรากฏ เขาก็ยิ่งอดใจไม่ไหวที่จะเชยชมด้วยปลายจมูกโด่งคม และริมฝีปากร้อนผะผ่าว เฝ้าคลอเคลียอยู่กับความหอมกรุ่น ซูผิงหลัวนั้นมิใช่สตรีซึ่งพบเห็นแล้วตื่นตะลึงในความงดงามในทันทีทันใด ทว่านางเป็นสตรีน่ารัก ยิ่งมองยิ่งเอ็นดูยากจะถอนสายตาจากไปโดยง่าย ยิ่งในยามนี้เขาได้ใกล้ชิดแนบสนิทความหอมหวานละมุนละไมของนางนี้ช่างชวนให้เขาหลงใหลอย่างไปไหนไม่รอดเสียแล้ว
...โดยรวมแล้วก็คืออนุภรรยาของเขาผู้นี้ช่างน่าขย้ำจับกลืนลงท้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นที่สุด!...
“ดะ...เดี๋ยว!!!” พอพบว่าตนเองกำลังจะจับนางกินแทนเกี๊ยวปลาและอาหารมื้อกลางวันซูผิงหลัวนางก็พลันร้องห้ามเสียงหลงไม่พอยังเอนกายหนีแทบจะหงายหลังศีรษะฟาดพื้นเพื่อหลบหนีการรุกรานจากเรียวปากแกร่งแสนจะร้ายกาจดวงตากลมโตใสแป๋วนั้นก็มองประสานกับสายตาคมเข้มอย่างวิงวอนและออดอ้อนว่าอย่าเพิ่ง’ กิน’ นางเลยนะเจ้าค่ะท่านพี่
“ถ้าไม่อยากถูกข้าจับกินก็อย่าดื้อดึงสิ”
ใบหน้าเจ้าเล่ห์ขยับเข้าไปกระซิบข้างใบหูขาวผ่องพลางเอาแต่ใจคลอเคลียสูดดมกลิ่นหอมไม่รีรอริมฝีปากร้อนรุ่มแนบชิดไถลไปกับซีกแก้มนวลเนียน ฝ่ามือแกร่งร้อนลูบไล้ไปที่เอวอรชรผ่านอาภรณ์แผ่วเบา อย่างเพลิดเพลินในอารมณ์ แม้คนตัวน้อยนั้นจะพยายามปลดมือร้ายออกไปอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
...หากนางตามใจก็ถูกจับกินอยู่ดีนั่นแหละ...
สาวน้อยคิดในใจไปพลางก็เบี่ยงใบหน้างดงามหลบเลี่ยงจากสัมผัสจากเรียวปากแกร่งแสนร้อนรุ่ม ทว่าเซี่ยหย่งอี้กลับยิ่งตามติดคุกคามหนักขึ้น แม่ทัพหนุ่มลากไล้ปลายจมูกโด่งร้ายลงมาตามแนวปลายคางเรียวแล้วไถลลงมาหยุดที่ลำคอระหง เนื้อตัวหอมกรุ่นเย้ายวนใจราวดอกกล้วยไม้แรกแย้มที่กำลังส่งกลิ่นหอมล่อลวงภมรหนุ่มของซูผิงหลัวกำลังทำให้เขาแทบจะควบคุมตนเองไม่อยู่ซึ่งคนเช่นเซี่ยหย่งอี้เคยที่ใดหากจะต้องอดทน!
ฝ่ายคนถูกรุกรานที่พยายามต่อต้านในคราวแรก สุดท้ายก็เริ่มจะเคลิบเคลิ้มตามเมื่อถูกคนตัวโตมากเล่ห์ล่อลวงและหลอกล่อสาวน้อยอ่อนเดียงสาด้วยสัมผัสอ่อนโยนและใจเย็นค่อยเป็นค่อยไป ไอร้อนจากกายสูงใหญ่ที่แผ่ซ่านมาถึงนั้นทำให้นางบังเกิดความรู้สึกอุ่นจัดจนเกือบร้อน ดวงหน้างดงามของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาเริ่มแดงซ่าน ดวงตากลมโตคู่ฉ่ำหวาน ในยามตกอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวาม
นางเผลอไผลกัดริมฝีปากของตนเองในยามพยายามจะซุกซ่อนเสียงหวานมิให้มันหลุดออกมาให้ได้อับอายเรียวนิ้วแกร่งบังคับให้ปลายคางเรียวแหงนเงยขึ้นมามองคนที่ผละถอยห่างใบหน้าขมเข้มจากซอกคอขาวผ่อง ราวกับถูกมนตร์สะกดจากนัยน์ตามากเล่ห์ร้ายกาจให้นางไม่อาจถอนสายตาออกห่าง เรียวปากสีหวานเผลอขึ้นราวกับรอคอยบางสิ่ง ใบหน้าคมเข้มจึงเคลื่อนลงเข้าไปใกล้ โดยที่แววตาของเขานั้นถูกตรึงไว้ที่ริมฝีปากสีหวานราวดอกไม้กำลังแย้มเผลอรอคอยภมรร้ายให้ลงไปดื่มด่ำน้ำหวานจากเกสรบุปผาสวรรค์...
...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังกล่าวสำหรับเซี่ยหย่งอี้เหมือนถูกถีบตกจากแดนสวรรค์ทางฝ่ายซูผิงหลัวคล้ายดังนางถูกมือจากแดนเซียนกระชากนางให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของจอมปีศาจร้ายก็มิปาน เพราะคนที่เกือบจะได้ครอบครองเรียวปากสีหวานมีอันต้องชะงักค้างเพียงอีกมิถึงหนึ่งข้อนิ้วด้วยซ้ำ
“มีอันใด!” ดังนั้นเสียงที่ร้องถามออกไปจึงคล้ายเสียงคำรามของพยัคฆ์ใกล้คลั่งเต็มทน เมื่อใบหน้าคมเข้มซึ่งกำลังจะก้มโน้มลงไปแนบชิดจนใกล้ลมหายใจทั้งสองสอดประสานฉายชัดถึงความไม่พึงใจออกมาเด่นชัด ขณะที่ซูผิงหลัวนั้นหันไปมองทางประตูด้วยความตื่นตระหนก
“เรียนท่านแม่ทัพอาหารจัดเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เสียงของท่านพ่อบ้านเกาดังมาเตือนจากด้านนอกบานประตู พลันนั้นสติของสาวน้อยก็กลับคืนมาจนครบแล้วใบหน้างามก็บังเกิดความร้อนพุ่งพรวดขึ้นมาทันใดเมื่อรับรู้ได้ว่าเมื่อครู่นี้เกือบจะเกิดอันใดขึ้น ดังนั้นพอใบหน้าคมเข้มก้มลงมาแนบชิดหวังจะสานต่อสิ่งที่ค้างเอาไว้เมื่อครู่ฝ่ามือนุ่มจึงยกขึ้นขัดขวางเอาไว้ได้ทันท่วงที เลยเป็นผลให้ท่านแม่ทัพหนุ่มถึงกับใบหน้าตึงเสียยิ่งกว่าหนังกลองออกศึก
“ประเดี๋ยวข้าออกไป!” เพราะความหงุดหงิดเสียงที่ตะโกนตอบออกไปจึงดุดันจนท่านพ่อบ้านใหญ่ต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ แล้วตอบรับคำคนภายในห้องว่า’ ขอรับ’ แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังห่างออกไป ซึ่งพอเซี่ยหย่งอี้เตรียมจะ’ ต่อ’ ท้องเจ้ากรรมของ’ กระต่ายน้อย’ เนื้อนุ่มของเขาก็ร้องประท้วงแทนเจ้าของจนเขาใจดำไม่ลงต้องพานางไปกินมื้อกลางวันที่เลยไปทางใกล้บ่ายแก่เต็มที
...เอาไว้คืนนี้ก่อนเถิดเจ้าไม่รอดแน่แม่กระต่ายน้อยเนื้อนุ่ม!...