เรื่องราวโดย ดวงตา
author-avatar

ดวงตา

bc
ลูกสาวของอาฉ่า
อัปเดตเมื่อ Nov 3, 2023, 02:04
ิลูกสาวห้าคนของอาฉ่าต่างมีฝีมือในการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ หมี่โตและหมี่รองเป็นนักเย็บปักเสื้อผ้าที่ไม่มีใครเทียบ หมี่สามมีความพยายามในการหัดทำขนมเค้กจนมีร้านค้าของตนเอง เธอมีชายหนุ่มผู้มาจากต่างแดนเป็นคู่ใจ หมี่เล็กรักในทางเขียนอ่านและได้ใช้ความรู้ช่วยเหลือผู้อื่น เดอเลอลูกสุดท้องของอาฉ่ารักการมีชีวิตอยู่บนดอย ชีวิตของลูกสาวอาฉ่าทั้งห้าคนจะเป็นเช่นไร เชิญติดตาม
like
bc
มาลัยนารี
อัปเดตเมื่อ Feb 3, 2023, 18:40
นิยายขนาดสั้นสี่เรื่องที่ร้อยเรียงกันอยู่ในเล่มเดียว ให้ชื่อว่ามาลัยนารี เพราะสตรีเปรียบเหมือนดอกไม้ เล่มนี้มีเรื่องราวของหญิงสี่คนที่ต่างพบเจอประสบการณ์ชีวิตอันหนักหนาจนถึงขั้นสาหัส แต่พวกเธอก็สามารถพบทางออก ทั้งจากการใช้สติปัญญาไตร่ตรอง จากการช่วยเหลือของครอบครัว จากการคลี่คลายตัวของสถานการณ์ และจากการได้รับคำแนะนำที่ถูกควร เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 16+++
like
bc
ไมราเซตี (Myraseti)
อัปเดตเมื่อ Nov 28, 2022, 00:18
เมื่อโลกเผชิญภัยพิบัติจากโรคระบาด “เฮมาลอยด์” ชายหญิงหกคนได้รับมอบหมายภารกิจให้ออกเดินทางไปพบผู้ที่จะมอบตัวยาเพื่อนำมารักษาผู้คนที่กำลังเจ็บป่วยล้มตาย พวกเขาออกเดินทางโดยพาหนะสองคันและได้พบผู้นำทางแสนกล พวกเขาต้องเข้าสู่การผจญภัยที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังพบเจอกับอะไร จนกระทั่งพวกเขาทั้งหกถึงจุดหมายปลายโดยสวัสดิภาพและร่างกายไม่บุบสลาย ที่หมู่บ้านริมทางอันเป็นปลายทางที่พวกเขามุ่งไป เหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้รอพวกเขาอยู่พร้อมกับเรื่องเล่าและกิจกรรมต่างๆ ที่พวกเขาไม่คาดว่าจะต้องเข้าสู่ปฏิบัติการ “กอบกู้โลก” สมาชิกหมู่บ้านทั้งคนและสัตว์ที่พัฒนาแล้วต่างลงแรงร่วมมือร่วมใจกันจนเป็นสำเร็จ หญิงชายนักเดินทางทั้งหกกลับออกสู่โลกภายนอกพร้อมกับตัวยาสำคัญ “เชน” ชายหนุ่มชาวอเมริกันพื้นเมืองได้เดินทางกลับสู่หมู่บ้านอีกครั้ง เขาตัดสินใจร่วมเดินทางในอุโมงค์ถ้ำร่วมกับชาวหมู่บ้านริมธารและ “ไมราเซตี” นางผู้มีวิชาด้านสมุนไพร ทั้งหมดออกเดินทางจากภาคเหนือของประเทศไทยเข้าสู่แว่นแคว้นต่างๆ เมื่อไปถึงปลายทางซึ่งเหลือเพียงเชนและไมราเซตี ทั้งสองหนุ่มสาวได้พบกับเมืองร้างและป่าไม้หินที่ล่มสลาย พวกเขาได้ทำการฟื้นฟูป่าไม้หินให้กลับมีชีวิตขึ้นใหม่จนเป็นผลสำเร็จ
like
bc
มาลินีและโสภี
อัปเดตเมื่อ Nov 27, 2022, 23:28
“คือจุดเริ่มต้นของเราทุกคน ดิฉันหมายถึงคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างดิฉัน ส่วนใหญ่แล้วเราสามารถปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอมาได้ทันท่วงที หรือแม้แต่มองเห็นสัญญาณอันตรายและถอยห่างออกมาได้ทันก่อนจะเกิดเรื่องไม่สมควร แต่คนที่ตกเป็นเหยื่อมักปิดเครื่องเตือนภัยไว้ไม่ให้มันส่งเสียง เรายอมตนให้ไหลเลื่อนไปตามสัญชาตญาณที่ปิดซ่อนไว้ เราปล่อยกายและใจไปกับความเพลิดเพลินอันยั่วเย้า อันนี้โทษใครไม่ได้ และดิฉันก็ได้รับผลของมันอย่างสาสมอย่างที่ดิฉันกล่าวไปแล้ว ดิฉันเสียเงินจำนวนมาก ถูกสามีหย่า ต้องลาออกจากงาน ย้ายที่อยู่อาศัย พ่อแม่ของดิฉันต้องอับอายญาติพี่น้อง ทั้งหมดนี้เป็นราคาที่แพงมากกับการที่ดิฉันละเมิดศีลข้อสาม ผลของมันก็อย่างที่คุณเห็น” “ค่ะพี่ ต่อไปเป็นคำถามสุดท้ายนะคะ พี่เคยมีความคิดจะฆ่าตัวตายไหมคะหลังจากสูญเสียทุกสิ่งที่เคยครอบครอง นอกจากนั้นพี่ยังต้องเผชิญกับท่าทีของคนรอบข้างที่เปลี่ยนไป” มาลินีตอบคำถามนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด “ไม่เคยค่ะ ดิฉันต้องการการมีชีวิตอยู่และแก้ไขชีวิตด้วยตนเอง” .. .. ... ... โสภีไม่มีเวลาจะเสียให้กับเรื่องที่สร้างบาดแผลให้ตนเองอีกต่อไป เธอเดินหน้าทำงานที่เธอคิดโครงการไว้อย่างเต็มกำลัง มีบางคราวที่เธอเผลอนั่งเหม่อปล่อยใจกลับไปที่บ้านแมกไม้ แต่เมื่อรู้ตัว เธอสะบัดศีรษะสองสามครั้งเพื่อไล่ความคิดนั้น และเธอก็กลับมาตั้งใจกับงานที่อยู่ตรงหน้า แปดเดือนให้หลัง หนังสือสารคดีเล่มใหม่ของโสภีออกวางแผง และจากเล่มนั้นเธอได้เปลี่ยนแนวทางจากการเสนอชีวประวัติบุคคลผู้โด่งดังไปสู่การเรียกร้องให้ความช่วยเหลือต่อสัตว์ต่างๆ เธอพัฒนางานของเธอเพิ่มขึ้นโดยขยายความสนใจไปสู่การเสนอเรื่องราวของคนที่ทำกิจกรรมดีงามต่อสังคม ซึ่งทำให้เธอได้พบผู้คนที่มีคุณภาพมากมาย โสภีไม่แบ่งช่องว่างในหัวใจให้แก่ใครอีก เธอเดินหน้าต่อกับชีวิตในวัย 35 ปี กับการงานที่เธอรัก กับการเขียนหนังสือและทำภาพประกอบ มีช่วงขณะที่เธอหยุดคิดว่าเธอจะอยู่ไปด้วยหัวใจว่างเปล่าเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ เสียงเล็กๆ จากซอกหัวใจตอบเธออย่างชัดเจนว่า อยู่คนเดียวอย่างนี้ปลอดภัยกว่า อาจต้องทนเหงาหน่อย แต่รับรองว่าเธอจะไม่ต้องพบเจอความทุกข์ของการหลงอารมณ์อีก โสภีพยักหน้ารับฟังเสียงเล็กๆ และขยับเท้าก้าวต่อไปในเส้นทางที่เธอกำหนด เธอคอยสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ ที่บอกเธอว่าตรงไหนมีหลุมร่อง เธอระมัดระวังตนที่จะไม่ถลำตกลงไปให้เปลืองกายและใจรวมทั้งเวลาอันมีค่า เธอกอดเกี่ยวงานไว้อย่างแน่นเหนียว มันเป็นที่พึ่งเดียวของเธอที่ให้ทั้งความพึงพอใจ ชื่อเสียง และรายได้
like
bc
กาลครั้งหนึ่งที่โคชนะ
อัปเดตเมื่อ Nov 27, 2022, 00:29
“รอบบริเวณทุ่งนาของหมู่บ้าน วัวพันธุ์ไทยหลายฝูงยืนกินฟางแห้งกลางแสงแดดอันร้อนแรง มีหลายตัวเคยเป็นนักกีฬาวัวลานที่ต้องวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก่อน บัดนี้พวกมันต่างยืนเคี้ยวเอื้องอย่างอิสระรอเวลาที่จะได้ขึ้นรถไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง “ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนั้นโดยมีปานเป็นผู้ช่วยอย่างเช่นที่เป็นมาตลอดปีที่แล้ว ปีนี้เราเริ่มต้นอย่างดีด้วยการรับเหมาจัดแต่งสวนรอบบริเวณสำนักงานของฟาร์มโคชนะ มีโรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่งมาจองคิวเราสองคนไว้ นอกจากนั้นภาพวาดของผมชุดนางรำเพชรบุรีก็มีผู้ซื้อไปในราคาที่ผมพอใจ “ผมและปานยังคงความสัมพันธ์ไว้เช่นเดิม ซึ่งมันก็งดงามในเส้นทางที่ทำให้เราสามารถเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้โดยไม่มีใครต้องเจ็บปวด ปานยังขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ต้องซ่อมกันเป็นครั้งคราว ยังเก็บหมาจรมาเลี้ยงและพาไปทำหมัน เราไปขนน้ำผึ้งกันเดือนละครั้งและเขาจะหยุดงานหนึ่งวันหลังจากนั้น ส่วนผมเองก็ทำงานส่วนตัวของผมไปในวันที่ไม่ได้ออกไปจัดสวนข้างนอก เมื่อได้รับเชิญไปงานที่มีรำวงผมไม่เคยปฏิเสธ เพราะผมมีคนพากลับบ้านทุกครั้ง...” - -- -- -- - ...ตลอดหลายเดือนที่ทำงานกับคาเฟ่แห่งนั้นเจี๊ยบได้เห็นใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พวกลูกค้าต่างตั้งใจมาหามุมถ่ายรูปเพื่อนำไปลงสื่อสังคมให้ผู้ชมกดไลค์ เขาเห็นแววตาหม่นเศร้าและรู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาของผู้คนที่ต่างแสวงหาการยอมรับจากกันและกัน ในมือของทุกคนถือโทรศัพท์ที่พร้อมจะยกขึ้นหรือยื่นออกไปเมื่อได้จังหวะ พวกเขามักฉีกยิ้มร่าหรือทำหน้าตาไร้เดียงสาให้กล้อง บางคนทำปากกลมๆ ขยิบตาหนึ่งข้าง หรือแม้กระทั่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากในแบบยั่วยวน แต่เมื่อลดกล้องลงแล้วพวกเขาก็เข้าสู่อารมณ์เก่าและนั่งจับเจ่าอยู่กับกาแฟเย็นชืดตรงหน้า ลูกค้าหลายคนแต่งตัวทันสมัยเข้ามาในร้าน พวกเขามักเข้าไปยืนชิดติดกับแจกันดอกไม้ที่เจี๊ยบจัดวางไว้ใกล้กับเฟอร์นิเจอร์หรูและเครื่องประดับฉาก พวกเขาจัดท่าทางของตนเองอย่างกระตือรือร้นและไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อถ่ายภาพเสร็จจากมุมหนึ่งก็เคลื่อนร่างไปยังอีกมุม พวกเขามองไม่เห็นดอกไม้แม้ว่าจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หรือเอียงสะโพกเข้าไปจนชิด สิ่งที่พวกเขาเห็นคือฉากอันตระการที่ผู้ชมจะยกนิ้วให้ บางคนสะกิดเรียกเจี๊ยบให้เข้ามายืนถ่ายรูปด้วยกัน เพราะเจี๊ยบย้อมผมสีทองและใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ซึ่งมันช่วยทำให้ภาพถ่ายของพวกเขามีสีสันเพิ่มขึ้น เมื่อชัตเตอร์ลั่นกริกแล้ว พวกเขาก็หันหลังให้เจี๊ยบทันที ซึ่งเขาก็ไม่คิดอะไรมาก ลูกค้าคือคนที่ทำให้ร้านอยู่ได้ และเขาก็มีเงินเดือนพอใช้จากงานที่ทำอยู่ แต่ยิ่งนานวันไปเจี๊ยบเริ่มรู้สึกว่างเปล่า หัวใจของเขากลวงและมีรอยโหว่ เขาเหงา ไม่ใช่เหงาหาผู้คนที่เขาพบเจอวันละมากมาย ทั้งเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานในร้านคาเฟ่ ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า ความเหงาของเขาไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด เจี๊ยบเคยสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เอกพลก็เลิกทำงานที่กำลังไปได้ดีแล้วหันมาใช้ชีวิตที่แตกต่าง ตอนนี้เขาคิดว่าพอจะรู้เหตุผล ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรือขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานอย่างที่หลายคนประสบ แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดจากการแสวงหาบางสิ่งที่แม้ตนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร การเปลี่ยนที่ เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนสิ่งรายรอบ และเปลี่ยนผู้คนที่แวดล้อมก็อาจทำให้เขาพบคำตอบ - -- -- -- -- -- “ผมนอนคิดไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่คิดแบบเมื่อก่อน เมื่อคืนผมวาดภาพในใจว่าหากผมอยากได้สมบัติในถ้ำจริงๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินเท้าเข้าป่าฝ่าอันตราย ผมคงต้องจ้างนายพราน นักสำรวจ นักผจญภัย หรือทหารรับจ้างให้นำทางไปตามแผนที่นี้ เราต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมทั้งอาวุธอันมีประสิทธิภาพที่จะฆ่าสัตว์ป่าทุกชนิดที่ขวางหน้า ซึ่งผมคงฆ่าพวกเขาไม่ลง นอกจากนั้นผมคงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่เต็มไปด้วยความโลภ มีความกล้าหาญแบบผิดธรรมชาติที่สามารถทำลายชีวิตอื่นได้เพื่อความสนุกหรือเมื่อจวนตัว อีกทั้งเรายังต้องติดต่อกับทางการพม่าเพื่อขอข้ามแดน เมื่อเรื่องนี้ขยายไปก็จะกลายเป็นเหตุยุ่งยากของผมและปานไม่มีวันจบสิ้น เราพ่อลูกชอบอยู่แบบเงียบๆ พอมีพอกิน ทำงานหาเลี้ยงชีพไปตามความถนัด ผมผ่านมาแล้วช่วงที่ผมอยากได้เงินเยอะๆ จนมาถึงวันนี้ สิ่งที่ผมอยากได้ที่สุดคือการมีชีวิตอย่างสงบสุข ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระกับใคร ผมไม่ต้องการร่ำรวยล้นฟ้า แค่ไม่เป็นหนี้เป็นสิน มีสุขภาพดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้หลังจากหายป่วย ผมพอใจแล้ว” นายเปรียวจบคำพูดของเขาพร้อมกับเก็บม้วนแผนที่ลงย่าม -- ผมรู้สึกอยากมีโอกาสพูดคุยกับพ่อแบบเดียวกับที่ผมกำลังนั่งคุยกับปีเตอร์ ผมนึกถึงฉากในที่เห็นในรายการทอล์กโชว์ที่มักมีเซอร์ไพรส์โดยการให้ผู้สูญหายออกมาแสดงตัวและโอบกอดกันพร้อมกับส่งเสียงอุทานอย่างยินดี ผมแอบคาดหวังว่าปีเตอร์จะมีเรื่องให้ผมแปลกใจโดยการดีดนิ้ว แล้วพ่อผมก็เดินออกมาจากหลังม่าน ผมสะบัดศีรษะเพื่อไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับ ผมไม่อยากให้ปีเตอร์เห็นผมอ่อนแอ เขาชำเลืองมองผมและหันไปจัดโน่นจัดนี่บนโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณไม่เป็นไรนะ คุณเอกพล” “ครับ” ปีเตอร์ลุกขึ้น เขาหยิบอัลบั้มจากบนโต๊ะและถืออย่างทนุถนอมเข้าไปเก็บในห้อง เขาใช้เวลาครู่หนึ่งในนั้น ผมมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมคงต้องกลับเสียที ผมพูดคุยกับปีเตอร์เกือบหกชั่วโมงเพื่อจะพบว่าโลกของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
like