บทนำ [2]
แรกพบ ประสบ (อุบัติ) เหตุ
ร้านต้มเลือดหมู
“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะหนูหยี” เฮียหมู เจ้าของร้านทักทายเธอด้วยความสนิทสนม
“หยีจะไปสัมภาษณ์งานน่ะค่ะเฮีย เอาเหมือนเดิมนะคะ” ยาหยีสั่งแล้วเดินไปนั่งด้านใน
เธอแวะมากินต้มเลือดหมูที่ร้านนี้เป็นประจำ จึงรู้จักและสนิทกับเฮียหมูเจ้าของร้านเป็นอย่างดี บ่อยครั้งที่เธอมาตรงกับช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะจนเฮียหมูทำคนเดียวไม่ทัน เธอก็จะรับบทเด็กเสิร์ฟประจำร้านแลกกับการกินฟรีเสมอ
นั่งลงที่เก้าอี้แล้วสอดส่องสายตามองออกไปที่กลุ่มชายวัยรุ่นสามคนนั้นอีกรอบ เห็นไอ้หัวขโมยกำลังพูดคุยกับเพื่อนของมันอย่างสนุกสนานทั้งที่เพิ่งจะขโมยกระเป๋าสตางค์คนอื่นมา
พวกมันไม่คิดจะหนีไปไหนเพราะขโมยกันจนเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนคนแถวนี้ต่างพากันเอือมระอาแต่ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้แจ้งตำรวจจับไปได้พวกมันก็ติดคุกเพียงไม่นาน พ้นโทษออกมาพวกมันก็กลับมาทำอีกเหมือนเดิม กลายเป็นปัญหาที่ชาวบ้านต้องช่วยกันระมัดระวังเอาเองมาตลอด
แต่ก็นั่นแหละ อย่างไรเสียครั้งนี้ก็มีเจ้าทุกข์เป็นคนหล่อ เขาดูไม่ใช่ตาสีตาสา บางทีเขาอาจจะมีวิธีจัดการให้พวกมันหลาบจำเสียบ้างก็ได้ หรือถ้าหากมีเส้นสายเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปัญหาและความเดือดร้อนที่คนอื่นมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็อาจจะได้รับการเหลียวแลและช่วยเหลืออย่างจริงจังสักที
นั่งรอไม่นานเฮียหมูก็ยกข้าวเปล่าสองถ้วยพร้อมกับชามต้มเลือดหมูมาเสิร์ฟให้
“มาแล้วๆ ต้มเลือดหมูไม่เอาไส้ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ข้าวเบิ้ลนะหนูหยี”
“เฮียรู้ใจหยีที่สุดเลยค่ะ” ยาหยียิ้มกว้างพร้อมกับทำทีเป็นหยิบช้อน แอบมองไอ้หัวขโมยอีกรอบให้มั่นใจว่ามันยังอยู่ เห็นว่ามันกำลังหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาอวดเพื่อนของมันพอดี
ดูจากสภาพภายนอกของกระเป๋าสตางค์ใบนั้นแล้วยาหยีค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นกระเป๋าสตางค์ของพ่อคุณคนหล่อแน่ๆ ลักษณะยังดูใหม่อยู่เลย เป็นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่ราคาคงจะแพงน่าดู
ไอ้เด็กเวรนั่นหยิบเงินออกมาแบ่งกันกับเพื่อน ก่อนจะหย่อนกระเป๋าสตางค์ใบนั้นทิ้งลงถังขยะใต้โต๊ะไปหน้าตาเฉย จากนั้นมันก็เดินมาสั่งต้มเลือดหมูกับเฮียแล้วนั่งรอที่โต๊ะถัดจากโต๊ะที่เธอนั่งไปไม่ไกลด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ในขณะที่เพื่อนของมันทั้งสองคนพอได้เงินแล้วก็แยกย้ายกันทันที
“เฮียคะ หยีขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” ยาหยีตะโกนบอกเฮียหมูเพื่อขออนุญาต เพราะโดยปกติแล้วที่ร้านจะไม่มีบริการห้องน้ำสำหรับลูกค้า แต่สำหรับยาหยี เธอได้รับสิทธิพิเศษจากเฮียหมูมาแต่ไหนแต่ไร
“ตามสบายเลยหนูหยี”
“ขอบคุณค่ะเฮีย” ยาหยียิ้มจนตาหยีสมชื่อก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับแผนเด็ดในหัว ปิดประตูและล็อกลูกบิดเอาไว้เสร็จสรรพ ยืนรอเวลาอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจพร้อมกับท่องคาถาไปมั่วๆ จบแล้วจึงตะโกนขอความช่วยเหลือออกไปเสียงดังลั่น
“เฮียคะ ช่วยด้วยค่ะ ประตูห้องน้ำมันเปิดไม่ออกค่ะเฮีย”
“อ้าวตายห่า เมื่อเช้ามันยังดีๆ อยู่เลยนะหนูหยี”
“ลูกบิดน่าจะเสียน่ะค่ะเฮีย”
“จริงเหรอหนูหยี ทำยังไงดีล่ะคราวนี้”
เสียงร้อนใจของเฮียหมูดังมาจากด้านนอกพร้อมกับที่พยายามหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำสลับกับเขย่าอยู่หลายครั้ง แต่มันจะเปิดออกได้อย่างไรในเมื่อเธอกดล็อกเอาไว้จากด้านใน
“ออกไหมคะเฮีย เดี๋ยวหยีไปสัมภาษณ์งานไม่ทันค่ะ”
“รอแป๊บหนึ่งนะหนูหยี”
ด้านหนึ่งยืนยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกผิดที่โกหก อีกด้านกำลังกระวนกระวายหาทางช่วยอย่างสุดความสามารถ
“เอาแบบนี้แล้วกันนะหนูหยี เดี๋ยวเฮียลองพังเข้าไป หนูหยีถอยห่างจากประตูนะหนูนะ”
“แต่ประตูมันจะพังนะคะเฮีย”
“ช่างมันเถอะน่า ตอนนี้เอาตัวเองออกมาก่อน ประตูมันซ่อมได้”
ยาหยีเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่เลือกใช้วิธีนี้ ภาวนาขอให้เฮียหมูไม่เรียกเก็บค่าซ่อมประตูจากเธอก็แล้วกัน
โครม!
เสียงดังโครมจนยาหยีตกใจ ก้าวถอยหลังไปชิดผนังอีกด้านเพราะกลัวว่าประตูจะถูกพังเข้ามาจริงๆ
โครม!
ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ประตูก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะพัง ทั้งที่สภาพเก่าซอมซ่อแต่กลับแข็งแรงเกินเรื่องเกินราว
“นี่ไอ้หนุ่ม ขอแรงพังประตูหน่อยสิ มีคนติดอยู่ด้านในน่ะ” เฮียหมูที่อายุมากแล้วเริ่มหมดแรงจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากลูกค้าหนุ่ม ซึ่งก็เข้าทางยาหยีพอดี
“ครับเฮีย”
ได้ยินแล้วยาหยีถึงกับยืนกอดอกแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก เมื่อครู่หากเฮียหมูไม่ขอความช่วยเหลือ เธอก็กำลังจะแนะนำให้เขาทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน
“ไอ้พวกปากหวาน สันดานเสียเอ๊ย!”
“ผู้ช่วยมาแล้วหนูหยี ถอยให้ห่างจากประตูนะหนู”
“ค่ะเฮีย” ยาหยีตะโกนบอกแล้วยืนตั้งรับอยู่ด้านใน
“ผมจะพังเข้าไปแล้วนะพี่”
โครม!
ไม่ทันขาดคำประตูก็เปิดเข้าไปด้านในได้ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มวิ่งชนครั้งแรก
“แหม่ แรงหนุ่มๆ กับแรงคนแก่นี่มันต่างกันจริงๆ” เฮียหมูหันไปเอ่ยปากชม ทั้งที่ความจริงแล้วเหตุผลที่ประตูมันเปิดได้ง่ายๆ ก็เพราะยาหยีปลดล็อกจากด้านในแล้วแอบแง้มเอาไว้ต่างหาก จากการคำนวณดูแล้วเธอมั่นใจว่าจังหวะที่จะวิ่งชนประตู ทั้งเฮียหมูและไอ้หัวขโมยจะต้องถอยห่างจากประตู ซึ่งคงไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน
“ขอบคุณมากนะคะน้อง แข็งแรงมากเลยนะเนี่ย กระแทกทีเดียวพังเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พี่โอเคนะ”
“โอเคๆ ขอบใจนะ” ยาหยีขอบอกขอบใจแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะทำทีเป็นเบี่ยงตัวเดินออกมาก่อน ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นกำลังยืนสำรวจบานประตูและลูกบิดด้วยท่าทีงงๆ
ยาหยีหันกลับไปอีกครั้งพร้อมกับอาศัยไหวพริบที่มีมากกว่ารวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักนายคนนั้นสุดแรงจนอีกฝ่ายหน้าทิ่มกลับเข้าไปในห้องน้ำ
“เฮ่ย!” อีกทั้งยังร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
ไม่รอให้มันไหวตัวทันยาหยีก็กระชากประตูห้องน้ำให้ปิดลงอีกรอบ ก่อนจะใช้โบมัดผมที่ดึงมาจากผมของตัวเองเมื่อครู่คล้องกับหูล็อกประตูแล้วผูกเอาไว้แน่นๆ แทนแม่กุญแจ แม้ประตูจะไม่ได้ปิดสนิทแต่ก็ไม่สามารถที่จะเปิดออกกว้างจนคนด้านในก้าวออกมาได้แน่ๆ
ปังๆๆ
“ปล่อยกู!!!”
“รอตำรวจมาปล่อยเถอะไอ้โง่!” ยาหยีบอกอย่างผู้ชนะ ก่อนจะหันมามองหน้าเฮียหมูเจ้าของร้านที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
“ขอโทษนะคะเฮีย แต่ไอ้นี่มันเป็นโจรค่ะ นั่นค่ะ ตำรวจมาพอดี”
หางตาเหลือบไปเห็นผู้เสียหายเดินนำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพอดีเธอจึงรีบชี้นิ้วออกไป
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็รีบดึงโบมัดผมที่ยาหยีมัดเอาไว้ออกจากหูคล้องกุญแจแล้วยืนรอให้คนด้านในเดินออกมา และเมื่อคนร้ายกระชากประตูออกมาเจอตำรวจก็ถึงกับเบิกตาโพลง ก่อนจะถูกตำรวจรวบตัวเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“รอบนี้จับมันไปนานๆ หน่อยนะครับคุณตำรวจ ชาวบ้านแถวนี้เขาระอามันกันหมดแล้ว” เฮียหมูกำชับ เพราะเขาเองก็รู้ว่าเด็กวัยรุ่นแถวนี้ส่วนมากมีคดีติดตัวกันทุกคน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ บางวันที่มาเป็นลูกค้าก็ต้องขาย แต่ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะมาเป็นหัวขโมย บางคนถ้าไม่เสพยาก็ดูปกติดีแต่ถ้าวันไหนเสพยามาก็คลุ้มคลั่งอาละวาดราวกับเป็นคนละคน เรื่องแบบนี้มีให้เห็นอยู่ทุกวัน
“ขอโทษเรื่องประตูด้วยนะคะเฮีย”
“เดี๋ยวผมจ่ายค่าเสียหายให้เองครับ” เจ้าของกระเป๋าสตางค์แสดงความรับผิดชอบด้วยความเต็มใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นิดหน่อยถือว่าช่วยกัน ของมันยังไม่ได้พังจนใช้ไม่ได้ ช่างมันเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผม...”
“แฟนเหรอหนูหยี”
“หืม” ยาหยีเบิกตาโพลง แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากกลับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย แอบมองผู้ชายที่ยืนเสียอาการอยู่ข้างๆ แล้วส่งสายตาวิบวับทะลึ่งทะเล้นกับเขา ก่อนจะหันกลับไปปฏิเสธกับเฮียหมูทีหลัง
“ไม่ใช่ค่ะเฮีย แหม ถ้าแฟนหยีหล่อขนาดนี้จะพามาเดินควงให้ทั่วถนนเลย” ยาหยีแกล้งว่า ท่าทีขยิบตาของเธอทำให้อีกฝ่ายต้องเสมองไปทางอื่นอย่างเสียไม่ได้
“เอาเป็นว่าผมขอบคุณคุณมากก็แล้วกันนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยๆ กัน อ้อ ฉันเพิ่งนึกได้ คุณรอตรงนี้นะคะ” ยาหยีเพิ่งจะนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้รีบเดินตรงไปที่โต๊ะด้านนอกเพราะเมื่อครู่นี้เห็นว่ากระเป๋าสตางค์เขาถูกทิ้งไว้ในถังขยะใต้โต๊ะตัวนั้น
โชคดีในถังขยะมีแค่กระเป๋าสตางค์ของเขาอยู่แค่ใบเดียวมันจึงไม่เลอะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ละเลยที่จะดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดให้สะอาดแล้วจึงรีบนำมาส่งคืนให้เจ้าของ
“ใบนี้ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ไม่น่าจะมีเงินอยู่แล้วนะคะ ฉันเห็นมันหยิบเงินออกไปหมดแล้วก่อนจะทิ้ง แต่พวกบัตรสำคัญต่างๆ ของคุณน่าจะยังอยู่ ลองเช็กดูค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอายัดหรือแจ้งทำใหม่” ยาหยีบอกอย่างรอบคอบ เจ้าของกระเป๋าสตางค์รับไปแล้วรีบเปิดดู ซึ่งก็เป็นเพราะบัตรในกระเป๋าหลายสิบใบนั่นแหละที่ทำให้เขายอมที่จะเสียเวลา ส่วนเงินสดในกระเป๋ามีอยู่เพียงแค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้นเอง
“ยังอยู่ครับ”
“ถ้าเรียบร้อยแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดีวันนี้รีบค่ะ”
“ครับ”
“นี่ค่าข้าวนะคะเฮีย”
“อ้าว จะไปแล้วเหรอหนูหยี”
“ค่ะ เดี๋ยวไปไม่ทัน อวยพรให้หยีด้วยนะคะเฮีย ถ้ารอบนี้หยีได้งานเดี๋ยวหยีจะพาเพื่อนมาเลี้ยงร้านเฮียนี่แหละค่ะ”
“ได้เลย โชคดีนะหนูหยี”
“ค่า” ยาหยียิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือลา เตรียมตัวเดินไปที่สถานีรถไฟฟ้าแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มให้กับคนหล่ออีกครั้งก่อนจากกัน
“ไปก่อนนะคะ”
“ครับ ขอให้โชคดี”
อยากกรีดร้องที่เขาอวยพรให้เหมือนกัน นี่ถ้าหากไม่ติดว่ามีนัดสำคัญที่หมายถึงอนาคต เธอก็อยากจะหาเรื่องพูดคุยกับเขาต่อสักหน่อย แต่ตอนนี้คงต้องแยกย้ายกันแล้วจริงๆ
ผู้ชายก็อยากได้ แต่งานมันดันสำคัญกว่า ชีวิตของยาหยีมันต้องสู้!
“คุณคะ ระวัง”
ตุ้บ!
ไม่ทันเสียแล้วเมื่อสัญชาตญาณสั่งให้ยาหยีก้าวกลับมาพร้อมกับที่ร้องตะโกนให้เขาระวัง เพราะหางตาเหลือบไปเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์แต่ไม่มองทางกำลังเดินไปทางเขา สุดท้ายจึงกลับกลายเป็นว่าเธอถูกหญิงสาวคนนั้นเดินมาชนเข้าเสียเอง กาแฟที่หญิงสาวถืออยู่ในมือจึงหกใส่เสื้อสูทนำโชคของเธอเข้าเต็มๆ
“ขอโทษค่ะๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” ยาหยีถึงกับพูดไม่ออก ยิ้มแห้งแล้วจำใจรับทิชชูมาจากผู้หญิงคนนั้นที่ขอโทษขอโพยเธอด้วยความตกใจ ทั้งยังกระวีกระวาดคว้ากระดาษทิชชูบนโต๊ะมาซับคราบกาแฟออกจากเสื้อสูทให้เธออย่างรู้สึกผิด
ตื้ดดด
ระหว่างที่กำลังจัดการกับปัญหาตรงหน้า โทรศัพท์มือถือของยาหยีก็สั่นขึ้นมาพอดีเธอจึงล้วงมืออีกข้างหยิบมันออกมาสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย
“ฮัลโหล”
นึกอยากจะโวยวายเพื่อระบายกับเพื่อน แต่เพราะสายตาของคนหล่อทำให้ยาหยีต้องเก็บอาการ ยิ้มทั้งที่สังหรณ์ใจว่าวันนี้ไม่น่าจะใช่วันดีของเธอแล้วแน่ๆ
[แกถึงไหนแล้ว คนอื่นเข้ามาถึงกันหมดแล้วนะยัยหยีเพื่อนรัก]
ได้ยินคำว่าเพื่อนรักทีไร ขนหัวลุกทุกทีสิน่า
“ฉันกำลังจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ” ยาหยีบอกตะกุกตะกักเพราะความมั่นใจที่พกมาเกินร้อยเมื่อเช้าเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ก้มมองคราบกาแฟที่เปื้อนอยู่บนเสื้อสูทแล้วอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
[กำลังจะรีบของแกนี่หมายความว่ายังไง มาให้เร็วเลย แกควรจะมาถึงเพื่อเตรียมตัวตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วนะ]
“มันสุดวิสัยน่า”
[สุดวิสัยบ้าบออะไรของแก ฉันให้เวลาแกอีกยี่สิบนาที ถ้าแกยังไม่โผล่หัวมาฉันจะด่าให้แกจำทางกลับจากอะพาร์ตเมนต์ไม่ได้เลย เร็ว!] สั่งเสร็จก็วางสายไปดื้อๆ ทำเอายาหยีถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ” ยาหยีบอกยิ้มๆ พยายามเรียกสติคืนมาแล้วเร่งฝีเท้าเพื่อเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังของเธอที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับสายตา ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับหญิงสาวอีกคนที่ยืนทำหน้าตารู้สึกผิดแล้วแยกกันไปเงียบๆ
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับเข้ามานั่งในรถ สตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเปิดแอร์เย็นฉ่ำเพื่อนั่งมองกระเป๋าสตางค์ในมือ ทว่าหางตาเหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่วางอยู่บนเบาะด้านข้างคนขับ
ตอนเดินกลับไปรอตำรวจที่หน้าร้านกาแฟ เขาเห็นว่าถุงกระดาษใบนี้ตกอยู่ที่พื้น บริเวณที่เขาเปิดประตูมาชนเธอเข้าพอดี เมื่อเปิดดูข้างในแล้วพบว่าเป็นรองเท้าส้นสูงของผู้หญิง เขาจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นของเธอ ตั้งใจว่าจะเอามาคืนให้แต่ตอนนี้คงจะไม่ทันเสียแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชื่ออะไร จำได้แต่คำว่า ‘หยี’
“อะไรหยี ลูกหยีเหรอ หรือว่าตาหยี เหอะ”
แค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นแล้วเดินลงจากรถอีกรอบ ตั้งใจจะเอาไปฝากไว้กับเฮียหมูเจ้าของร้านต้มเลือดหมูที่น่าจะรู้จักกับเจ้าของรองเท้าเป็นอย่างดี
“เฮียครับ”
“อ้าว มีอะไรเหรอครับคุณ”
“คือว่าผมอยากจะฝากของเอาไว้ให้เธอคนเมื่อกี้นะครับ” บอกยิ้มๆ พร้อมกับยกถุงกระดาษใบนั้นขึ้นมา
“หนูยาหยีน่ะเหรอ”
ชื่อ ‘ยาหยี’ สินะ
“ครับ ฝากไว้ให้ยาหยีครับ”
“แต่พรุ่งนี้เฮียจะปิดร้านน่ะสิ จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดน่ะ ปิดตั้งสองอาทิตย์แน่ะ หนูยาหยีจะรีบใช้รึเปล่า ถ้าไม่รีบก็ฝากไว้ได้นะพ่อหนุ่ม”
ได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกลังเล แต่หากให้เดาเธอคงรีบใช้นั่นแหละ ได้ยินว่ากำลังจะไปสัมภาษณ์งาน แต่รองเท้าที่สวมเมื่อครู่เป็นรองเท้าแตะ นี่คงตั้งใจจะนำรองเท้าส้นสูงคู่นี้ไปเปลี่ยน แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อไม่รู้ว่าเธอไปถึงไหนแล้ว ไปสัมภาษณ์งานที่ไหนก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
“หรือไม่ก็ลองเอาไปฝากไว้ที่อะพาร์ตเมนต์สีเหลืองๆ นั่นก็ได้นะพ่อหนุ่ม บอกว่าของยาหยี เจ้าของที่นั่นรู้จักหนูยาหยีดี” เฮียหมูแนะนำอย่างใจดี แต่ระหว่างที่กำลังยืนมองท่าทีลังเลของชายหนุ่มเพื่อรอคำตอบก็มีลูกค้าเดินมาซื้อต้มเลือดหมูพอดีเฮียหมูจึงหันกลับไปขายของก่อน
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับเฮีย เดี๋ยวผมเอาไปฝากไว้ที่อะพาร์ตเมนต์ครับ เผื่อยาหยีรีบใช้”
“อ้อได้ๆ”
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรๆ ไอ้หนุ่มเอ๊ย เลือดหมด มีแต่เครื่องในได้ไหม”
“โห เฮีย ขายดีหรือทำน้อย มาไม่เคยทัน”
“เอ๊ะไอ้นี่ เอาเลือดหัวเอ็งมาทำก่อนไหมล่ะ”
“ล้อเล่นน่าเฮีย เอาอะไรมาก็ได้ครับ ลดราคาด้วยแล้วกัน”
เสียงพูดคุยของเฮียหมูกับลูกค้าค่อยๆ เบาลงเมื่อเขาเดินกลับมาที่รถพร้อมกับถุงรองเท้าในมือ วางมันไว้ที่เบาะข้างคนขับอีกครั้งแล้วขับรถออกมาทันที
“ยาหยี”
รำพึงรำพันชื่อนั้นขึ้นมาระหว่างทาง สลับกับเหลือบมองไปที่ถุงกระดาษนั่นเป็นระยะๆ
“ชื่อก็น่ารักเหมือนจะเรียบร้อยดี แต่ทำไมถึงได้...เฮ้อ”
นึกถึงท่าทีเล่นหูเล่นตาของเธอแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหัว นอกจากจะกระโดกกระเดกเหลือเกินแล้วก็ยังดูเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก เด็กสมัยนี้เป็นแบบนี้กันหมดหรือไง