บทนำ [1]
แรกพบ ประสบ (อุบัติ) เหตุ
[เดี๋ยวแกถึงบริษัทแล้วโทรมานะ ฉันน่าจะประชุมเสร็จพอดี]
“ได้ ขอบใจมากนะแก ถ้าฉันได้งานนี้เดี๋ยวพาไปเลี้ยงชุดใหญ่เลย”
[เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลังเถอะน่า แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน] ปลายสายบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อนก่อนจะวางสายไป
ยาหยีเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าพลางก้มมองรองเท้าแตะคู่โปรดที่เลือกจะสวมมันมาก่อนเพื่อให้เดินทางได้สะดวก ส่วนรองเท้าส้นสูงคู่เก่งก็เตรียมใส่ถุงกระดาษแยกเอาไว้ ตั้งใจจะนำไปเปลี่ยนในภายหลัง เพราะหากต้องใส่ส้นสูงเดินบนพื้นทางเท้าที่เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดเส้นทางตั้งแต่หน้าอะพาร์ตเมนต์ไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ข้อเท้าเธอคงพลิกตั้งแต่ก้าวออกจากอะพาร์ตเมนต์ได้สองร้อยเมตรแรกแน่ๆ
“วันนี้วันดี อากาศก็ดี ฉันจะอารมณ์ดี จะไม่ใจร้อน จะได้งานใหม่ จะพบแต่เรื่องดีๆ เจอแต่คนดีๆ ที่สำคัญฉันจะร้วย!”
สะกดจิตตัวเองด้วยการพูดแต่เรื่องดีๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าเพราะเชื่อว่ามันจะนำพาแต่เรื่องดีๆ มาให้เธอตลอดทั้งวัน
ปัก!
“โอ๊ย!”
แต่เพราะมัวแต่จ้องมองพื้นทางเท้าที่เป็นหลุมเป็นบ่อ กลัวว่าจะสะดุดหน้าทิ่ม สุดท้ายเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกทีเธอก็เดินชนเข้ากับบานประตูกระจกของร้านกาแฟที่ถูกผลักออกมา แรงกระแทกทำเอาหน้าสั่น ก้าวถอยไปด้านหลังหลายก้าว
“ไอ้...”
คำหยาบที่กำลังจะพ่นออกมาจากริมฝีปากสีพีชที่เป็นสีมงคลสำหรับวันนี้ จำต้องถูกกลืนกลับลงลำคอไปในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้
“วันนี้วันดี อากาศดี ฉันจะอารมณ์ดี ฉันจะไม่ใจร้อน ท่องไว้หยี ฉันจะไม่ใจร้อน”
สะกดจิตตัวเองซ้ำๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าผากที่กระแทกกับประตู อีกข้างหนึ่งลูบหน้าอกเพื่อกล่อมให้ตัวเองใจเย็นๆ ตั้งสติได้ก็กวาดสายตามองหาคนที่เปิดประตูออกมากระแทกหน้าเธอเมื่อครู่ แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อผู้ชายคนนั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำขอโทษเธอสักคำ
“ไอ้ตัวนำโชค!” ทำได้เพียงตะโกนไล่หลังด้วยคำเป็นมงคลเสียงดังลั่น
มีเวลาให้หงุดหงิดไม่นานเธอก็ต้องรีบเดินทางต่อ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนี้ไม่อย่างนั้นอาจจะไปถึงบริษัทสายซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ปัง!
แต่ก้าวต่อมาเธอก็แทบจะล้มทั้งยืน เพราะชนกับประตูบานเดิมที่มีคนเปิดมันออกมาอีกรอบ
“ปั้ดโธ่โว้ย! มันจะ...”
“ขอโทษครับ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มทำให้ยาหยีที่กำลังกระฟัดกระเฟียดได้สติ รีบลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงทรงพลังนั่นทันที
แล้ววินาทีแห่งความประทับใจเมื่อแรกพบก็มาถึง การได้สบสายตากับผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ ก้อนเนื้อในอกสั่นไหวอย่างรุนแรง ลืมความเจ็บเมื่อครู่ไปสนิท
ยาหยีจ้องมองความหล่อเหลาของเขาด้วยแววตาตกตะลึง ผู้ชายตรงหน้าสวมสูทสีเข้ม ระดับความเนี้ยบของการแต่งกายเต็มสิบให้สิบห้า ทรงผมที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกจัดแต่งและเซตมาอย่างดี รวมไปถึงเครื่องหน้าแสนเพอร์เฟกต์ของเขาก็สะกดจนเธอไม่อยากจะละสายตา แววตาของเขาดูเป็นคนสุขุม คิ้วเข้มหนาเข้ากับรูปหน้าของเขาดีเหลือเกิน จมูกโด่งๆ ที่พุ่งออกมาชัดเจนอยู่เหนือริมฝีปากสีแดงที่ตัดกับสีผิวขาวแบบผู้ชายที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยรวมแล้วคนตรงหน้านี้กำลังทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอสั่นจนลืมความโกรธ
“คุณครับ”
“อุ้ย! ฉะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นอะไรเลย”
ยืนยันพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาทั้งที่ยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อยๆ รู้สึกได้ว่ามันว่าปูดออกมาและเริ่มปวด แต่ช่างเถอะ เขาเองก็คงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอหรอก
“ขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันนะครับ”
นอกจากจะหน้าตาดีแล้วเขาก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมากเสียด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ มันก็แค่อุบัติเหตุ” เธอตอบอย่างยินดีที่จะรับความเจ็บนี้เอาไว้เอง
“ครับ ว่าแต่เมื่อครู่นี้คุณเห็นผู้ชายที่วิ่งออกมาจากร้านหรือเปล่าครับ”
“ผู้ชายที่วิ่งออกมาก่อนหน้าคุณหรือน่ะเหรอคะ”
“ครับ มันขโมยกระเป๋าสตางค์ของผมไป”
“หา” สองตาของยาหยีเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ได้ยิน
มิน่าล่ะ เมื่อครู่นี้ไอ้เวรนั่นมันถึงไม่หันมาขอโทษเธอสักคำ
“ทางนั้นค่ะ”
ด้วยความมีน้ำใจ (เป็นพิเศษ) ให้กับคนหล่อ ยาหยีจึงรีบชี้นิ้วตรงออกไปตามเส้นทางที่เห็นว่าไอ้โจรกระจอกนั่นวิ่งหนีไป
“ขอบคุณครับ”
“เดี๋ยวค่ะคุณ ไปทางนี้กับฉันดีกว่า” เพราะรู้สึกสนใจเขาเป็นพิเศษ เธอจึงต้องงัดทุกไหวพริบที่มีออกมาใช้
“อ้าว ไหนคุณบอกผมว่า...”
“มันวิ่งเข้าไปในซอยนั้นจริงๆ ค่ะ แต่ทางนี้ก็ไปได้เหมือนกัน ถึงเร็วกว่าด้วย เชื่อฉันเถอะนะคะ” ยาหยีย้ำด้วยความมั่นอกมั่นใจ เธอพักอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์แถวนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน ดังนั้นทุกตรอกซอกซอยในละแวกนี้เธอรู้จักดี
“ไปค่ะ” ยาหยียืนยันอีกครั้งพร้อมกับคว้าข้อมือเขาเอาไว้ จูงมือเขาเดินเข้ามาในซอยแคบๆ ที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่ารถยนต์ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ‘หมาดุ’
“โฮ่ง!”
แล้วมันก็เห่าเสียงดังลั่นอย่างต้องการจะประกาศตัวให้ทุกคนรู้ว่ามันคือนักเลงคุมซอย ยาหยีเบรกจนตัวโก่งพลอยทำให้คนที่เธอจูงมือเขาเดินมาด้วยกันต้องหยุดเดินตามได้ด้วย
“ไปเลยนะไอ้ด่าง เดี๋ยวแม่จับไปแลกกะละมังเสียหรอก ไป๊!” ยาหยีตะโกนไล่ พร้อมกับเอาตัวเองบังผู้ชายร่างสูงเอาไว้ ทั้งที่ส่วนสูงของเธออยู่เพียงระดับหน้าอกของเขาเท่านั้นเอง
“ยังไม่ไปอีก ไป๊ แฮ่!”
ทำทีเป็นก้าวเท้าเข้าไปขู่ซ้ำอีกรอบ กระทืบเท้าสักทีสองทีสุนัขพันทางขนเกรียนที่ขู่ฟ่ออยู่เมื่อครู่ก็วิ่งหายไปเสียแล้ว
“ไปค่ะ อย่าไปกลัวมัน” หันไปบอกเขาอย่างภูมิใจที่เอาชนะได้สำเร็จ
“อืม” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทีอึกอัก
ใจหนึ่งก็รู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาต้องให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กกระจิริดออกโรงปกป้อง แต่อีกใจก็นึกขำเพราะตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นคนขู่แข่งกับหมา
ยาหยีไม่ทันจะได้สนใจท่าทีกลั้นยิ้มของชายหนุ่ม หลังจากที่เห็นว่าทางสะดวกและปลอดภัยแล้ว เธอก็ยังคงมุ่งมั่นพาเขาเดินมาตามทางเท้าที่ไม่ใช่ทางเท้า เพราะมีทั้งรถเข็นขายก๊วยเตี๋ยว ถังขยะ หรือแม้แต่ป้ายบอกทางตั้งเป็นอุปสรรคในการเดินมาตลอดทาง
“อีกนานไหม”
“ทะลุซอยนี้ไปก็ถึงแล้วค่ะ”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าจะเจอมัน”
“เดาค่ะ”
“หา!”
“เด็กติดยาแถวนี้มันก็วนเวียนอยู่แถวนี้นั่นแหละค่ะ ไม่มีที่อื่นให้ไปหรอก”
คนฟังได้ยินแล้วก็บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร
“โน่นใช่ไหมคะ ลองดูว่าในกลุ่มสามคนตรงนั้นมีคนที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ของคุณไปหรือเปล่า” ยาหยีหันกลับไปถามพร้อมกับชี้นิ้วตรงออกไปที่กลุ่มชายวัยรุ่นสามคนให้เขาดู ทว่าไม่ทันระวังว่าเขาจะเดินตามมายืนเสียใกล้จนแทบจะชิดด้านหลังของเธอ ปลายจมูกของเธอจึงทิ่มเข้ากับหน้าอกของเขาเข้าเต็มๆ เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ากรอบใบหน้าหล่อๆ ของเขาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ทำเอาเธอเกือบลืมหายใจ
“คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินน่ะ” เขาตอบอย่างมั่นใจเพราะจดจำใบหน้าคนร้ายได้ติดตา พูดจบจึงก้มมองหญิงสาวที่ยืนเงียบมาได้สักพัก ถึงได้รู้ว่าเธอที่อาสานำทางเขามากำลังจ้องหน้าเขาเหมือนอยากจะเข้ามาสิงร่าง
“มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่า” ถูกจ้องอยู่นานจนเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ครั้นจะผลักเธอออกไปหรือแม้แต่เป็นฝ่ายก้าวถอยหลังก็กลัวว่าเธอจะรู้สึกเสียหน้า เขาจึงแสร้งถามเพื่อเรียกสติ
“อ้อ ปะ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ยาหยีรีบผละตัวออก ยิ้มแห้งด้วยความเขินอายแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ถ้าคุณมั่นใจว่าใช่คนนั้นก็โทรแจ้งตำรวจเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปถ่วงเวลามันเอาไว้เอง” ยาหยีอาสา จนถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมของเขาติดจมูกดีเหลือเกิน หอมจนอยากจะเข้าไปดมใกล้ๆ อีกรอบ
“อะไรนะครับ”
“ฉันบอกให้คุณรีบโทรแจ้งตำรวจน่ะค่ะ”
“แล้วคุณ...”
“เชื่อมือฉันเถอะค่ะ คุณเองก็ระวังตัวด้วยนะคะ อย่าเพิ่งออกไปให้พวกมันเห็น เดี๋ยวถ้าพวกมันรู้ตัวแล้วจะหนีไปได้เสียก่อน” ยาหยีกำชับ
แม้ชายหนุ่มจะยังมีสีหน้างุนงง แต่ก็ไม่ทันจะได้รั้ง เพราะเธอเดินข้ามถนนไปที่ฝั่งตรงกันข้ามตั้งแต่พูดจบแล้ว
ฟู่
ยาหยีถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังจะให้หัวใจของตัวเองกลับมาเต้นเป็นปกติแต่ก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขาหล่อมากจนเธอคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป
“คนบ้าอะไรวะ หล่อฉิบหายเลย ทำผิดกฎสวรรค์แล้วโดนถีบตกลงมาหรือไง”
รำพึงรำพันกับตัวเองมาตลอดทาง หนักเข้าเธอก็ต้องยกมือขึ้นทุบหน้าอกของตัวเอง ทะเลาะกับก้อนเนื้อด้านในที่หวั่นไหวง่ายเพราะเป็นโรคแพ้ความหล่อมาแต่ไหนแต่ไร