ตอนที่ 5
หนึ่งนางคือบุตรีคนเดียวของขุนนางชั้นต่ำต้อยแต่ บิดาของนางนั้นเป็นพระสหายของฮ่องเต้
สองบิดาของนางเป็นขุนนางเพียงฉากบังหน้าแท้จริงแล้วเขาคือขุนพลใหญ่ของเมืองหลวงที่มีกองกำลังทหารในมือสองแสนคน
สามนางคือพระธิดาบุญธรรมของฮ่องเต้ อีกทั้งมารดาของนางก็เป็นท่านหญิงของแคว้นว่าน แคว้นข้างเคียงที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก และมารดาของนางก็อยู่ที่แคว้นว่านหลังจาก นางเติบโตได้สิบปี มารดาของนางต้องกลับไปดูแลท่านตาและท่านยาย เนื่องด้วยว่าท่านทั้งสองนั้นชรามากแล้ว
สี่นางมิอาจจะให้สามีตัวดีของนางกล้าหยามหน้านางเช่นนี้อีก ในเมื่อ เมื่อเช้าที่นางพูดเขารับปากแล้วแต่ก็ยังมาอีก เช่นนี้ความพูดของนางคงเป็นเพียงแค่น้ำลายที่พ่นออกไปก็ไร้ค่าไร้ราคา
“ข้าชื่อม่านอิง พี่สาวโปรดแนะนำตัว” เถาม่านหลิวเอ่ยพลางยอบกายให้อีกฝ่ายแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ประกายนัยน์ตาของนางนั้นหรืออยากจะคาดเดาได้
“เอ่อ...วันนี้เป็นการแสดงพิณอย่างเดียวที่ห้องโถงส่วนกลางจะมีเพียงเหล่าคนชั้นสูงไม่ต้องกลัว” ลู่หลินเอ่ย พลางมองใบหน้าใต้ผ้าคลุมก็ดูงดงามราวกับว่าล่มบ้านล่มเมือง
“ม่านอิงเจ้างดงามถึงเพียงนี้ ไม่ต้องแต่งเสริมแล้ว ชุดของเจ้าก็งดงามมากก็ไม่ต้องเปลี่ยน เช่นนั้นแล้วก็ไปยังโถงกลางเลยแล้วกันนะ” ลู่หลิน เดินพาม่านอิงเข้าไปที่โถงกลาง บุรุษทั้งหลายต่างจับจ้องนางเป็นตาเดียวกัน รวมทั้งสามีของนางที่นั่งอยู่ในนั้นด้วย
เถาม่านหลิวยกยิ้มอย่างภูมิใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบางสีขาวปักด้วยลายดอกเหมยกุ้ยสีแดงเล็กๆ ตรงขอบล่างของผ้า นางนั่งลงตรงกลางบนเบาะนุ่ม พร้อมพิณยี่สิบสาย วางอยู่เบื้องหน้าของนาง ลู่หลินก็เดินออกไปรอด้านข้างอย่างรู้หน้าที่
อาปาเดินเข้ามาก็หาเจ้านายของตนเองไม่เจอจึงเร่งเท้าของตนเองดูห้องนั้นห้องนี้ และมองทุกโต๊ะก็ว่าได้ ความซวยจะบังเกิดกับเขาแล้ว ท่าทางร้อนรนจนทำให้เหล่าสาวงามต้องเดือดร้อนช่วยตามหาไปด้วย เหล่าสาวงามนั้นก็รู้เพียงว่า น้องสาวของชายผู้นี่ช่างซุกซนวิ่งหนีเข้ามา
สาวงามทั้งหลายก็ช่วยกันตามหาแต่ก็หาไม่พบ จนกระทั่งตัวของอาปาเดินมายังโถงกลาง หันซ้ายแลขวาพลางมองดูสตรีที่นั่งอยู่บนลานแสดงที่ยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณหนึ่งเซี๊ยะ (หนึ่งเซี๊ยะเท่ากับ 33.33 เซนติเมตร)
‘นายท่านตัวใครตัวมันนะงานนี้ ข้าน้อยไม่เกี่ยว’
หอบุหลัน
สตรีที่นั่งอยู่บนลานแสดงที่ยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณหนึ่งเซี๊ยะ (หนึ่งเซี๊ยะเท่ากับ 33.33 เซนติเมตร) นางกรีดนิ้วเรียวที่ผุดผ่องงดงาม แขนเรียวยกขาวงามราวกับหิมะกรีดนิ้วลงบนพิณที่จัดวางอยู่ด้านหน้า
นิ้วเรียวก็ลงมือเริ่มบรรเลงลงอย่างงงดงาม เนื้อหาก็ฟังเสมือนตัดพ้อบุรุษที่นางรัก อีกนัยหนึ่งก็ยังเฝ้ารอเขา ดวงตาหงส์ที่ส่องประกายงดงามราวกับดวงดาราส่องแสงวิบวาวบนท้องฟ้ายามราตรี มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนหวาน นิ้วเรียวยังกรีดกรายเส้นสายไม่เลิกรา
บุรุษทั้งหลายก็เคลิ้มตามเสียงบรรเลงของสตรีนางนี้ที่ท่วงท่านั้นงดงามราวกับเทพธิดากำลังบรรเลงพิณบนสรวงสวรรค์ เสียงพิณนั้นก็ไพเราะนุ่มนวลหู และน่าฟังยิ่งนัก ท่วงทำนองมีทั้งอ่อนหวาน และโหยหา และบางทีก็รุนแรงเกินต้านทานไหว
แต่กระนั้นบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าสามีของนางก็นั่งมองด้วยตัวแข็งทื่อ สตรีงามข้างกายเขาก็แนบชิดอกแกร่งพลางมือเรียวเอื้อมสัมผัสที่แผงอกหนาแกร่ง ใบหน้างามหวานล้ำก็คลอเคลียอยู่ซอกคอของเขา มือบางก็ลูบไล้ตามเรือนกายขอร่างสามีของเถาม่านหลิว
แม่ทัพใหญ่นั้นภายใต้หน้ากากปีศาจสีแดงป่านนี้คงจะหน้าซีดราวกับไก่ต้มเสียแล้ว เพราะสตรีที่บรรเลงพิณนี้คือภรรยาตัวน้อยของเขา
หน้ากากสีแดงที่ดูน่าว่าเกรงขาม แผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ ท่วงท่าที่นั่งหลังตรงกับดูทระนงตนยิ่งนัก มีสตรีเคียงข้างอยู่ในสถานที่แห่งนี้ นางเป็นถึงคณิกาอันดับหนึ่งและแน่นอนว่าเขาคงต้องชมชอบนางบ้างกระมังถึงได้ยอมให้นางลูบไล้เช่นนั้น
คิ้วเรียวที่ถูกเขียนอย่างงดงาม ภายใต้ผ้าคลุมครึ่งล่างก็มองไปยังร่างของสามีที่นั่งตัวตรงนิ่งไม่ไหวติง บุรุษชนชั้นสูงที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงกลางที่มีเพียงไม่กี่โต๊ะกลับมอบดอกไม้ให้นางจำนวนมาก ซึ่งก็มีลู่หลินเป็นตัวแทนรับดอกไม้ไว้ให้แก่ผู้ที่นั่งบรรเลงพิณ
โคมไฟที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้ส่องแสงสลัว กระทบกับใบหน้างดงามเพียงแค่ครึ่งเดียวทำให้นางนั้นดูงดงามราวกับต้องมนต์ ผู้ใดเห็นก็ย่อมหลงใหลในตัวนางเช่นกัน
อีกทั้งกำยานที่ส่งกลิ่นหอมอวลกำจายไปทั่วห้องกว้าง กลีบดอกเหมยกุ้ยสีแดงและสีขาวก็ร่วงหล่นจากที่สูง ราวกับว่านางกำลังบรรเลงท่ามกลางหมู่มวลบุปผางาม
“เจ้าดูนั่นสิ นางงดงามมาก” บุรุษที่นั่งโต๊ะด้านหลังเอ่ยชมสตรีที่กำลังบรรเลงพิณบนลานแสดงกับสหายของเขา
“สวยมาก ข้าจะประมูลคืนแรกของนาง และแน่นอนข้าทุ่มไม่อั้น” สหายสองคนนั้นก็คุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ว่าแม่ทัพผู้เป็นสามีของนางนั้นอยากลุกขึ้นฉีกกระชากพวกนั้นออกเป็นเสี่ยงๆ
อาปา องครักษ์ดูท่าว่าเหตุการณ์จะไม่สู้ดี เลยยืนอยู่ข้างลานแสดงที่ยกสูงขึ้นเพื่อดูแลนายหญิงของตน เขาขัดคำสั่งนายหญิงไม่ได้ ครั้นจะเดินไปเอ่ยบอกนายท่านของเขาก็ไม่ได้ เขาหนักใจยิ่งนัก
“พี่ใหญ่ งานเข้าแล้ว” แม่ทัพใหญ่เอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบากับไท่จื่อ ญาติผู้พี่ของเขาหรือพี่ชายบุญธรรมของภรรยา
“งานเข้าอะไรของเจ้าเนี่ย เทียนหมิง” ไท่จื่อ หานหนิงอ้ายเอ่ยกับญาติผู้น้องพลางยกจอกสุราดื่มรวดเดียวจดหมด ท่านแม่ทัพจากนั่งตัวเกร็งอยู่ก็ยกสุราดื่มรวดเดียวเช่นกัน
“พี่ใหญ่ นั่นน้องสาวท่านดูไม่ออกหรือ” เขาว่าพลางพยักหน้าให้พี่ใหญ่รู้ ตายแน่ๆ งานนี้แล้วเขาจะรอดไหมเนี่ย เพราะพี่ใหญ่แท้ๆ ความซวยจะบังเกิดแล้ว งานงอกเช่นนี้ คงได้เลือดหัวออกเพราะนางเป็นแน่ พลันใบหน้าภายใต้หน้ากากก็ห่อเหี่ยวตัวรีบลงทันตา ร่างกายอ่อนระทวยเหมือนหมดแรงเสียอย่างนั้น
มือเรียวก็หยุดเล่น เพราะเพลงที่นางบรรเลงนั้นได้จบลงแล้ว นางลุกขึ้นพลางก้าวลงมาจาลานแสดง และเดินตรงมายังบุรุษที่หน้าตาคมคาย ผิวสีขาว ใบหน้างดงามราวกับสตรี อีกทั้งดวงตาพยัคฆ์ฉายแวว มากเล่ห์ส่งมาให้นาง ที่เดินเยื้องย่างเข้าไปหา