ขอรักได้ไหมคุณพี่เลี้ยง 5
ไม่รู้ว่าเจ้านายพี่มินตราต้องการคนด่วนมากขนาดไหนแต่สองวันให้หลังฉันถูกเรียกตัวเข้าไปที่โรมแรมใหญ่แห่งหนึ่งพร้อมกับเอกสารสัญญาจ้างงาน เบื้องหน้ามีเจ้านายพี่มินตรานั่งอยู่ ข้าง ๆ ฉันก็มีพี่มินตรายืนอธิบายเอกสารอยู่เคียงข้าง
“ทำงานทุกวันนะคะ หากจะหยุดให้แจ้งก่อน”
“...”
“ค่าจ้างเดือนละแปดหมื่นห้าพันบาท” เยอะมาก เลี้ยงเด็กหรืออะไรฉันยังสงสัย
“เงื่อนไขคือต้องย้ายเข้าไปพักที่บ้านเพราะจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางและดูแลคุณหนูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
“เอ่อ ข้อนี้คือไม่สะดวกที่จะพักที่บ้านนายจ้างจริง ๆ ค่ะ” ฉันมีสวนผักเล็ก ๆ ที่หลังบ้าน ฉันต้องดูแลน้อง ๆ ทุกวันรดน้ำและชื่นชมแม้จะไม่เยอะแต่ฉันก็ต้องเอาใจใส่ดูแลแปลงผักของฉันเหมือนกันนะ
“ทดลองก่อนสองสัปดาห์พักที่บ้านผม ถ้าไม่มีอะไรก็ค่อยกลับไปพักที่บ้านตอนเย็น” เจ้านายพี่มินตรายื่นข้อเสนอใหม่ให้ ฉันนั่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลงไป
“อา แบบนั้นก็ได้ค่ะ แล้วจะให้เริ่มงานวันไหนคะ?”
“พรุ่งนี้”
“ค่ะ” ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ไปเริ่มงานเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“งั้นก็ตามนี้ ฝากคุณมินตราจัดการต่อด้วยเลย”
“ค่ะเจ้านาย” พี่มินตราขานรับ ก่อนจะหันมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณอ้ายเหรินไปกับดิฉันนะคะ” พี่มินตราแจ้งด้วยท่าทีและน้ำเสียงสุภาพ ฉันพยักหน้าก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนออกมาไม่ลืมยกมือไหว้เจ้านายคนใหม่เงียบ ๆ แล้วเดินตามหลังพี่มินตราออกมา ภายในห้องทำงานนั้นน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย ไหนจะอากาศที่แสนจะเย็นยะเยือกนั่นอีก เปิดแอร์ราวกับจำลองห้องให้เหมือนกับอุณหภูมิฝั่งยุโรปเลย ฉันนี่แทบจะนั่งตัวแข็ง
“ลองอ่านรายละเอียดดูก่อนนะ” พี่มินตราเอ่ยบอกกับฉันเมื่อพาเดินออกมานอกห้องทำงานของเจ้านายและชวนให้นั่งที่ชุดโซฟามุมด้านหนึ่งหน้าห้องทำงานของเจ้านาย ที่ตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้จักชื่อของเขา
“เป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลแค่เด็ก งานบ้าน หรือทำอาหารไม่ต้องทำเพราะมีคนงานที่บ้านอยู่แล้ว” ทวนอ่านข้อตกลงให้พี่มินตราได้ฟังไปพร้อมกัน
“ใช่ ๆ ดูแลแค่คุณหนู” คนถูกถามพยักหน้าตอบกลับมาทันทีเมื่อฉันเอ่ยจบ
“ทำงานเจ็ดวัน ช่วงเวลาที่คุณหนูไปเรียนก็พักได้” เท่ากับว่าช่วงตอนกลางวันที่คุณหนูไปเรียนฉันก็ว่างน่ะสิ พวกเขาสับสนอะไรหรือเปล่าเพราะเงินเดือนก็เยอะมากขนาดนั้นแต่เทียบเวลาทำงานแล้วมันน้อยนิดมากเลยนะ
“คุณหนูจะไปเรียนตอนแปดโมงเช้าถึงบ่ายสามครึ่ง แต่ออกเดินทางจากบ้านตอนเจ็ดโมงครึ่ง เราต้องไปรับไปส่งทุกครั้งพร้อมกับคนขับรถ”
“พี่มิน มันแปลก ๆ ไหมอะ ถ้าบอกว่าให้พักระหว่างที่คุณหนูไปเรียน”
“ไม่แปลกเพราะหลังจากเลิกเรียนจนถึงเข้านอนเราต้องดูแลคุณหนูอยู่แล้ว ยิ่งหากวันไหนเจ้านายไม่อยู่ศึกหนักเลยล่ะ”
“อ๋อ หนูเข้าใจแล้วค่ะ” พยักหน้าเข้าใจเงื่อนไขข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว อ่านข้อตกลงไปเรื่อย ๆ กระทั่งไม่มีอะไรสงสัยก็เซ็นสัญญาจ้างงาน
“แล้วมีข้อห้ามอะไรไหมคะ หรือของและอาหารที่คุณหนูพี่แพ้อะ” ฉันถามเพิ่มเติม
“มี ๆ คุณหนูแพ้อัลมอนนะกินไม่ได้เลย ที่เหลือกินได้หมด โปรดปรานกุ้งเป็นที่สุด ชอบกินนมสดปั่น ตอนนี้กำลังหัดปั่นจักรยาน”
“เยี่ยมเลย หนูจะชวนไปคาเฟ่บ่อย ๆ เลย”
“แต่ว่าจะไปไหนต้องรายงานพี่ตลอดเลยนะแค่ออกไปหน้าปากซอยก็ต้องบอก”
“รับทราบค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้สิบโมงเช้าเจอกันที่บ้านเจ้านาย เดี๋ยวพี่ส่งแผนที่ให้นะ”
“ได้เลยค่ะ ต่อไปรบกวนพี่มินตราแนะนำหนูด้วยนะคะ” โค้งให้พี่มินตราพร้อมกับรอยยิ้ม ระหว่างที่กำลังจะออกจากบริษัทเจ้านายของพี่มินตรา ฉันก็เจอกับเจ้านายที่เดินอยู่ข้างหน้าพร้อมกับพี่ผู้ช่วยผู้ชาย ฉันไม่ได้ทักทายเพราะเหมือนอีกฝ่ายจะรีบเร่งไปที่ไหนสักที่ แอบรอกระทั่งคนกลุ่มนั้นเดินออกไปฉันถึงได้กลับไปที่รถตัวเองเพื่อเดินทางกลับบ้าน เตรียมตัวไปทำงานกับคุณหนูตัวเล็ก ที่ไม่รู้ว่าชะตาข้างหน้าจะเป็นยังไงเหมือนกัน หวังว่าคุณหนูของพี่มินตราจะน่ารักและเป็นเด็กดีมากกว่าที่คิดไว้นะ
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เปิดประตูหน้าต่างรับลมลดการอับชื้นของบ้าน กวาดพื้นถูกพื้นจนเรียบร้อยถึงได้เดินไปหลังบ้านเพื่อดูแปลงผักเล็ก ๆ เป็นชั้นวางที่มีกล่องโฟมวางเรียงรายอยู่สี่ห้ากล่อง ฉันดูคลิปสอนปลูกผักในช่องช่องหนึ่งมาแล้วสนใจ เพราะตัวเองชอบกินผักชีเลยรู้สึกว่าไม่อยากซื้อ อยากกินก็แค่เดินมาเก็บหลังบ้านอะไรแบบนั้น
ตั้งแต่มีความคิดนั้นฉันก็เริ่มสั่งโต๊ะวางของมาจัดวางที่หลังบ้านพร้อมกับซื้อร่มสนามมากางเพื่อที่ อย่างน้อยก็ทดแทนส่วนที่เป็นโรงเรือน และเริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์จนตอนนี้มีต้นอ่อนปลูกไว้ในกล่องโฟมที่มีสารอาหารอยู่ในนั้นแล้ว
พอได้มองผักที่ตัวเองปลูกคือมันปลื้มใจมาก ๆ เลยล่ะ ช่วงไหนที่ผักโตเยอะฉันก็จะเอาไปแบ่งให้พี่ข้างบ้าน ส่วนพี่ข้างบ้านวันไหนมีทำกับข้าวเยอะก็จะแบ่งมาให้ฉัน นับว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับเพื่อนบ้านได้อย่างดีเลยล่ะ
ชื่นชมผักเสร็จก็กลับเข้าบ้าน เตรียมของทำมื้อเย็น คนขี้เกียจแบบฉันจะทำอะไรได้นอกจากชาบู เพียงแค่เตรียมเนื้อสัตว์และผักก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่นั่งกินชาบูพร้อมกับดูคลิปท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าพี่ชายของฉันโทรเข้ามาพอดี ตั้งแต่ที่ทะเลาะกันครั้งนั้นฉันก็ไม่ได้เข้าไปอ่านข้อความในกลุ่มสามพี่น้องนั่นเลย แต่ครั้งนี้ ถ้าจะรับคงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ หวังว่าจะไม่มีประโยคที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจอีกนะ
“ค่ะ” กดรับสายพร้อมกับขานรับ หน้าจอนั้นโชว์ภาพของพี่ชายทั้งสองคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหนเหมือนกัน ก็คงจะกลับไปที่บ้านเขานั่นแหละ จะไปไหนได้ล่ะจริงไหม
(ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง?) เฮียไห่เอ่ยถามฉันพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น สงสัยใช่ไหมว่าทำไมเราถึงพูดไทยกันได้ชัดเจนขนาดนี้ ที่พูดไทยได้ชัดเป็นเพราะว่าแม่เราเป็นคนไทยส่วนคนเป็นพ่อนั้นเป็นคนจีนเราเลยพูดได้ทั้งสามภาษา ไทย จีนและอังกฤษเวลาคุยกับพี่ชายบางครั้งก็เรียกพี่บางครั้งก็เรียกเฮียแล้วแต่อารมณ์
“กินแล้วค่ะ”
(อ้าว เฮียซื้อของกินมาเยอะเลย)
“ยังไง?” ทวนถามอย่างไม่เข้าใจ พูดอย่างกับว่าจะมาหาฉันอย่างนั้นแหละ เพราะตั้งแต่สั่งห้ามว่าไม่ให้มาหาพี่ชายทั้งสองคนก็ไม่มาหาฉันเลย ทั้งที่ปกติจะบินมาหาฉันทุกหนึ่งเดือน
(อยู่หน้าบ้านแล้วครับ มาเปิดประตูให้หน่อยเร็ว) เฮียหานเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ฉันไม่ได้ตอบแต่มองออกไปนอกบ้านที่ตอนนี้ก็เห็นว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ฉันวางสายและเดินออกไปเปิดประตูรั้วบ้านให้รถคันนั้นขับเข้ามาจอด ระหว่างฉันและพี่ชายไม่มีบทสนทนา ฉันยกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างที่เคยทำ
“สวัสดีครับ กินนานหรือยัง บังเอิญมากเฮียซื้อหมูกับของทำชาบูมาเยอะเลย มีแต่ของที่หนูชอบทั้งนั้นเลยนะ” เฮียหานเอ่ยบอกกับฉัน
“เฮียขอกินด้วยนะ หิวมากเลยล่ะ” เฮียไห่เองก็ชวนคุยเช่นเดียวกัน แล้วจะให้ปฏิเสธยังไงล่ะจริงไหม ฉันพยักหน้าให้เฮีย ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมจานและตะเกียบให้เฮียทั้งสองคน รวมถึงเตรียมแก้วน้ำให้ด้วย
“จะดื่มไหมคะ?”
“ดื่มครับ” เบียร์เย็น ๆ ถูกเทใส่แก้ววางเคียงข้างจานของสองหนุ่ม ส่วนแก้วของฉันเป็นน้ำอัดลมที่ถูกดื่มไปแล้วเล็กน้อย ระหว่างที่เตรียมกินมื้อเย็นกันต่อ เฮียก็ขยันคีบของโปรดมาให้ฉันกินเรื่อย ๆ อย่างเอาอกเอาใจ
“กินเยอะ ๆ เลยนะ อันนี้หายากมากเลยในห้างอะ” ลูกชิ้นที่เป็นไส้ไข่กุ้งถูกคีบมาใส่จานลูกแล้วลูกเล่า เพราะเป็นสิ่งที่ฉันชอบกินเวลากินชาบู ตอนนี้พวกเขาเลยเอาใจคีบให้ไม่หยุด
“ขอบคุณค่ะ”
“อ้าย เฮียขอโทษนะที่ปากไม่ดีพูดแบบนั้นกับหนู” เฮียหานเอ่ยบอกพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิดต่อฉัน
“ไม่เป็นไร หนูรู้ หนูก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ”
“เฮียเข้าใจความรู้สึกหนูนะ เฮียเพิ่งรู้หลังจากให้คนในบ้านตามสืบบางอย่าง ผู้หญิงคนนั้นพูดไม่ดีกับหนูหลายเรื่องเลยใช่ไหม...” มือที่กำลังยื่นไปคีบหมูมาใส่จานชะงักค้างไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
“...”
“เขาพูดแบบนั้นกับหนู ทำไมไม่เคยบอกเฮียเลยอ้าย”
“เพราะพูดไปยังไงป๊าก็เข้าข้างผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าหนูไม่เคยพูดแต่พูดแล้วเขาไม่เชื่อ” ฉันบอกไปตามจริงจากเหตุการณ์ที่ได้เจอมา
“ขอโทษนะครับ ต่อไปเฮียจะไม่บังคับให้กลับไปหาป๊าแล้ว แต่จะว่าไปบ้านของเราคือที่นี่นะ พวกเฮียจะให้ทุกที่ที่มีอ้ายเหรินอยู่เป็นบ้านของพวกเฮียนะครับ”
“ฮึก เขาใจร้ายมากเลยเขาไม่ฟังที่หนูพูดเลยสักครั้ง” ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้ฉันร้องไห้ออกมาต่อหน้าพี่ชายทั้งสองคน เพราะเรื่องที่เคยเจอฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย ในตอนนั้นงอแงเอาแต่ใจว่าจะกลับมาอยู่ที่ไทย พี่ชายและปู่ห้ามไม่ได้เลยซื้อบ้านให้ฉันได้กลับมาอยู่ที่นี่
“คนเก่ง ที่ผ่านมาหนูเก่งมากต่อไปพวกเฮียจะปกป้องหนูเอง” เฮียหานเข้ามากอดฉันไว้พร้อมกับปลอบโยนเสียงนุ่ม
“ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนั้น เฮียจัดการแล้ว ป๊าก็รู้แล้วว่าเขาเคยทำอะไรกับหนูบ้าง รวมถึงทำอะไรกับแม่ของเรา” เฮียไห่ขยับเข้ามากอดฉันไว้อีกทีหลังจากที่เฮียหานขยับออกห่าง
“แต่ว่าปู่น่ะ ไปเจอท่านบ้างก็ดีนะ คนแก่บ่นงึมงำทั้งวันหลานรักไม่ไปหาเลย” เฮียหานเอ่ยแซวระหว่างที่ช่วยฉันซับหยดน้ำตาออกจากใบหน้า
“หนูเพิ่งรับงานใหม่มา ยังไปหาไม่ได้”
“งานอะไร? ไม่ใช่รับแค่งานแปลเหรอ?” คนที่เพิ่งกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทวนถามอย่างสงสัย
“พี่เลี้ยงเด็กค่ะ เริ่มงานพรุ่งนี้”
“โห จะไปพาลูกเขาซนไหมถามจริง” เฮียหานเอ่ยแซวพร้อมกับคีบหมูมาใส่จานให้
“เฮียอะ หนูไม่ได้ซนขนาดนั้นสักหน่อย” เถียงกลับไปอย่างงอแง แต่หัวใจที่เลยหม่นหมองกลับรู้สึกมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นหลังจากได้พูดคุยและปรับความเข้าใจกับเหล่าพี่ชาย เรานั่งกินข้าวด้วยกันโดยที่มีเฮีย ๆ ทั้งสองคนสลับถามถึงงานที่จะทำ แต่พอรู้ว่าฉันต้องไปค้างที่บ้านเจ้านายก่อนในช่วงทดลองงานก็ออกอาการห่วงไม่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะฉันเซ็นสัญญาไปแล้ว
“เฮ้อ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ถ้าไม่ไหวก็หยุดทำนะอ้าย เฮียเลี้ยงเราได้จริง ๆ ไม่อยากให้ทำงานหนักเลย” เฮียไห่ที่เป็นพี่ชายคนโตของเราเอ่ยบอกพร้อมกับทำหน้าจริงจังในรอบหลายชั่วโมงที่เรานั่งคุยและนั่งกินชาบูด้วยกัน
“รู้แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็บอกไปแล้วว่าเบื่อเลยอยากทำอย่างอื่นบ้างเท่านั้นเอง”
“โอเค เฮียก็เข้าใจนั่นแหละ พรุ่งนี้เอารถไปด้วยนะเผื่ออยากไปไหนบ้าง”
“ได้ค่ะ ตั้งใจจะเอาไปอยู่แล้ว”
“ส่วนบ้านถ้าไม่ได้กลับเข้ามาก็บอก เฮียจะได้จ้างแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดยิ่งแพ้ง่ายอยู่ด้วย บ้านมีแต่ฝุ่นคงไม่ไหว”
“ขอบคุณนะคะ รักเฮีย ๆ นะ” เอ่ยอ้อนเฮียทั้งสองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เราสามพี่น้องนั่งคุยกันจนดึกกว่าจะยอมแยกย้ายกลับเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อน ฉันเองก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเล็กน้อยเตรียมไว้เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไม่วุ่นวายในตอนเช้า สิบโมงสินะเวลานัดไปเจอกับพี่มินตราที่บ้านของเจ้านาย เอาละตอนนี้ก็นอนพักแล้วกันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ใจดีกับฉันหน่อยนะ...
====
ผ่านมา 5 ตอน พระนางคุยกันไม่ถึงห้าประโยค งง หรือเรื่องนี้จะไม่มีพระเอกกัน แต่ใดๆขอเปิดตัว สองพี่น้อง เฮียไห่ และ เฮียหาน นะคะ
คืนนี้ขอให้มื้อเย็นของทุกคนอร่อยๆ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ