ยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) ลี่หลินรู้สึกตัวงัวเงียตื่นขึ้น มาเพราะเสียงกุกๆ กักๆ ในห้องครัวรบกวนการนอนเป็นอย่างมาก นางอยากข่มตานอนต่อแต่ก็ไม่สามารถหลับลงได้ จึงลุกขึ้นพับผ้าห่มจัดแจงแต่งเสื้อผ้าและทรงผมอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปดูว่าผู้ใดบังอาจลุกขึ้นมาทำครัวแต่เช้ารบกวนการพักผ่อนของนาง
“พี่สะใภ้ ข้าทำท่านตื่นหรือเปล่า ท่านกลับไปนอนต่อเถอะ วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองขึ้นเขาล่าสัตว์แต่เช้า ข้าแค่เข้าครัวมาต้มน้ำอุ่นให้นำขึ้นไปดื่มเพื่อคลายหนาวเท่านั้น”
“ปกติพวกเขาขึ้นเขาล่าสัตว์กันเช้าเพียงนี้เลยหรือ” ลี่หลินนึกสงสัยขยันปานนี้เหตุใดยังขัดสนยากจนกันอยู่อีก
“เป็นบางวันเจ้าค่ะ หากวันใดล่าได้น้อยก็ต้องขึ้นเขาตอนเช้าอีกหน่อยเผื่อได้สัตว์ไปขายในเมืองเพิ่ม เมื่อวานสัตว์ที่ล่าได้มีเพียงไก่ป่า 1 ตัวกับกระต่ายป่า 2 ตัวเท่านั้นที่พอขายได้”
“แล้วปลาหล่ะ ขายได้หรือไม่” เมื่อได้ฟังอ้ายฉิงเล่า ลี่หลินจึงต้องการทราบว่าสามารถนำไปขายด้วยได้หรือไม่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ล่าสัตว์ได้ก็นำไปขายให้เหลาอาหารในเมือง
นางเคยกินปลาตามเหลาอาหารอยู่บ้างแต่ไม่รู้ว่าพวกเขารับซื้อปลามาจากที่ใด หากมีผู้จัดหาให้อยู่แล้วเหลาอาหารจะรับซื้อปลาของชาวบ้านอีกหรือไม่ ตอนแรกลี่หลินต้องการเพียงจับปลาไว้กินและตากแห้งเป็นเสบียงสำหรับฤดูหนาวเท่านั้น หากวันใดล่าสัตว์ไม่ได้ครอบครัวของนางจะขาดเงินกะทันหัน แต่ถ้าสามารถจับปลาไปขายได้ทุกวันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก อย่างน้อยยังมีรายรับทุกวัน
“ขายได้เจ้าค่ะแต่ปลาจับยาก ส่วนใหญ่ปลาที่ผู้คนจับได้ล้วนตายแล้วทั้งนั้นจึงขายไม่ได้ราคา แต่หากเป็นปลาสดที่ยังมีชีวิตอยู่ขายได้ราคาดีมาก”
“อย่างนั้นก็ดี ข้าขอล้างหน้าแต่งตัวสักครู่พวกเราไปดูหลุมดักปลาที่ทำไว้กันหากได้เยอะก็แบ่งไปขาย”
ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ (15) นาที ลี่หลินกับอ้ายฉิงก็เดินทางมาถึงหลุมดักปลาที่ขุดไว้ อ้ายฉิงชะโงกหน้าลงไปดูในหลุมแล้วส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“กรี้ดดดดดด พี่สะใภ้ พี่สะใภ้”
“อ๊ายยยยยย อะไร อะไร เจ้าร้องทำไม หรือในหลุมนั้นมีงู กรี้ดดดดดด ข้าไม่ชอบงู ข้ากลัว เจ้าไล่มันไปเดี๋ยวนี้” ลี่หลินวิ่งถอยห่างจากอ้ายฉิงไปเกือบเมตร ชีวิตนี้นางกลัวงูเป็นที่สุด นางจะไม่ยอมเฉียดกายเข้าไปใกล้เด็ดขาด
“เอ่อ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ ข้าเพียงตกใจเพราะเห็นปลาในหลุมเยอะมากเท่านั้น แหะแหะ” เมื่อเห็นสีหน้าตกใจและหวาดกลัวสุดขีดของพี่สะใภ้ อ้ายฉิงจึงรีบตอบออกไปด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าของนางสลดลงอย่างรู้สึกผิด
“เฮ้อ ข้าตกใจจนหัวใจจะหยุดเต้นอยู่แล้ว เจ้ามันน่าโมโหนักเก็บปลาใส่ถังคนเดียวไปเลย ข้าไม่ทำแล้ว” ลี่หลินยังไม่หายตกใจ นางทำเพียงแค่ส่องไฟจากตะเกียงให้อ้ายฉิงจับปลาใส่ถังเท่านั้น จะหาว่านางใจร้ายไม่ได้ใครใช้ให้อ้ายฉิงทำนางตกใจกลัวจนตัวสั่นกัน เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำลี่หลินก็สอดส่ายสายตาสำรวจรอบๆ ลำธารอย่างสบายใจ นางตกใจตาโตเมื่อเจอเข้ากับดงผักกูด ลี่หลินชอบกินผักชนิดนี้มากยิ่งนำมาผัดใส่กากหมูหรือใส่ไข่อร่อยจนแทบกลืนลิ้นเลยหล่ะ ครั้งก่อนนางมัวแต่วุ่นวายกับการหาปลาเลยไม่สังเกตเห็น
“อ้ายฉิงเจ้าจับปลาใส่ถังต่อเลย ข้าขอตัวไปเก็บผักกูดก่อน” ลี่หลินรีบตรงไปเก็บผักกูดอย่างหลงใหล
ยอดอ่อนที่กำลังขึ้นมาช่างสดใหม่และอวบอ้วนน่ากินมาก นางเก็บเพลินจนได้มากำใหญ่ พอดีกันกับอ้ายฉิงที่จับปลาในหลุมได้เต็มถังทั้งสองจึงชวนกันกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม
“พี่สะใภ้ใหญ่ หลุมดักปลาของท่านจับปลาได้เยอะมาก วันนี้ต้องขายปลาได้เงินเยอะแน่นอน”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ข้าทั้งสวยทั้งฉลาดมีข้าอยู่พวกเจ้าไม่อดตายแน่นอน” ลี่หลินเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ ไม่คิดเลยว่าหลุมดักปลาของนางจะสำเร็จแถมยังได้ผลเกินคาด ความรู้ที่ได้มาจากโลกนั้นช่างดีจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ลำบากลำบนขนาดไหนก็ผ่านไปได้แน่นอน การเป็นคนมีความรู้มากกว่าผู้อื่นเป็นเรื่องที่ดีมาก
“พี่สะใภ้ ท่านทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ” อ้ายฉิงกล่าวชมอย่างเอาใจ หากพี่สะใภ้ของนางเป็นแบบนี้ต่อไปครอบครัวคงดีขึ้นไม่น้อย
“เจ้าเอามันหมูสีขาวในถังมาหั่นให้ข้าหน่อย หั่นชิ้นใหญ่นิดหนึ่งนะข้าจะเจียวเอาน้ำมัน ส่วนเครื่องในหมูข้าขอตัวเอาไปล้างในลำธารก่อนอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาทำอาหารเช้า”
ลี่หลินล้างไส้หมูและเครื่องในด้วยเกลือในลำธารเสร็จสิ้นยามเหม่า (05.00 – 06.59 น) หยางหนิงเฉิงและหยางอี้เฉินกลับมา ถึงบ้านพอดี วันนี้พวกเขาโชคดีมีไก่ป่ามาติดกับดักถึง 7 ตัว และกระต่ายป่าอีก 8 ตัว ขายทั้งหมดคงได้เงินจำนวนมาก
“พี่ใหญ่พี่รองข้ายังไม่ทำอาหารเลย พวกท่านหิวหรือไม่”
“พวกข้ายังไม่หิว แค่กลับมาเอาไก่กับกระต่ายที่ล่าได้เมื่อวานไปขายรวมกัน” หยางหนิงเฉิงตอบอ้ายฉิงพร้อมกับเดินเข้าไปเอาไก่และกระต่ายในครัว กะต๊ากกก กะต๊าก ไก่กับกระต่ายที่ยังไม่ตายส่งเสียงร้องลั่น พวกมันดิ้นขลุกขลักอยู่ในตะกร้าจนลี่หลินรู้สึกสงสารนางอยากเลี้ยงพวกมันเอาไว้
“เอ่อ ท่าน หยางหนิงเฉิง คือ คือ พอดีข้าอยากขอกระต่ายตัวผู้กับตัวเมียของท่านสัก 2 ตัว ไก่ป่าอีกสัก 3 ตัว ข้าว่าวันนี้พวกท่านจับได้เยอะแล้วแบ่งมาเลี้ยงบ้าง ขุนพวกมันสักหน่อยคงตัวโต กว่านี้มากหากน้ำไปขายก็จะได้เงินมากขึ้นตามไปด้วยดีหรือไม่ อีกอย่างวันนี้ข้ากับอ้ายฉิงจับปลาได้เต็มถัง พวกมันยังมีชีวิตอยู่หากนำไปขายต้องได้เงินเยอะแน่ เงินที่ได้มาคงเพียงพอสำหรับซื้ออาหารอีกหลายวัน” อ้ายฉิงรีบวิ่งไปเอาถังปลาที่นางกับพี่สะใภ้จับได้มาให้หยางหนิงเฉิงดู
เมื่อเห็นท่าทีของภรรยาที่พูดกับตนเองหยางหนิงเฉิงก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ลี่หลินพูดคุยกับเขาด้วยประโยคแสนยืดยาว หยางหนิงเฉิงได้แต่แอบยิ้มมุมปาก หัวใจของเขากระตุกวูบวาบขึ้นมาแปลกๆ
“ได้ เอาตามเจ้าว่า” หยางหนิงเฉิงจับไก่กับกระต่ายออกมาใส่ตะกร้าตามจำนวนที่ลี่หลินต้องการ แค่นางเอ่ยปากขอเขาก็พร้อมยกให้อยู่แล้วไม่ได้มีปัญหาอันใด
“พี่สะใภ้ ท่านจับปลาพวกนี้กลับมาได้อย่างไร แถมพวกมันยังมีชีวิตอยู่อีกต่างหาก” อี้เฉินไม่ได้สนใจเรื่องที่ต้องแบ่งไก่และกระต่ายไว้ ขุนอีกสักหน่อยแล้วขายได้เงินมากขึ้นก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้เขาสนใจปลาที่อยู่ในถังมากกว่า
“พวกเจ้าเอาปลาทั้งหมดนี้ไปขายในเมืองเถอะ ถ้าได้ราคาดีข้าจะสอนวิธีจับพวกมันให้” ลี่หลินตอบคำถามอี้เฉินเมื่อเห็นท่าทางดีใจจนตาเป็นประกายของเขา
“ได้ อย่างนั้นข้ากับอี้เฉินจะเข้าไปขายของในเมืองก่อน ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวไม่ทันเกวียนของหมู่บ้าน เสร็จแล้วค่อยกลับมากินข้าวด้วยกัน” ตอนแรกหยางหนิงเฉิงวางแผนจะเดินเท้าเข้าเมืองไปกับอ้ายเฉิน แต่พอมีถังปลามาเพิ่มพวกเขาคงแบกไปไม่ไหว ระยะทางจากหมู่บ้านถึงตำบลใช้เวลาเดินเท้ากว่า 1 ชั่วยาม (1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง) แต่หากเดินทางด้วยเกวียนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
“ท่านอย่าลืมซื้อ ข้าวสาร เกลือ เครื่องปรุงรส และไหใบเล็กมาให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ” ลี่หลินร้องสั่งตามหลังนางอยากได้เครื่องปรุงเพิ่มและไหสำหรับถนอมอาหาร
เมื่อสองหนุ่มออกจากบ้านกันไปแล้ว ลี่หลินก็หันมาสั่งงาน อ้ายฉิงต่อ นางให้อ้ายฉิงต้มโจ๊กและเจียวมันหมู ส่วนนางใช้เตาไฟอีกเตาเพื่อตุ๋นเครื่องใน ที่ครัวไม่มีซีอิ๊วดำหวานลี่หลินจึงผัดน้ำตาลให้มีสีออกดำแล้วคลุกเคล้ากับเครื่องใน จากนั้นเติมเครื่องเทศที่พอมีไม่กี่อย่างลงไป เติมเกลือเล็กน้อย เติมน้ำและตุ๋นต่อจนเปื่อย
“อ้ายฉิงถ้ามันหมูสีเหลืองทองเจ้าตักขึ้นมาใส่จานเลยนะ ดูไฟหม้อตุ๋นเครื่องในหมูให้ข้าด้วย ข้าจะเดินไปดูดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ด้านขวาของบ้านสักหน่อย” การตุ๋นหมูต้องใช้เวลานาน ลี่หลินจึงอยากใช้เวลาเดินสำรวจบ้านเพิ่มอีกสักหน่อย
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ลี่หลินก็เจอดอกกุหลาบป่าสีแดงสดเลื้อยเป็นเถาเกาะตามต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด ลี่หลินได้ยินเสียงหึ่ง หึ่ง อยู่ไม่ไกลนางจึงเดินตามไปดู
รังผึ้งขนาดใหญ่ห้อยโตงเตงบนกิ่งไม้อย่างน่าพิศวง น้ำผึ้งป่ารสชาติหอมอร่อยมาก นางต้องขอให้หนิงเฉิงกับอี้เฉินมาเก็บไปไว้ซะแล้ว
ชายหนุ่มทั้งสองคนนำไก่ กระต่าย และปลา มาขายให้เหลาอาหารหงหลูฝางซึ่งเป็นภัตตาคารอาหารขนาดใหญ่ของเมือง ไก่ 5 ตัว ได้ 13 ชั่ง ราคาชั่งละ 5 อีแปะ กระต่าย 5 ตัว ได้ 9 ชั่ง ราคาชั่งละ 7 อีแปะ ส่วนปลาได้ราคาดีมากเพราะลี่หลินคัดมาแต่ตัวใหญ่ ตัวปลาไม่มีรอยบาดแผลหรือรอยช้ำทำให้ได้ราคาชั่งละ 10 อีแปะ มีจำนวน 30 ชั่ง รวมทั้งหมดเป็นเงินกว่า 410 อีแปะ ทั้งสองคนตาโตกับจำนวนเงินที่ได้มามาก ปกติต้องขายหมูป่าตัวใหญ่เท่านั้นถึงจะได้เงินจำนวนนี้ หลงจู๊ยังบอกอีกว่าหากมีปลาสดอีกให้นำมาขายให้เขาได้
หยางหนิงเฉิงแวะซื้อของตามคำสั่งลี่หลินโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เขาซื้อข้าวสารชั้นกลาง 6 ชั่ง ชั่งละ 15 อีแปะ เป็นเงิน 90 อีแปะ เครื่องปรุง เกลือ น้ำตาล ซีอิ๊ว รวมกัน 30 อีแปะ และไหขนาดเล็ก 3 ใบ ราคา 15 อีแปะ แต่ก็ยังเหลือเงินตั้ง 275 อีแปะ ก่อนจะรีบเดินทางกลับบ้าน