“ว้าย ! นังชิด ! พูดอะไรเกรงใจคนโสดอย่างยัยฝันบ้าง”
“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” ทอฝันยิ้มขำ เธออยู่กับกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ได้ยินเพื่อนทั้งสองพูดเรื่องแบบนี้จนชินเสียแล้ว
“เก็บเกี่ยวความรู้ไปเยอะขนาดนี้ พอถึงทีตัวเองมีแฟน ฉันหวังว่าแกจะไม่ถูกเทเหมือนยัยชิดนะ” ดอกสร้อยว่าแล้วหันไปมองเหยียดคนที่เพิ่งโดนเท
“ยังกะแกไม่เคยโดยเทนังดอก วันก่อนเพิ่งบ่นว่าน้องสิงห์ไม่รับสายไม่ใช่เหรอ แกโดนเทก่อนฉันอีก” ชิดชนกเบ้ปากใส่คนที่โดนเด็กเทก่อนเธอ
ดอกสร้อยถอนหายใจแรง “เออ...ยอมรับ จะว่าไป ฉันว่าเราควรเลิกคบเด็กเถอะ พวกที่อายุน้อยกว่านี่เอาใจยาก และชอบเอาแต่ใจ บทจะอ้อนก็อ้อนจนเราหลง บทจะเทก็ไปแบบไม่บอกไม่กล่าวกันเลย”
ชิดชนกพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ ต่อไปคงต้องหันมาคบคนที่แก่กว่าแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจเด็ก ให้คนแก่มาเอาใจเราดีกว่า” ชิดชนกว่าแล้วหันไปมองหน้าทอฝัน “ถือเป็นบทเรียนสำคัญเลยนะฝัน ถ้าคิดจะมีแฟน อย่ามีแฟนเด็กกว่า เพราะมันเอาใจยาก ชอบเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ด้วย และเราต้องคอยตามใจมันตลอด สุดท้ายแล้ว บทจะเทเรา มันก็เทแบบไม่บอกไม่กล่าว”
ทอฝันยิ้มบาง หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ ก็ว่าจะลืมเรื่องที่จิรายุปฏิเสธไปดูหนังคืนนี้ด้วยแล้ว แต่พอเพื่อนมาตอกย้ำแบบนี้ เธอก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน หรือว่าที่ผ่านมา เธอยอมเขามากเกินไปจนเขาไม่เห็นค่า ไม่เห็นความสำคัญของเธอ
พอเพื่อนทั้งสองกลับไปแล้ว ทอฝันจึงทำงานต่อด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องของเธอกับจิรายุตลอดเวลา เขาเป็นแฟนคนแรก เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ ทั้งหมดของหัวใจตอนนี้ก็มีแต่เขา อะไรที่ทำแล้วจะช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ของเธอกับเขาให้คงอยู่ต่อไปได้ เธอก็เต็มใจและยินดีทำเสมอมา
เวลาอยู่กับเธอ เขาไม่เคยพูดเรื่องงาน ไม่พูดถึงคนอื่น เขาออดอ้อน ป้อนคำหวาน และดูแลเธออย่างดี แม้เขาจะเอาแต่ใจกับเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่การคบกันแบบหลบซ่อนตลอดมา มันทำให้เธอไม่มั่นใจสถานภาพของตัวเองเลย
สองปีที่ผ่านมามันน่าจะนานพอแล้ว ถึงเวลาที่เธอกับเขาควรบอกให้คนอื่นรับรู้ว่าคบกันได้แล้ว จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกันได้อย่างเปิดเผย ไม่ใช่หลบซ่อนอยู่แบบนี้ ทั้งที่เธอกับเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
พอจมจ่อมอยู่กับเรื่องของเธอกับเขา ทอฝันก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาปิดร้าน
หลังจากลูกน้องกลับกันหมดแล้ว ทอฝันปิดล็อกประตูร้าน แล้วจึงเดินไปที่รถซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถหลังตึก
เมื่อเข้ามาอยู่บนรถ สตาร์ตเครื่องยนต์ ทอฝันนั่งนิ่งคิดเรื่องเดิม ปมที่ก่อกวนในใจมาทั้งวันควรได้รับการคลายออกได้แล้ว บางทีเธออาจจะลองส่งข้อความไปชวนเขาอีกครั้ง ตอนนี้เขาอาจจะว่างแล้วก็ได้
ทอฝัน : งานเสร็จหรือยัง ไปดูหนังกันมั้ย
เมื่อส่งข้อความไปแล้ว ทอฝันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตาไม่กะพริบ ครู่เดียวก็เห็นว่าเขาอ่านข้อความของเธอแล้ว
ทอฝันรอคำตอบจากเขา เธอคิดว่า เมื่อเขาอ่านแล้วอีกครู่หนึ่งก็คงตอบ
5 นาทีผ่านไปยังไร้วี่แววคำตอบจากเขา
10 นาทีผ่านไปเขาก็ยังไม่ส่งข้อความกลับมา
ทอฝันรอถึง 15 นาที เธอมองเวลาที่หน้าจอมือถือ ตอนนี้ทุ่มครึ่งแล้ว ถ้าเขาไม่ว่าง อย่างน้อยก็ควรหาเวลาพิมพ์ตอบกลับเธอมาได้แล้ว
หลากหลายความรู้สึกที่มันตีรวนอยู่ข้างใน จะว่าน้อยใจก็ไม่ใช่ โกรธก็ไม่เชิง แม้เขาจะยืนยันคำตอบเดิมว่าไม่ไป เธอก็จะไม่ว่าอะไรสักคำเลย แต่อย่างน้อยเขาควรพิมพ์ข้อความตอบกลับมา ไม่ใช่อ่านแล้วเงียบหายไปแบบนี้
ทอฝันตัดสินใจโทรหาเขา เธอรอสายอยู่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงสัญญาณสายไม่ว่าง มือเขาอาจพลาดกดตัดสายทิ้งโดยไม่ตั้งใจ เธอจึงโทรหาเขาอีกครั้ง คราวนี้เขารับสายทันที แต่ทอฝันยังไม่ทันพูดอะไร คนที่เธอโทรหาก็พูดออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไรนัก
“ฝัน...อย่ากวน ผมไม่ว่างไปไหนทั้งนั้น แค่นี้นะครับ”
เขาวางสายไปแล้ว ทอฝันค่อย ๆ ลดโทรศัพท์ลงมาวางบนตัก ชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกผิดที่โทรไปกวนเขา
เขาไม่ว่าง...ไม่ว่างแม้แต่จะพิมพ์คำตอบสั้น ๆ ตอบกลับมาก่อนที่เธอจะโทรหา ในขณะที่เธอว่างทุกครั้งที่เขาโทรหา แม้จะไม่ว่าง แต่เธอก็จะทำตัวให้ว่างเพื่อรับสายและพูดคุยกับเขาตลอด เพราะคิดว่าการที่เขาโทรหา เขาคงคิดถึง อยากพูดคุยตามประสาคนรักกัน แต่พอเธอโทรเป็นฝ่ายโทรหา ซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่เธอจะโทรหาเขา แต่เขากลับไม่ว่าง..ไม่ว่างที่จะพูดดี ๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่ถนอมความรู้สึกเธอมากกว่านี้