ณ บ้านเก่าๆ หลังนึง
สองแม่ลูกกำลังจัดเตรียมตัวเองเพื่อจะออกไปทำหน้าที่ในวันนี้
ถิงถิง เด็กน้อยวัย 6 ขวบ กำลังจัดแจงเสื้อผ้าชุดนักเรียนของตัวเองอยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากเหมยลี่ผู้เป็นแม่เช่นกัน
“คุณแม่ขา”
“จ๋า ว่าไงคะ”
“คุณอาคนนั้นจะมาหาเราอีกไหมคะ?”
“ถิงถิงลูก คุณอาคนนั้นเป็นใครเรายังไม่รู้จักเลยนะ ทำไมหนูถึงอยากเจอกับเขาอีกล่ะ แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้สนิทกับคนแปลกหน้าน่ะ” เหมยลี่นั่งลงเพื่อสนทนากับลูกสาว เธอบอกกับถิงถิงไว้อย่างจริงจังเรื่องนึงว่าไม่ให้สนิทกับคนแปลกหน้า ต่อให้คนนั้นจะดูดีน่าไว้ใจมากแค่ไหนก็ตาม
“แต่คุณอาบอกว่าเราจะได้เจอกันอีก”
“…..” เหมยลี่นิ่งไปเหมือนถูกอะไรบางอย่างซัดเข้าหน้าเมื่อได้เห็นแววตาของลูกสาว
เธอเป็นแม่หม้าย เลี้ยงลูกคนเดียว พ่อของลูกก็นานๆ จะมาเจอหน้าสักทีเท่านั้น ไม่เคยได้ทำหน้าที่พ่ออย่างที่มันควรจะเป็นเลย เธอรู้ว่าลูกต้องการอะไร เพียงแต่แกไม่กล้าพูดมันออกมาก็เท่านั้นเอง
หลายครั้งที่เธอโทษตัวเอง ทำให้ลูกต้องเป็นแบบนี้ แต่เธอจะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อคนเป็นพ่อก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้นเลย มีอยู่ก็เหมือนไม่มี ไม่ได้ล้มหายตายจากไปสักหน่อย
“แม่ไม่รู้จักคุณอาคนนั้นเลย แม่เองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะได้เจอกันอีกไหม?” เหมยลี่พูดปลอบประโลมลูกสาวตัวน้อย เด็กก็คือเด็ก แล้วน้องถิงถิงก็อายุเท่านี้เอง เธอไม่ได้มองว่าลูกผิดเลย ทุกอย่างมันต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะผู้ใหญ่ที่มีความคิดเห็นแก่ตัว
“เอาล่ะ รีบแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวนะคะ อีกเดี๋ยวป้ามาลีก็จะมารับแล้ว”
“ค่ะคุณแม่”
มาลี คือเพื่อนสนิทของเหมยลี่ และมีลูกอยู่หนึ่งคนชื่อว่า เมฆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องถิงถิง ทุกวันมาลีจะรับหน้าที่คอยไปรับไปส่งน้องถิงถิงที่โรงเรียน เพราะถึงยังไงลูกชายก็ไปเรียนอยู่ที่เดียวกันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่เหมยลี่ต้องออกไปทำงานรับจ๊อบ มาลีก็จะรับอาสาดูแลน้องถิงถิงให้ก่อน ก็เห็นจะมีแค่เพื่อนสนิทคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือเธอในยามเดือดร้อน
………
ผ่านไปสักพัก
“น้องถิงถิง”
“สวัสดีค่ะคุณป้า พี่เมฆ”
“สวัสดีจ้ะ พร้อมแล้วใช่ไหม?”
“พร้อมแล้วค่ะ”
“ขอบใจมากนะมาลี”
“เธอก็ไม่ไปด้วยกันเหรอ ฉันแวะไปส่งที่บริษัทที่เธอจะไปสมัครงานก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ฉันต้องแวะหลายที่ มันจะลำบากเธอเปล่าๆ ขับมอไซค์ไปเองมันสะดวกกว่า”
“โอเค...”
“หนูไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณแม่”
“สวัสดีค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะคนเก่ง”
เหมยลี่ยืนมองลูกสาวนั่งรถเก๋งออกไปพร้อมกับเพื่อนสนิทของเธอ หลังจากนั้นเธอก็รีบกลับเข้าไปในบ้าน และหยิบเอกสารที่จะใช้ในการสมัครงานอย่างเร่งรีบ
เธอมีงานทำแบบไม่ประจำเท่าไหร่ ถึงจะมีก็ทำได้ไม่นานเพราะด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง เธอต้องหาเงินให้มากพอต่อเดือน และใช้หนี้ที่เคยกู้ร่วมกันมาพร้อมกับสามีเมื่อหลายปีก่อน มันยังไม่หมดไปสักทีเพราะดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเกี่ยวกับลูก ตัวเอง ครอบครัว และหนี้สินที่รุงรังมากในตอนนี้
ไม่นานรถมอเตอร์ไซค์ฟีโน่ก็ขับออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว เธอมาถึงบริษัทที่มาสมัครงานเอาไว้ก่อนหน้านี้ภายในสิบห้านาที ไม่คิดเหมือนกันว่าบริษัทนี้จะเรียกเธอเข้ามาสัมภาษณ์งาน
เหมยลี่ยืนนิ่งอยู่หน้าบริษัทใหญ่ เธอเงยหน้าขึ้นมองตึกที่สูงเสียดฟ้า ครั้งแรกเลยนะที่ได้มายืนอยู่หน้าบริษัทใหญ่แบบนี้ มันตื่นเต้นจนทำเอามือของเธอเย็นไปหมดเลย
“ฮู่ว! สู้สิเหมย เพื่อลูก!!”
เหมยลี่เดินเข้าไปด้านในด้วยความมั่นใจ พอบอกกับพนักงานต้อนรับด้านหน้าแล้วได้รับเอกสารเธอก็ได้ไปนั่งรอเตรียมเข้าสัมภาษณ์ คนอื่นที่มาสมัครงานนั้นแต่งตัวเรียบร้อยกว่าเธอเยอะเลย แถมบุคลิกภายนอกก็ดูดีกว่าเยอะอีกด้วย
แต่ถ้าได้ทำงานที่นี่มันก็ดีเหมือนกัน เพราะเงินเดือนสูงและหลายๆ อย่างมันก็ดี ตอนเย็นเธอก็ยังสามารถไปทำงานรับจ๊อบได้อีกด้วย
“คุณหทัยชนก เชิญเข้าสัมภาษณ์ได้เลยครับ”
เหมยลี่ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง มีแต่เธอนี่แหละมั้งที่แต่งตัวแปลกจากคนอื่นทั้งหมดเลย ก็แค่กางเกงยีนส์เสื้อยืดสีขาวธรรมดาๆ เท่านั้น
เธอเปิดประตูเข้าไปและชะงักอยู่ครู่นึงกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็น ถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดอะไร คนตรงหน้าของเธอก็คือผู้ชายที่เธอเจอที่สนามบิน และก็คือผู้ชายที่เอาของสำคัญมาส่งคืนให้แก่เธอ
“เชิญนั่งครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“วันนี้ท่านประธานลงมาสัมภาษณ์เอง เชิญเลยครับคุณหทัยชนก”
“…..” พอได้ยินผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคนนั้นแล้วเธอก็ยิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีก
ผู้ชายตรงหน้าเธอคือ ท่านประธาน เจ้าของบริษัทใหญ่ตึกสูงเสียดฟ้าน่ะเหรอ?
“ไม่ต้องเกร็งหรอกครับ ผมไม่ดุหรอก” ซิลวานพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มๆ ให้กับคนตรงหน้า
“ขอโทษค่ะ ฉันตื่นเต้นไปหน่อย สวัสดีค่ะ ฉัน..นางสาวหทัยชนก xxxx อายุ 27 ปี จบปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ มีประสบการณ์การทำงานมาพอสมควรค่ะ อยากทำงานที่นี่ก็เพราะ...มันอยู่ใกล้บ้านค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจ แต่สัมภาษณ์งานครั้งไหนๆ ก็ไม่ตื่นเต้นเท่ากับครั้งนี้เลยจริงๆ นะ
“เอ่อคุณครับ...เหตุผลมัน..”
“…..” ซิลวานหันไปมองหน้ากรรมการที่อยู่ข้างๆ สายตาของเขากำลังบอกให้กรรมการหยุดพูดแค่นั้น
ต้องหาเหตุผลด้วยเหรอ คนเราแค่มีประสบการณ์ในการทำงาน มันก็เพียงพอในระดับหนึ่งแล้วนะ
“เรียบร้อยแล้วครับ หากคุณผ่านการสัมภาษณ์ เราจะแจ้งไปยังอีเมลของคุณนะครับ พร้อมกับตำแหน่งหน้าที่และเงินเดือน”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ซิลวานนั่งมองหญิงสาวเดินออกไปจากห้องสัมภาษณ์ไป เขามองเอกสารการสมัครงานของเธอแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ยิ่งตรงสถานะที่ขีดตรงคำว่า โสด เอาไว้แล้วมันทำให้เราใจเต้นแรงไม่น้อยเลย
ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเธอไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือเปล่าเลยต้องขีดแบบนี้ แต่ถ้าได้เธอมาอยู่ใกล้ๆ คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ
แม้ทุกอย่างมันจะยังไม่ชัดเจน เขาก็จะยังอยู่ในจุดของตัวเอง ไม่ก้าวข้ามไม่ล้ำเส้น
“ท่านประธาน...”
“ผมว่าการรับคนเข้าทำงาน จะดูเกณฑ์จากวุฒิการศึกษามันก็ไม่ถูกใช่ไหม ต้องดูที่ประสบการณ์การเข้าทำงานของบุคคลด้วยสิ ต่อให้จะเป็นวุฒิที่เราไม่ต้องการ แต่ถ้าเขามีฝีมือเก่งเรื่องงานก็ต้องยอมรับ จริงไหมครับ”
“จะ จริงครับ”
กรรมการที่มานั่งคัดเลือกแต่ละคนต่างก็ไม่มีใครกล้าจะปฏิเสธอะไรเลย เพราะซิลวานไม่ได้มาพูดอะไรแบบนี้บ่อยนัก แต่ถ้าได้พูดขึ้นมาแน่นอนว่าเขาต้องจริงจังกับคำพูดของตัวเองมากแน่ๆ
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซิลวานเป็นคนยังไง
“แต่แผนกนี้ของเราคนเต็มแล้วนะครับ” เสียงหนึ่งพูดดังขึ้นมา
“เธอก็บอกอยู่นี่ว่าไม่ได้เลือกงาน ขอแค่ตำแหน่งที่ว่างก็เข้ามาทำได้ทั้งนั้น”
“ครับ...”
………..
“คุณแม่ขา~” เสียงหวานๆ ของลูกสาวตัวน้อยดังมาแต่ไกล ทำให้คนเป็นแม่ที่เพิ่งจะเหนื่อยจากงานมานั้นหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยก็ว่าได้
“หืม วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ ดื้อกับป้ามาลีหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ดื้อเลย”
“เก่งมากค่ะ” มือของเธอนั้นลูบผมเปียของลูกสาวอย่างเอ็นดู ในใจลึกๆ ก็นึกสงสารที่ตัวเองต้องทำแต่งานแบบนี้จนไม่มีเวลาอยู่กับลูกเลย ถ้าอดีตสามีของเธอรู้จักรักครอบครัวมากกว่านี้ ทุกอย่างมันคงไม่ต้องมาลงเอยแบบนี้หรอก
“วันนี้ไม่ได้ไปรับจ็อบที่ไหนเหรอ?”
“ยังหรอก แต่ก็ตระเวนหางานช่วงตอนหลังเลิกงานอยู่เหมือนกัน”
“พักบ้างนะเหมย ฉันเห็นเธอทำงานหนักแบบนี้แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้เลย”
“ขอบใจมากนะ”
“น้องถิงถิงกินข้าวแล้วนะ เธอจะกินที่บ้านฉันเลยไหม ฉันหุงข้าวทำกับข้าวไว้เยอะอยู่”
“ไม่ล่ะ ขอบใจมากนะ”
“โอเค”
เหมยลี่พาลูกสาวของเธอกลับบ้านเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้เร็วกว่าครั้งไหนๆ เพราะเธอไม่ได้รับจ็อบที่ไหน ตอนนี้ร่างกายมันกำลังประท้วงว่ากำลังเหนื่อยล้าเพราะเธอไม่ยอมพักร่างกายบ้างเลย
“คุณแม่ขา~”
“ขาลูก”
“วันนี้ป้ามาลีบอกว่าคุณแม่ไปหางานใหม่ คุณแม่ได้ที่ทำงานใหม่แล้วเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
พอนึกถึงที่ทำงานแล้วก็นึกถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาทันที สายตาที่เขาใช้มองเธอนั้นมันทำเอาเธอรู้สึกเขินอายจนบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงมองด้วยสายตาแบบนั้น
ถ้าน้องถิงถิงได้รู้ว่าเจ้านายคนใหม่ของแม่ตัวเองคือคุณอาที่ตัวเองถามหาเมื่อเช้ามันจะเป็นยังไงกันนะ
“หนูทำการบ้านหรือยังคะ”
“ทำแล้วค่ะ พี่เมฆสอนหนูทำ”
“เก่งมากค่ะ”
“หนูไปอาบน้ำนะคะ”
“ค่ะคนเก่ง”
เด็กน้อยสะพายกระเป๋านักเรียนของตัวเองขึ้นไปบนบ้าน ส่วนเหมยลี่นั้นก็ทำงานบ้านของเธอตามปกติเหมือนที่เคยทำ
น้องถิงถิงเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โตขึ้นก็ว่านอนสอนง่ายโดยที่ไม่ต้องบอกอะไรซ้ำมากมายเลย
ครืด ครืด ครืด
ระหว่างที่เหมยลี่กำลังทำงานบ้านอยู่นั้นจู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมาจากในกระเป๋าสะพายใบโปรด พอหยิบออกมาแล้วเห็นว่าเลขของเบอร์ที่โทรเข้ามาหาเธอคือเบอร์ของใครก็ทำเอาเธอถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรงเลยทีเดียว
“ฮัลโหล”
( ลูกล่ะ )
“ไปอาบน้ำ ไว้ถิงถิงมาแล้วจะให้โทรกลับ”
( เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งวาง )
“มีอะไรอีก?”
( เธอ...ทำอะไรอยู่ )
“…..” เหมยลี่ถอนหายใจอย่างแรงอีกครั้งเมื่อถูกถามคำถามแบบนั้น หลายครั้งที่เธอมักจะถูกอดีตสามีตามราวี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เธอเลยที่ทำผิดหรือทรยศความรักที่มีให้แก่กัน พอนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นแล้วเธอก็อึดอัดจุกอยู่กลางอกพูดอะไรไม่ออกเลย
“แค่นี้ก่อนนะ ฉันมีงานอีกเยอะต้องทำ”
ตู๊ดๆๆๆ !
ถ้ามันไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทุกอย่างมันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
แม่ที่ไหนจะอยากให้ลูกตัวเองขาดพ่อ ถ้าคนเป็นพ่อนั้นดีพอและทำหน้าที่ของพ่อได้เป็นอย่างดี
เธอไม่ได้อยากจะให้เรื่องราวทุกอย่างมันต้องจบลงแบบนี้ แต่ถ้าจะให้เธอต้องอยู่กับคนทรยศแบบเขาต่อไปเธอก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เขาไม่เคยทำหน้าที่สามีได้ดีเลย แม้กระทั่งหน้าที่ของคนเป็นพ่อที่ควรจะพึงกระทำ ก็ยังไม่มีเลย