จีน พาร์ท
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากนอนพักไปนานหลายชั่วโมง ริมฝีปากและลำคอเเห้งผาดทันทีที่พบว่าในห้อง มีเพียงแค่ฉันกับพี่ชายตัวเอง
พี่เจย์นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง สีหน้าเคร่งเครียด นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา บ่งบอกว่าฉันเพิ่งจะพลาดอะไรไปสักอย่างระหว่างนอนหลับ
พี่ทัพหายไปแล้ว..
จำได้ว่าฉันกินยาแก้เวียนหัวไป หลังจากนั้นก็หลับเหมือนซ้อมตายไปเลย
“พี่เจย์” ฉันเอ่ยชื่อคนที่นั่งหน้านิ่ง พลางหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงกับหัวเตียงอย่างหมดแรง
“ก่อนหน้านี้ที่พี่โทรหาเราเป็นสิบสาย ทำไมไม่รับวะจีน”
“.....”
“เราอยู่ไหน”
ไม่ทันจะได้ปรับโฟกัสหรือย้อนรำลึกความหลังว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่จับผิดฉันมาตลอดก็จู่โจมคำถามที่หาเรื่องกันทันที
ฉันยกมือขึ้นกุมขมับ ก่อนจะมุ่นคิ้วมองพี่เจย์กลับเช่นกัน
“ก่อนหน้านั้นจีนอยู่ห้องค่ะ”
“แน่ใจหรอว่าอยู่ห้อง..”
“แน่ใจค่ะ” ฉันตอบกลับไม่เต็มเสียง นั่งชันเข่าเอามือกำผ้าปูที่นอนแน่น
หัวใจมันเต้นแรงจนรู้สึกได้ การโกหกคำโตออกไปมันทำให้ฉันหน้าซีดเซียวเหมือนคนไม่มีแรง แม้กระทั่งจะสบตากับคู่สนทนาก็ยังไม่กล้าพอเลย
หากโกหกเพียงหนึ่งครั้ง เราจะต้องปิดบังความลับนั้นตลอดไป ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลยสักนิด
“หัดโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่จีน” พี่เจย์กดเสียงต่ำ บ่งบอกว่าเขากำลังเอาจริงและจับผิดฉันได้เต็มเต็ง
ฉันเลือกที่จะเงียบ ก้มหน้าแล้วปิดปากตัวเองเข้าหากันสนิท
“พี่ถามไม่ได้ยินหรอ”
“.....”
“จีน พี่ถามว่าเราไม่ได้ยินหรอ”
เสี้ยววินาทีที่อาการปวดตึงขมับแล่นลิ้วขึ้นมา ฉันก็มุ่นคิ้วมุ่ยหน้าใส่พี่เจย์คล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ก็ต้องกลั้นไว้แล้วทำเหมือนว่าสบายดี
ปวดช่วงล่างยังไม่พอ ยังต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพี่ชายตัวเองกลายเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนน้องสาวไปซะแล้ว
“แล้วเรื่องของพี่เจย์ล่ะคะ.. เรื่องวันนั้น.. พี่เจย์โกหกน้องด้วยหรือเปล่า” ฉันพูดพลางสบสายตาคู่สนทนาแน่น
ถ้าหากพี่ทัพกลับไปแล้ว นั่นก็แปลว่าทั้งคู่ได้เจอกันแล้ว และเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ก็ยังคงไม่ถูกเคลียร์
ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ต้องทำยังไงต่อ ไม่มีใครบอกอะไรฉันเลย
“จีน”
“พี่เจย์บอกว่ามันไม่มีอะไร จีนก็เชื่อใจพี่ไงคะ”
“.....”
“พี่เจย์บอกว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่ฟ้ากับพี่ทัพ.. จีนก็เชื่อหมดใจเลยว่ามันไม่มีอะไรอ่ะ”
“.....”
คนตรงหน้าชะงักงันไปครู่หนึ่ง ฉันที่เอาแต่พ่นประโยคคำพูดออกมาก็ถึงกับเหนื่อยหอบ ก่อนจะเปรยสายตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเว้าวอน
“แต่มันมีใช่มั้ยคะ”
สิ้นประโยคฉันก็มองพี่ชายตัวเองอย่างคาดหวัง ว่ามันจะไม่มีอะไรเหมือนที่ฉันให้ความไว้ใจไปเต็มร้อย
เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันโกหกพี่ทัพไป มันก็คงจะเป็นเพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากให้คนที่ชอบต้องเสียใจ และมั่นใจว่าพี่ตัวเองกับพี่ฟ้าจะไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น
แต่มันไม่ใช่..
เราทุกคนต่างก็มีมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็นทั้งนั้น งั้นฉันคงจะแปลกประหลาดอยู่เพียงคนเดียว ที่ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ฉันก็มีเพียงแค่ด้านเดียวที่พวกเขาได้เห็น
เปิดเผยด้วยความจริงใจ จนคิดว่าจะได้ความจริงใจตอบกลับมา
แต่ฉันคิดผิด..
ผิดมหันต์
“พี่ขอโทษ..” เขาตอบกลับเสียงแผ่ว นั่งก้มหน้าบีบมือเข้าหากันแน่น
“ขะ..ขอโทษหรอคะ แปลว่าทำจริงใช่มั้ย” ริมฝีปากฉันสั่นระริก อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ทุกอย่างจบแค่วันนั้นจีน.. พี่จบทุกอย่างตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
“มันจบแล้วจริงหรอคะ พี่เจย์.. ไม่ได้โกหกใช่มั้ย”
“.....”
“พี่เจย์..”
ผิดหวังหรอ..
มันก็อาจจะมีความรู้สึกนั้นถาโถมเข้ามาในช่วงเวลานี้
เสียใจใช่มั้ย..
มันก็อาจจะใช่ เพราะฉันมีเพียงแค่พี่เจย์มาตลอด มันเริ่มต้นตั้งแต่พ่อกับแม่เลือกที่จะโกหกคำโต แล้วทิ้งพวกเราเอาไว้ให้เป็นเพียงลูกแกะหลงทาง
ฉันยังคงรักพี่เจย์เหมือนเดิม แต่ในเวลานี้เราคงไม่เหมาะที่จะเจอกันเท่าไหร่หรอก ..คิดว่างั้นนะ
“ตอนแรกพี่ว่าพี่ถามเรื่องเราอยู่นะจีน ไม่ใช่ให้เรามายอกย้อนแบบนี้”
“จีนก็อยากรู้เหมือนกันว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พี่เจย์ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาดูไม่อยากพูดถึงมัน ผิดกับฉันที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา
ผู้ใหญ่เขามักจะมีความลับกันเต็มไปหมดเลยใช่มั้ย เพราะเมื่อก่อนเราสองคนแทบจะไม่มีความลับต่อกันเลยด้วยซ้ำ ทำไมพี่เจย์ถึงมองข้ามฉันไปแบบนี้
“พี่เจย์กับพี่ฟ้า.. มีอะไรกันใช่มั้ยคะ”
“.....”
“วันนั้นที่พี่บอกให้จีนเชื่อใจ.. พี่เจย์โกหกจีนใช่มั้ยคะ”
“พี่กำลังจะถอยออกมาแล้วจีน พี่พยายามถอยออกมาแล้ว” เขาอธิบายเสียงหนักแน่น ขอบตาแดงก่ำ พลางเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เรียวคิ้วยู่ย่นด้วยสายตาเว้าวอน
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ ยกมือขึ้นปิดหูแล้วกอดเข่าตัวเอง สิ่งที่เขาพูดมันไม่ได้เข้าหูฉันเลยสักนิด
สมองกำลังประมวลผลและคัดกรองผ่านความเชื่อของตัวเอง ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันคือเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่คำเท็จกันแน่
พี่ทัพเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย..
“พี่เจย์ก็ชอบโกหกเหมือนพ่อกับแม่.. ใช่หรือเปล่าคะ” ฉันเบะริมฝีปาก น้ำตาเอ่อคลอจนมองภาพคนตรงหน้าไม่ชัดเจน
“ไม่.. ไม่ใช่แบบนั้นหรอกจีน” เขาปฏิเสธ ก่อนจะเดินลงมานั่งข้างเตียง ดึงฉันเข้าไปกอดปลอบประโลม
“ฮึก”
“พี่ขอโทษ”
ภายใต้ริมฝีปากที่สั่นระริกของฉัน มันไม่สามารถเอ่ยประโยคอะไรออกไป มากกว่าการร้องไห้ออกมา แสดงให้เห็นว่าฉันกำลังเสียใจแค่ไหนเท่านั้นเอง
“แต่ทัพมันเข้าหาเราเพราะมันต้องการจะทำร้ายพี่ จีนก็รู้ว่าทั้งชีวิตพี่จีนสำคัญแค่ไหน”
“พี่เจย์โกหก..”
“พี่ไม่ได้โกหกนะจีน” น้ำเสียงเขาอ่อนลง แต่ยังแฝงความแข็งกระด้างเอาไว้ “ไอ้ทัพมันหลอกเรา ทำไมจีนถึงไปกับมัน.."
“แต่พี่ทัพเป็นเพื่อนพี่เจย์นะคะ” ฉันพูดพลางสูดน้ำมูก ใบหน้าเห่อแดงตั้งแต่ปลายจมูกลามไปยันลำคอ
“เราไว้ใจมันขนาดนั้นเลยหรอ”
“แล้วคนรอบข้างมีใครไว้ใจได้บ้าง”
ฉันผละออก พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ
“ขนาดจีนไว้ใจพี่เจย์ถึงขนาดที่โกหกพี่ทัพ.. ถามหน่อยว่าตอนนี้จีนเชื่อใจใครได้บ้าง” ฉันสะอึกสะอื้น
คุณลุงบอกว่าการสร้างความเชื่อใจ หลังจากถูกจับได้ว่าโกหกเป็นอะไรที่ทำได้ยาก
เราต้องพิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าคนที่ถูกเราซ่อนเร้นความจริงจะพึงพอใจ และเราทำอะไรไปมากกว่านั้นไม่ได้
ถ้าหากเรื่องระหว่างพวกเราทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เป็นแค่การโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ฉันก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่กับตัวเองขนาดนี้
ทำไมนะ..
ทำไมวันนั้นฉันถึงเลือกกลืนน้ำลายตัวเอง ทั้งที่เกลียดคนโกหกแท้ๆ ทำไมถึงเลือกที่จะทำซะเอง
“หลังจากนี้ไม่ต้องไปเจอมันอีก เข้าใจมั้ย”
“ไม่.. จีนไม่เข้าใจ”
“อยากโดนมันเขี่ยทิ้งเหมือนผู้หญิงคนอื่นของมันหรอวะจีน”
พี่เจย์ประคองหน้าฉันอย่างอ่อนโยน เขาใช้มือลูบแก้มฉันเหมือนที่ชอบทำ เช็ดน้ำตาที่อาบหน้าให้พร้อมกับใช้หลังมือถูไถปลายจมูกฉันไปมา
“ไม่รู้หรอว่าจุดจบผู้หญิงของมันเป็นยังไง”
“.....”
“อยากเป็นแบบนั้นหรอ”
กองทัพ พาร์ท
ผมกระชับนาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือ พลางฉีดน้ำหอมแล้วมองภาพสะท้อนของตัวเองจากกระจกตรงหน้าไปด้วย
ปล่อยอารมณ์ดื่มด่ำไปกับแชมเปญในมือ ไม่รีบร้อนที่จะออกไปไหน หลังจากส่งคนให้ออกไปรับจีน ผมก็ยังคงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในห้องของตัวเองเกือบครึ่งชั่วโมง
ผมหมุนแก้วแชมเปญในมือ พลางหลุบตามองโทรศัพท์มือถือที่สั่นคลอน ส่งเสียงเรียกเข้าแสนจะน่ารำคาญ เพราะเบอร์ที่โทรเข้ามา ดันเป็นเบอร์ของไอ้เจย์
ผมผุดลุกจากโซฟา ก่อนจะหยิบมือถือติดมา ยืนมองวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้รีบร้อนที่จะรับสายเรียกเข้าเลยสักนิด
สายตาผมกวาดมองไปตามตึกราบ้านช่องที่ประดับไปด้วยไฟหลากสี พลางยกแก้วขึ้นกระดกจิบ ก่อนกดรับสายจากไอ้เจย์มัน
“พายุเข้าหรอวะถึงโทรมาหากู” ผมกรอกเสียงลงไปตามสาย
(จีนหายตัวไป..)
“.....”
(น้องได้อยู่กับมึงหรือเปล่า เธอไปหามึงใช่มั้ย)
สิ้นเสียงมันผมก็ถึงกับชะงักงันไปหลายวินาที ก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในห้องนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียว และคนของผมที่ส่งไปรับเธอก็ยังไม่มีใครติดต่ออะไรกลับมา
“เปล่า ไม่ได้อยู่”
(จีนไม่รับสายกู.. ไม่รู้ว่าแอบออกจากห้องตอนไหน อาจจะเป็นตอนกูอาบน้ำก็ได้)
น้ำเสียงของคู่สนทนาฟังดูร้อนรน มันหอบหายใจเหนื่อยไปด้วย บ่งบอกว่าเจ้าตัวโทรหาผมขณะที่กำลังวิ่งตามหา คนที่หนีออกจากห้องไปพร้อมกัน
(กูคิดว่าจีนจะไปหามึง มึงโทรหาจีนได้ป่ะวะ บางทีน้องมันอาจจะรับสายมึง..)
“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่สนใจล่ะ”
(.....)
“เธอสำคัญกับกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
(กูขอร้อง..)
ผมเบิกตาโต มองภาพเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกตรงหน้า
เห็นสายตาเย็นเยือกของตัวเองที่วูบไหว เพียงเพราะปลายสายเอ่ยประโยคขอร้องออกมา น้ำเสียงสั่นคลอนจนจับสังเกตได้
(จีนเพิ่งกลับมายิ้มได้.. อย่าทำให้มันหายไป เพราะคนแบบกูเลย)