บทที่3.4

1607 Words
“...” “ขอบคุณนะคะที่ช่วย” ครั้นเห็นเขาปิดปากเงียบ เอาแต่มองกันท่าเดียว ฉันจึงเอ่ยในสิ่งที่ควรเอ่ย “ถึงขั้นมีปีกงอกออกมาและแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ การรักษาของคุณก็คงพิสดารไม่ต่างกันนั่นแหละเนอะ แผลหนูถึงหายสนิทเหมือนมีเวทมนตร์ ไม่เสียเลือดตายและกลายเป็นผีเฝ้าป่า” แอบหัวเราะยามนึกถึงนาทีชีวิต ทว่าหากย้อนกลับไปตอนเกิดเหตุ ยอมรับว่านั่นเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบสี่ปีที่ความกลัวกัดเซาะหัวใจจนแหว่งโหว่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียดายชีวิตนี้ของตนเอง เป็นห่วงป้า...กลัวท่านอยู่ไม่ได้หากขาดฉันไป เป็นไงล่ะอีเสี้ยว ดื้อด้านจนได้เรื่อง เกือบต้องให้ป้าจุดธูปเรียกวิญญาณของจริงแล้ว! “คุณดูเข้าใจอะไรง่าย” เห็นฉันยอมรับและกล่าวขอบคุณโดยไม่ทักท้วงหรือซักไซ้ให้มากความ เขาจึงกล่าวอย่างแปลกใจ ทว่านัยน์ตาคมกริบสีเดียวกับผืนฟ้ายามวิกาล...ซึ่งจับจ้องฉันทุกวินาทีคล้ายจะแฝงไว้ซึ่งความพอใจกลาย ๆ เช่นกัน “เจอขนาดนี้แล้วยังหลอกตัวเองอยู่ก็สุดจะทนแล้วค่ะ” กล่าวเจือเสียงหัวเราะก่อนหยัดตัวขึ้นจากพื้น ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อชายที่ทุรนทุรายจะเป็นตาย อีกทั้งยังขาผิดรูปจากแรงกระแทกก่อนหน้านี้...สามารถยืนขึ้นด้วยสองขาที่กลับมาเป็นปกติตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซ้ำยังกระซิบข้างหูว่า “โทษนะครับ” แล้วช้อนร่างฉันขึ้นด้วยสองแขนทรงพลัง “เฮ้ยคุณ อุ้มหนูทำไม วางลง ๆ” ตาฉันเบิกกว้างโดยอัตโนมัติ ออกแรงดิ้นเล็กน้อย ทว่าคุณปีกใหญ่กลับยกมุมปากอย่างผิวเผิน ไม่ทันพิจารณาว่าสิ่งนั้นคือรอยยิ้มก็กลับคืนสู่ความราบเรียบเช่นเดิม ก่อนเดินย่ำพื้นฉ่ำแฉะด้วยเท้าเปลือยเปล่า โดยไม่ลืมใช้ปีกตัวเองทำหน้าที่แทนร่มให้ฉัน ส่งผลให้ร่างกายไม่อาจสัมผัสถึงความเปียกชื้นของเม็ดฝน “ไม่เป็นไร” เขากล่าวสั้น ๆ “คุณตัวเบา” “แต่หนูเดินเองได้” ฉันพยายามแหวก ‘ร่มจำเป็น’ ออก และพลันเห็นผ่านช่องว่างของปีกว่านัยน์ตาคมกริบคู่นั้นก็เพิ่งเคลื่อนจากเส้นทางเบื้องหน้าเป็นฉันที่ถูกอุ้มเหมือนเจ้าหญิงในนิทาน “ผมไม่ได้ ‘เจอของถูกใจ’ ง่าย ๆ” “...” “อนุญาตให้ผมทำต่อไปเถอะ” ใช้คำว่าอนุญาตทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ตอบตกลงด้วยซ้ำว่าจะให้อุ้ม ... บุรุษที่สาม แบล็ก ดาร์ก ดัสก์ เหล่าสหายตัวน้อยบินตามแผ่นหลังเจ้านายและยัยมนุษย์ตัวจ้อยระยะประชิด ระหว่างทางไม่วายส่งเสียงนินทา “ตีนก็มี ขาก็ไม่ได้หัก จะอุ้มทำไมกัน!” เป็นเจ้าดัสก์น้องเล็กที่ออกตัวแรงเกินใคร ดวงตาดำมืดถมึงทึงเป็นที่สุด “มาทรงนั้น คุณนิธิศจะใช้มันเป็นเครื่องมือลบคำสาปได้จริงเหรอ ไม่น่าไหวมั้ง” ส่วนดาร์กเริ่มสันนิษฐานจากพฤติกรรมของเจ้านายว่าอาจใจไม่แข็งพอจะพรากอิสรภาพของผู้หญิงคนนั้นเพื่อจุดหมายของตัวเองแน่ แม้รู้ดีว่า ‘เงื่อนไขหลัก’ ในการล้างคำสาปคืออะไร แต่นิธิศที่อบอุ่นดุจดวงตะวัน คงไม่กล้าลงมือกับยัยมนุษย์ตัวเล็กตัวน้อยนั่นเพื่อผลประโยชน์ของตนหรอก “ก็ช่างเขา” พี่ใหญ่อย่างแบล็กร่วมวงขณะบินเยื้องหน้าทั้งสอง นัยน์ตาดำขลับสะท้อนแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเจ้านาย รวมถึงปีกใหญ่ยักษ์ที่กำลังหุ้มห่อเด็กผู้หญิงคนนั้นให้รอดพ้นจากห่าฝน “ถ้าทำเธอไม่ลง ก็แค่รอเหยื่อรายใหม่” “พี่ฮะ!” ดัสก์บินตามไปสมทบ “พี่ก็รู้ว่ากว่าคุณนิธิศจะเจอมนุษย์พิเศษ ๆ แบบนั้นต้องรอตั้งสองร้อยปี ได้โอกาสทั้งทีจะทิ้งขว้างเพราะความพิศวาสทำไม ตัวเมียน่ะ รูปงามอย่างคุณนิธิศหาตามข้างทางก็ได้ มันก็มีรูให้เสียบเหมือนกันทั้งหมดแหละน่า!” เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ความหยาบคายโดยกำพืดจึงปรากฏ “คุณนิธิศไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย อยู่กันมากี่ปีทำไมถึงมาพูดเพ้อเจ้อวะ” ดาร์กทนฟังไม่ไหวจึงต้องปรามน้องเล็ก พร้อมใช้ส่วนปลายของปีกกระพือพรึ่บพรั่บบนหัวน้องถี่ยิบ “อีกอย่างคุณนิธิศของพวกเราห่างหายจากเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ช่วงก่อนถูกสาป จะลุกฮือเพราะยัยมนุษย์ที่ยอมวิ่งมากอดแทนที่จะวิ่งหนีก็ไม่แปลกหรอก” จะมีสักคนที่พอเห็นร่างวิปลาสของเขาแล้วยังอยู่เคียงข้าง คำตอบคือ...เบาบางเสียยิ่งกว่าอากาศ “อ้าวพี่ ก่อนหน้านี้ยังบู้จี้ยัยหน้าตาขี้เหร่นั่นอยู่เลย ทำไมอยู่ ๆ ...” ครั้นเหล่าพี่ชายไม่รวมหัวกันต่อต้านยัยมนุษย์ที่จะมาแย่งความรักของเจ้านาย น้องเล็กจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “บูลลี่ ไม่ใช่บู้จี้” ยิ่งไปกว่านั้น พี่คนโตอย่างแบล็กยังมองข้ามท่าทางของเขา แล้วสนใจเพียงคำศัพท์ของมนุษย์ที่ตัวเองใช้ผิดความหมาย “โง่ก็อยู่เงียบ ๆ” “ฮึก...” ไม่ใช่แค่เจ้านาย แต่บรรดาพี่ชายต่างก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครรักเขาแล้ว เห็นทีต้องถอนขนประชดชีวิต... ... จันทร์เสี้ยวไม่ได้รู้สึกไปเองว่าพลังงานของตนถดถอยลงอย่างน่าใจหายแม้ร่างกายจะลอยเหนือพื้นดินแทบไม่ได้ขยับตัว อันที่จริง...เธอสังเกตถึงความผิดปกตินี้ตั้งแต่ตอนสวมกอดนิธิศ ราวกับว่าอีกฝ่ายดูดดึงเอาพลังงานผ่านอ้อมกอด ผ่านสัมผัส ผ่านความใกล้ชิด เพราะยิ่งอยู่ใกล้...เธอยิ่งเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย พยายามฝืนเพราะยังอยากให้สติครบถ้วนตอนกลับถึงปราสาท ทว่ากลับยากลำบากเต็มที มีปริศนามากมายที่อยากรู้ มีข้อมูลมหาศาลที่อยากเก็บเกี่ยวเพื่อประโยชน์ทางอาชีพในอนาคต และหลังทุกอย่างกระจ่างแจ้ง เช้าวันรุ่งขึ้น...เธออาจต้องเห็นแก่ตัว ใช้ความใจดีโดยธรรมชาติในค่ำคืนนี้เป็นข้อต่อรองขอให้นิธิศพาเธอไปส่ง ณ ปากทางเข้าป่าอนธการ ในตอนนี้ป้าอาจยังไม่ร้อนรนกระวนกระวายที่เธอหายเงียบไป แต่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเมื่อไหร่ หากยังขาดการติดต่ออยู่ คิดว่าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ทว่าเธอต่อสู้กับความอ่อนเพลียต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้อีกทีสติสัมปชัญญะก็ย้ายจากโลกแห่งความเป็นจริงสู่นิทรารมย์ นิธิศแง้มแผงปีกออกเล็กน้อย หลุบมองร่างบางที่หมดสติคาท่อนแขนของตนด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ยอมรับว่าเขาพึงพอใจในตัวจันทร์เสี้ยวมาก เผลอผาสุกและหลุดยิ้ม เผลอปล่อยให้ความอุ่นซ่านเกาะกุมหัวใจที่มักแข็งทื่อดุจหิน ทว่าเพียงไม่นานความจริงก็กระชากความหวานล้ำที่ภายหลังกลายเป็นขมปี๋ เขามีชีวิตยืนยาวเกินพอแล้ว เหตุใดจะต้องปล่อยให้ความรู้สึกฉาบฉวยชั่วครู่ชั่วคราวมาขัดขวางความต้องการอันแรงกล้าของตนเอง ในอดีตเขาคือหนึ่งในกองโจรสุดระยำ คือคนชั่วช้าที่ความตายยังสูงส่งเกินเอื้อม เขามีชีวิตอยู่กับคำสาปแช่งและความแค้นที่ไม่มีวันลบเลือน ทรมานและแตกสลายซ้ำ ๆ จนเฝ้าฝันถึงการนอนแน่นิ่งอยู่ในหลุมศพทุกคืนวัน นิธิศพิสูจน์แล้วว่าเจ้าหนูคนนี้มีพลังการในการปลดปล่อย ดังนั้นค่ำคืนนี้...หลังจากดูดซับพลังงานในตัวเธอมามากกว่าครึ่ง หลังทำให้เธอกลายเป็นลูกไก่ตัวน้อยไร้แรงทัดทาน ก็ถึงเวลาของเขาแล้ว ที่จะ... ปึง! ครั้นก้าวเท้าเข้าตัวปราสาท ไม่พูดพร่ำทำเพลง นิธิศมุ่งหน้าสู่ชั้นสอง ตรงเข้าห้องนอนของตนที่สละให้จันทร์เสี้ยวพักผ่อนชั่วคราวเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ก่อนปิดประตูดังตึงใส่หน้าเหล่าสหาย...ที่หันมองกันตาปริบ ๆ นิธิศวางร่างจันทร์เสี้ยวลงบนเตียง ปลายนิ้วแข็งกระด้างซึ่งยังปรากฏริ้วทมิฬขยับเขยื้อนอย่างแผ่วเบา...ค่อย ๆ สัมผัสเส้นผมสีน้ำตาลเข้มบนหน้าผาก ซึมซับความอุ่นร้อนของผิวเนียนละเอียดอย่างย่ามใจ “ทำสิ ในอดีตมึงฆ่าคนเป็นผักปลาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่ผู้หญิงเพียงคนคงไม่ยากเกินไปหรอกใช่ไหม” วินาทีนั้นเสียงหนึ่งพลันดังแทรกเข้ามาในหัว... เสียงของคำสาป...ที่ฝังลึกอยู่ข้างใน มันสื่อสาร ยั่วยุ คอยส่งเสริมเขาอยู่ในเงามืด มักฉีกยิ้มสยดสยองอย่างเลืองรางยามส่องกระจก สาปนี้ เมื่อฝังลึกอยู่ที่ใคร จะมีรูปร่างและลักษณะคล้ายเจ้าของร่าง ปรากฏกายเป็นเงาโปร่งแสงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งชอบบังคับให้ซีกหนึ่งของใบหน้าแสดงอารมณ์ขัดแย้ง มีพลังอำนาจที่ต่อกรด้วยค่อนข้างยาก “ไม่ต้องมาสั่ง” นิธิศคุยกับมัน “กูรู้ว่าควรทำยังไง” กล่าวจบปลายนิ้วนั้นก็ไต่ระดับมาสัมผัสคอเสื้อของเด็กสาว “ขอโทษนะเจ้าหนู” เขาขยับหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบชิดผิวแก้มนุ่มนิ่มซึ่งนิ่มนวลกว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย... ความพึงพอใจเพียงชั่วครู่ ความสุขล้นเพียงชั่วคราว สิ่งเหล่านั้นเหรอจะสำคัญกว่าความต้องการของเขา เขาคืออดีตโจรที่ไม่เคยเห็นหัวใคร ดังนั้นหัวใจที่ไหววูบให้เด็กสาวเพียงไม่กี่วินาที...เหมาะสมแล้วที่จะถูกเขาเหยียบมิดให้ราบไปกับพื้นดิน อิสรภาพคือสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนความรัก... ช่างหัวมัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD