บทที่3.3

1441 Words
“คุณ!” สมองออกคำสั่งให้วิ่งเข้าไปหา ระหว่างนั้นคำขอร้องของเขากลับผุดชัดขึ้นกลางหัว เป็นจุดประกายเล็ก ๆ ให้บางสิ่งดลบันดาลขึ้นในหัวใจ รู้อีกทีฉันพลันทรุดตัวลงตรงหน้าเขา ก่อนขยับเข้าไปหาแล้วสอดเรียวแขนทั้งสองข้างเข้าใต้แผงปีก โอบกอดเขาที่ผิวกายเย็นเฉียบอย่างแนบแน่น ไม่มีช่องว่างให้สิ่งใดลอดผ่าน แม้กระทั่งละอองฝนเล็กจิ๋วรอบกายเรา “คุณ” ฉันกระซิบเรียกโดยที่ก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม “หนูกลับมากอดคุณแล้ว อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ” ฉันแนบแก้มกับช่วงอก กล่าวกระซิบชิดร่างกายที่แข็งทื่อ ก่อนหลุบมองมือข้างซ้ายซึ่งยังคงปรากฏผลึกน้ำแข็งไม่ต่างจากคราวแรก ที่บอกว่าร่างกายจะถูกฟรีซ หมายถึงแบบนี้เองเหรอ วัน ๆ หนึ่งเขาต้องเจอกับอะไรบ้างนะ... ฉันดึงสายตาจากผลึกน้ำแข็งซึ่งมีลักษณะคล้ายคริสตัลมามองปีกสีดำสนิทที่ลู่ตกลงข้างต้นแขน ส่วนปลายของมันลากพื้น ชุ่มเปียกจากสายฝนที่อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนมาโหมกระหน่ำ ทุกอย่างรอบกายเราแปรปรวนกะทันหัน ทั้งเม็ดฝน กระแสลม หรือแม้กระทั่งสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงอยู่ไม่ไกล การหลบฝนใต้ต้นไม้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากมีฟ้าผ่าด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่าอันตรายถึงชีวิต แต่จะพาเขาไปจากตรงนี้ก็ไม่ไหว ด้วยส่วนสูง ขนาดตัว ปีกซึ่งมีน้ำหนักมหาศาล และดูเหมือนว่าไอ้ร่างกายที่แข็งทื่อเป็นน้ำแข็งนี่จะหนักขึ้นกว่าตอนแรก...เพราะผลึกน้ำแข็งนั่นคาดเดาด้วยตาคงหนาไม่ต่ำกว่าสองนิ้ว “กา!” อยู่ดี ๆ หนึ่งในพวกตัวแสบที่เฝ้ามองกันอย่างใกล้ชิดก็ส่งเสียง โผบินขึ้นเหนือศีรษะเจ้านาย “กา!” ฟังภาษานกไม่ออก แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...เสียงนั่นคล้ายกำลังลิงโลด ฉันผละหน้าออกจากแผงอกกว้าง กะจะสังเกตพฤติกรรมของพวกมันให้ชัดเจน ทว่ากลับมีบางสิ่งสัมผัสบริเวณศีรษะ ออกแรงกดอย่างนุ่มนวลให้ซบลงตรงจุดเดิม ตามด้วยเสียงทุ้มพร่าที่ดังขึ้นข้างกรอบหู “...อย่าเพิ่งปล่อย” เสียงนี่... “ขอผมอยู่แบบนี้อีกสักสิบนาที” กล่าวจบก็คล้ายว่าท่อนแขนทรงพลังจะกระชับแน่นเข้าที่แผ่นหลัง สัมผัสนั้นทำให้ฉันรับรู้ถึงการละลายของผลึกน้ำแข็งและอุณหภูมิเย็นเยียบที่ค่อย ๆ อุ่นขึ้นทีละนิด... “คุณ!” ได้แต่พูดคำคำนี้และเผลอกระชับตอบโดยไม่รู้ตัว “เมื่อกี้ตัวคุณเย็นและแข็งเหมือนหิน นึกว่า...อื้อ” หลุดเสียงอู้อี้เมื่ออีกฝ่ายกระชับท่อนแขนแน่นขึ้น...จนรับรู้ถึงร่างกายส่วนบนอันเปลือยเปล่าของเขา รวมถึงผิวกายที่ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความปกติ “ตัวคุณอุ่นมาก” เขากล่าวพร้อมวางปลายคางไว้บนไหล่ซ้ายของฉัน อะไรเนี่ย... “...อุ่นเอิ่นไร หนูสวมชุดกันฝนหนาแบบนี้ คุณรู้สึกได้ด้วยเหรอ” เพิ่งรู้ว่าเสียงของตัวเองกระท่อนกระแท่นจนน่าหัวเราะแค่ไหนก็ตอนเสียงนั้นส่งไปถึงเขาแล้ว ทั้งชีวิตผ่านการมีแฟนมาสองคน เริ่มจากการพูดคุย เรียนรู้ เลื่อนขั้น และจบลงอย่างลึกซึ้ง ทุกขั้นตอนล้วนใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือน แต่คุณคนนี้นอกจากเป็นคน (?) แปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันในป่าอนธการ ยังไม่ทันแนะนำตัวด้วยซ้ำ...กลับได้โอบกอด วางคางไว้บ่นไหล่ ทั้งยังใช้น้ำเสียงนุ่มนวลแบบนั้นข้าง ๆ หูกัน ไม่อึกอักก็แปลกแล้ว จริง ๆ ระหว่างเรามันแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะนะหากพูดกันตามตรง ตัวฉันที่ดั้นด้นเข้าป่าเพียงลำพังจนเกือบตายเพราะโดนสัตว์ป่าโจมตีก็ใช่จะปกติ มิหนำซ้ำ ความไม่ปกตินั่นยังทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะไม่กี่นาทีก่อนดันเป็นฝ่ายถลาหน้าตั้งเข้ามาสวมกอดเขา พร่ำเรียกและภาวนาให้เขากลับมา โดยที่ก็ไม่รู้ว่าจะกระตือรือร้นถึงขั้นร้อนรนขนาดนั้นไปทำไม เหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเลย “อืม” เสียงทุ้มต่ำครางรับข้างหู ส่งผลให้ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอวัยวะสุดอ่อนไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่ในเวลาไล่เลี่ยกันจะพลันรับรู้ถึงแผงปีกซึ่งยกขึ้นจากพื้นดิน ก่อนเคลื่อนมาปกคลุมร่างกายของฉันท่ามกลางความแปรปรวนของธรรมชาติ “ทำไมคุณถึงกลับมา” คุณปีกใหญ่ถามต่อ “ไม่เห็นแปลกเลย” ฉันตอบ “เห็นคนเจ็บแบบนั้นทั้งคน ใครมันจะบ้าปล่อยให้ทรมานอยู่เพียงลำพังอะ อย่างน้อยก็ต้องทำอะไรหน่อยหรือเปล่า” “ทุกคน” ไม่คิดว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์จริงจังจะได้รับคำตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว ฉันมุ่นคิ้ว... “ตอนผมบาดเจ็บ จะไม่มีมนุษย์คนไหนมองเห็นผม” “...” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ใช้คำว่ามนุษย์ เท่ากับยอมรับว่าตัวเขาอาจไม่ใช่คน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่างจากฉัน “แต่คุณเป็นคนแรกที่มองเห็น” ในที่สุดคุณปีกใหญ่ก็ยอมปลดปล่อยฉันจากอ้อมกอดอันแสนแนบแน่น ทว่าเราทั้งคู่ต่างยังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ และเป็นเขาที่ขยับปีกซ้ายมาตรงหน้า ใช้นิ้วจิ้มตำหนิขนาดเล็ก ณ ตำแหน่งบนสุดของแผงปีก “แผลนี้ คุณเป็นคนทำให้ผมเอง จำได้ไหม” “หนูไปทำให้ตอนไหน ไม่เห็นจะ...” กล่าวไม่ทันจบประโยคกลับต้องชะงักค้างเมื่อความทรงจำช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนไหลย้อนเข้าสมอง ฉายภาพช่วงพลบค่ำโดยอัตโนมัติ... ฉันบังเอิญพบอีกาตัวใหญ่พอ ๆ กับเหยี่ยวนอนบาดเจ็บอยู่บนกองผ้ากลางป่าอันเงียบสงัด ปีกซ้ายของมันชุ่มโชกไปด้วยเลือดข้นคลั่ก ลักษณะบาดแผลคล้ายถูกอาวุธแหลมคมทิ่มทะลุ เจ้านั่นคือเพื่อนตัวแรกของฉันหลังมาเยือนเขตอันตราย ทว่าใช้เวลาร่วมกันไม่นานกลับต้องพลัดพรากเพราะฉันดันโชคร้าย โดนสัตว์ตัวยักษ์กัดขย้ำจนแทบเอาชีวิตไม่รอด “ผมคือ ‘นกน้อย’ ตัวนั้นของคุณ” ฉันดึงสายตาจากบาดแผลที่สมานตัวแล้วเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นใบหน้าคมเข้มของชายปริศนาที่ทำให้ฉันเกิดความฉงนสงสัยรอบที่หนึ่งล้านของวัน “เป็นคนลั่นไกใส่สัตว์ตัวนั้น” “...” เรื่องนั้นฉันจำได้ แต่เจ้านกน้อย... “และแผลที่ขาของคุณ ผมเป็นคนรักษา” จริงสิ... แผลเหวอะหวะที่ขาซ้าย ในตอนนี้หายสนิทไม่ทิ้งรอยแผลเป็น แม้กระทั่งความเจ็บปวดที่ควรหลงเหลือก็สาบสูญอย่างสมบูรณ์ คำนวณระยะเวลาคร่าว ๆ เหตุการณ์โชกเลือดผ่านพ้นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เรียกได้ว่าสดใหม่ ไม่มีทางที่แผลเหวอะจะเนียนกริบไร้ตำหนิ ไม่มีทางที่ฉันจะเดินเหินได้เป็นปกติ เว้นเสียแต่โลกใบนี้จะมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าพลังวิเศษอยู่จริง ๆ ให้ตายเถอะ... “อ่า...” ฉันครางเหมือนจิตหลุดออกจากร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างบีบบังคับให้ต้องยอมรับ “หนู...อาจสวนกลับว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องเพ้อเจ้อถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองแล้วพบว่าคำพูดของคุณมันสอดคล้องกับความจริง” กล่าวพลางหลุบมองขาซ้ายที่เกลี้ยงเกลาปราศจากแผล ก่อนย้ายกลับมายังใบหน้าของอีกฝ่าย “อีกอย่าง หนูก็เห็นตอนปีกนั่นทะลุออกจากหลังคุณ เห็นเกราะน้ำแข็งบนแขนคุณ เห็นความแฟนตาซีทุก ๆ อย่างด้วยตาเนื้อ ก็คงต้องเชื่อแหละ...” โดยปกติไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากอยู่แล้ว ขอแค่เห็นด้วยตา ขอแค่ได้รับการพิสูจน์ทางใดทางหนึ่ง ต่อให้สิ่งนั้นจะดูเกินเลยความเป็นจริงหรือไม่มีทางเกิดขึ้นได้บนหลักวิทยาศาสตร์ฉันก็พร้อมเข้าใจ เอาอะไรมาก ช่วงปีก่อนตอนไปจังหวัดกาญจนบุรี ฉันยังเจอคนแปลกหน้ามาขอร้องให้ช่วยกลางดึก ก่อนได้รู้ในภายหลังว่าคนคนนั้นตายไปแล้วสามวัน แต่ศพติดอยู่กับรากไม้ในที่ลับตาจึงไม่มีใครพบเห็นเสียที คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาค่อนชีวิต ไม่เจออะไรเลยก็คงแปลก แต่คุณปีกใหญ่นี่ก็แปลกเกิ๊น ไม่มีอะไรแปลกกว่านี้แล้วมั้ง วันนี้พอก่อนนะ หนูตั้งรับไม่ทันแล้วค่ะ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD