บทที่2.3

1738 Words
“กา กา...” ขณะเตรียมยกสองมือทึ้งศีรษะ น้องนกตัวน้อยที่เผลอลบลืมไปชั่วขณะว่าก็มีบทบาทเหมือนกันพลันบินมางับเส้นผม ออกแรงดึงกึ่งกระชากให้ฉันไปจากตรงนี้สักที ว่ากันว่าอีกาเป็นสัตว์ที่ฉลาด แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยวอแวคนเท่าไหร่นัก ผิดกับเจ้านี่ลิบลับ “โอเค ไปก็ไป” เพราะคิดว่าเจ้านี่อาจกำลังพาฉันไปเจอเจ้าของบ้านซึ่งอาจให้คำตอบที่กระจ่างชัดแก่ฉันได้ จึงยอมไหลตามแรงนำพาของมัน ตึง!! ทว่าเท้าสัมผัสบันไดเพียงขั้นที่สามเท่านั้น เสียงคล้ายบางอย่างล้มตึงพลันดังสนั่นจนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามทิศทางของเสียงซึ่งมาจากชั้นบนฝั่งขวา “เสียงอะไรน่ะ?” “กา!” อีกาตัวเดิมแผดเสียงแสบแก้วหู เหมือนกำลังหงุดหงิดที่ฉันให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่าตัวเอง ทั้งยังออกแรงดึงปลายเส้นผมจนมันแทบหลุดติดจะงอยปากแหลมคมนั่นได้อยู่รอมร่อ “หรือว่าเป็นเสียงของนายพรานคนนั้นที่ช่วยเราไว้?” ฉันไม่สนใจพฤติกรรมประหลาดของเจ้าสัตว์ปีกตรงหน้า เลือกปัดมันออกแล้วเดินย้อนกลับไป โชคดีที่บันไดทางขึ้นค่อนข้างเด่น ใช้เวลาไม่กี่วินาทีจึงก้าวฉับมาถึงชั้นสามได้สำเร็จ ตึง! ไม่ต้องเดินไล่หาว่าต้นตอของเสียงมาจากตรงไหน เพราะเสียงดังกล่าวดังขึ้นต่อเนื่องกันเป็นหนที่สอง ฉันหันขวับไปทางขวา พบประตูห้องทั้งหมดสามบาน บานแรกกับบานสุดท้ายปิดสนิท ส่วนตรงกลางก็ดูกลมกลืนไม่ต่างจากบานอื่น ทว่าหน้าประตูห้องดังกล่าว...ดันมีอีกาสองตัวยืนสงบนิ่งคล้ายบอดี้การ์ด ท่าทางฉลาดเฉลียวไม่ต่างจากอีกตัวที่เพิ่งบินตามมาสมทบกับเพื่อน ๆ รู้อีกที อีกาตัวที่สามก็ร่วมวงกับผองเพื่อน ก่อนเปลี่ยนมายืนประจันหน้าอย่างพร้อมเพรียง ตึง! “อึก...” ใจจริงก็อยากศึกษาพฤติกรรมของเจ้าสัตว์ปีกเหล่านี้อยู่หรอก แต่เสียงตึงตังจากด้านในมีอิทธิพลมากกว่า ฉันจึงใช้เท้าเขี่ย ๆ ให้พวกมันถอยออกไปก่อน จากนั้นลองหมุนลูกบิด ทว่ามันกลับถูกล็อก สาบาน เมื่อครู่นี้หูฉันไม่ได้ฝาดไปแน่ เพราะนอกจากเสียงตึงและแรงสั่นสะเทือน ฉันได้ยินคล้ายเสียงร้องผะแผ่วในลำคอของผู้ชาย โทนเสียงนั่นฟังยังไงก็เหมือนคนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ยอมรับว่ายังหาคำตอบมาอธิบายไม่ได้สักอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ฉันมันเป็นพวกจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องอยู่แล้วไง กับงูพิษที่โดนรถเหยียบฉันยังช่วยชีวิตแล้วพามันกลับบ้านได้ นับประสาอะไรกับคนคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้างนั่น จะโดนครหาว่าสาระแนในภายหลังก็ไม่สนหรอก จิตใต้สำนึกมันร่ำร้องให้ฉันทำ “คุณ! โอเคไหมคะ เกิดอะไรขึ้น” ฉันเคาะประตูพร้อมตะโกนถามสุดเสียง ระหว่างนั้นไอ้เจ้านกน้อยทั้งสามพร้อมใจกันบินเข้ามาจิกหัวจิกแขนอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันจึงแหกปากโวยวาย ยกมือสะเปะสะปะ “โอ๊ย ไรเนี่ย ถอยออกไปนะ ก็กำลังจะช่วยเจ้านายของพวกแกนี่ไง” “กา! กา!” เสียงร้องแสบหูดังระงมตามมา และยังโจมตีกันแบบไม่ลดราวาศอก บันเทิงจริงชีวิต อะไรนักหนาก็ไม่รู้ ยกมือปัดป่ายสู้รบกับอีกาทั้งสามอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นวิ่งไปหาของที่อาจจะทำลายกลอนประตูได้ แต่เพราะไม่คุ้นเคยกับที่นี่ อีกทั้งไม่รู้ว่าตรงไหนมีอะไรบ้าง จึงลงบันไดมายังชั้นสอง พุ่งเข้าห้องที่ตัวเองนอนพักตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนเลือกหยิบเชิงเทียนทองเหลืองที่ดู ๆ แล้วมูลค่าคงไม่ใช่เล่น ๆ มาใช้เป็นค้อนชั่วคราว ฉันกลับมา ณ จุดเกิดเหตุในหนึ่งนาทีให้หลัง ไม่สนบรรดาสัตว์ปีกที่เริ่มจู่โจมกันอีกครั้ง ทนเจ็บจากการถูกจะงอยปากแหลมคมจิกจนซิบเลือดแล้วใช้เชิงเทียนฟาดลงตรงลูกบิด กินเวลานานราวครึ่งนาทีความพยายามก็ประสบผลสำเร็จ... แกร็ก “คุณ เป็นอะ...” ฉันพุ่งพรวดเข้าไปในห้องดังกล่าว แต่แล้วสองเท้าจำต้องชะงักเมื่อพบว่าเบื้องหน้าตัวเอง...ปรากฏสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่ามนุษย์ ไม่สิ ถ้าให้พูด ภาพที่ฉันเห็นมันเป็นวินาทีที่ผู้ชายคนหนึ่งมีปีกขนาดมหึมาทะลุออกจากแผ่นหลัง...ผิวเนื้อที่ปริฉีกเฉียบพลันส่งผลให้ของเหลวสีแดงฉานสาดกระเซ็นเต็มพื้นและผนังห้อง ตามด้วยปีกสีดำทะมึนที่สยายขึ้นต้องแสงดวงจันทร์...ก่อเกิดเป็นเงาน่าเกรงขามบนผนังที่เพิ่งถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดง เคร้ง! ผลพวงของความตกใจทำเอามือไม้อ่อนปวกเปียกจนเชิงเทียนหล่นกระแทกพื้น ก่อนที่เท้าซ้ายจะก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติเมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาจากตอนแรกนั่งหันหลังให้ประตูค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้ากระทั่งสามารถยืนได้เต็มความสูงของตนเอง...ส่งผลให้เงาดำบนผนังขยายใหญ่ขึ้นดุจมัจจุราช จุดปริมาณความพรั่นพรึงในหัวใจมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทว่าเมื่อเทียบกับตอนที่ร่างนั้นหันกลับมาเผชิญหน้า เผยริ้วคล้ายเส้นเลือดสีดำแตกแขนงทั่วผิวกายเปลือยเปล่าด้านบน ไม้เว้นแม้กระทั่งกรอบหน้า ลำคอ และอาจรวมถึงใต้ร่มผ้าส่วนล่าง เคลื่อนไหวยุบยิบเหมือนไวรัสมรณะที่กำลังยึดครองร่าง ความหวาดหวั่นพลันทวีคูณกว่าเดิมจนหายใจแทบไม่ออก แต่ตลกร้ายดีเหมือนกันนะ เพราะในขณะที่ความกลัวมีบทบาทโดยสมบูรณ์ มันกลับมีอีกความรู้สึกแทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบงัน อาจเพราะนัยน์ตาแดงก่ำแสนอิดโรย เพราะคราบน้ำตาฉ่ำชื้นใต้กรอบตาอันบอบช้ำ และเพราะความทุกข์ทรมานที่ฉายชัดผ่านแววตาลึกล้ำคู่นั้น...จากที่ควรวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต กลับยืนแน่นิ่ง มองสบตาเขาแม้สองขาจะสั่นเทิ้ม ฉี่แทบราดก็ตามที อาจด้วยนิสัยพื้นฐานของฉันที่มักหลงใหลในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเข้าขั้นหมกมุ่นละมั้ง ความกลัวจึงมักมาพร้อมความรู้สึกอื่น ๆ ที่คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใจได้เสมอ ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกป้าข้างบ้านตราหน้าว่าเป็นเด็กพิลึก เป็นเจ้าหนูประหลาดแห่งลางร้ายเหรอ “อึก...” สบตากันเพียงชั่วอึดใจก็เป็นฝ่ายนั้นที่ซวนเซไปด้านหลัง เขายกมือขวาซึ่งถูกริ้วสีดำกลืนกินไปครึ่งท่อนขยุ้มกลางอก จิกแน่นจนเนื้อบริเวณดังกล่าวซิบเลือดทันตา “กา กา!” พลันนั้นเองอีกาทั้งสามก็โฉบผ่านหน้าฉันไป ส่งเสียงร้องระงมขณะบินรอบกายเขา ท่าทางร้อนรนกระวนกระวายของพวกมันดูยังไงก็เหมือนกำลังห่วงใยมากกว่าจะปองร้าย แน่นอนภาพนั้นทำให้ฉันประหลาดใจเข้าไปใหญ่ หรือเหตุผลที่พวกมันพยายามห้ามปรามไม่ให้ฉันเข้ามา...เป็นเพราะสิ่งนี้? “...ถอย พวกแกนี่น่ารำคาญจริง” สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแลคุ้นหูอย่างประหลาดเล็ดลอดผ่านกลีบปากหยักบาง สิ่งมีชีวิตที่ฉันไม่อาจนิยามยกมือปัดกลุ่มอีกาตัวน้อยอย่างขอไปที ก่อนเดินโซซัดโซเซไปยังหน้าต่างห้องแล้วทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างต่อหน้าต่อตา! “กา!” “กา!!” “กา!!!” อีกาทั้งสามประสานเสียงลั่นสนั่น พุ่งตัวตามร่างสูงที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากปีกของตัวเอง เพราะเมื่อฉันวิ่งตามไปเกาะขอบหน้าต่าง พบว่าชายคนนั้นหาได้โผบินกลางอากาศ แต่กลับนอนประคองสติอันเลือนรางอยู่บนพื้น...ท่ามกลางกองเลือดขนาดใหญ่ของแผลซึ่งเกิดจากความสูงและแรงกระแทก “คุณ...!” เสียงฉันสั่นพร่าจากความตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้าง แม้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่คืออะไร เป็นความฝันหรือความจริง แต่ท้ายที่สุดฉันก็ทลายความสับสนนั้นทิ้งไปชั่วครู่ รีบวิ่งออกจากห้อง สับเท้ารัวเร็วมาถึงชั้นล่างได้สำเร็จ ทว่าเมื่อประตูเปิดกว้าง สิ่งที่ฉันพบกลับมีเพียงกองเลือดและรอยครูดถากบนพื้นดินซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าเขาคงพาร่างกายอันยับเยินไปที่ไหนสักที่... สมองออกคำสั่งให้เดินตามร่องรอยพวกนั้น แต่ไม่ทันไรสายฝนห่าใหญ่พลันเทกระหน่ำ รุนแรงตั้งแต่คราวแรกจนร่างกายเปียกโชกชั่วพริบตา ฉันวิ่งกลับเข้าปราสาทใหญ่โตที่เพิ่งสังเกตว่ามันตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าเขา ไม่มีแสงลิบลิบในระยะสายตา ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งปลูกสร้างอื่นใดนอกจากพืชพรรณนานาชนิดที่โอบล้อมสถาปัตยกรรมโบราณอันเงียบเหงาแห่งนี้ ฉันยืนลูบแขนสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายพลางสำรวจวิวป่าที่ตัวเองหลงใหล ทว่าเวลานี้กลับดำมืด ลึกลับชวนให้พิศวงแตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ หากคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ภาพตรงหน้าคงเป็นป่าอนธการ และคงเป็นจุดที่ฉันยังเดินมาไม่ได้ถึง ระดับความลึกคงเกินจินตนาการ เพราะขนาดทอดมองสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากความมืด แม้กระทั่งดาวบนท้องฟ้าก็ช่างริบหรี่และเลือนราง “โอ๊ย ปวดหัวโว้ย ประสาทจะแดก” เพราะหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้สักที ฉันจึงยกมือขยุ้มเส้นผม ดึงทึ้งจนหนังศีรษะเจ็บร้าว ครึม! จวบจนท้องฟ้าคำรามลั่นอีกระลอก ภาพของสิ่งมีชีวิตปริศนาพลันผุดวาบขึ้นกลางหัว ตอกย้ำให้ฉันกลับมาครุ่นคิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ยืนหลบฝนแล้วเอาแต่สันนิษฐานไปเรื่อย “ถ้าจำไม่ผิด เจ้าปีกใหญ่นั่นพูดได้นี่เนอะ” ฉันพึมพำเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อหลายนาทีก่อน แม้เขาจะสื่อสารกับอีกาทั้งสาม แต่กลับเป็นภาษาที่ฉันเข้าใจ “...คงมีแค่เขาแล้วมั้งที่จะให้คำตอบเราได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD