บทที่2.2

1333 Words
นัยน์ตาสีดำขลับของทั้งคู่คล้ายจะขมุกขมัวขึ้น “งั้นระหว่างนี้พวกแกก็ออกไป” นิธิศขับไล่เพื่อนรักทั้งสองออกจากห้องพักของตน เพราะรู้ดีว่าภาพตอนเขากลายสภาพเป็นสิ่งวิปลาสนั้นไม่น่ามองเท่าไหร่ “ฝากดูแล ‘เจ้าหนูนั่น’ ด้วย ไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันกลับมา” จบการบรรยาย ... ฉันสะลึมสะลือตื่นจากความฝันอันแสนแฟนตาซี อุณหภูมิเย็นเยียบคือสิ่งแรกที่ผิวกายรับรู้ได้ ก่อนจะชะงักงันเมื่อพบว่าเพดานอันแสนคุ้นตากลายเป็นวอลเปเปอร์โบราณคร่ำคร่า ขยี้ตาสองสามทีเพื่อให้หายขาดจากความง่วงทว่าสิ่งที่ประจักษ์ชัดกลางม่านตากลับไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม พรึ่บ! ฉันกระเด้งตัวขึ้นนั่ง หันซ้ายหันขวาสังเกตรอบข้างตามสัญชาตญาณ ความอยากรู้อยากเห็นผสานอาการตื่นตระหนกเมื่อพบว่าสถานที่แห่งนี้คือห้องสี่เหลี่ยมขนาดราว ๆ สามสิบตารางเมตร เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแลดูวินเทจจนน่าพิศวง ทั้งตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ฝั่งซ้ายมือ กระจกทรงมนล้อมกรอบด้วยไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตพิถีพิถัน เชิงเทียนทองเหลืองบนโต๊ะเครื่องแป้งอันว่างเปล่า รวมถึงเตียงขนาดห้าฟุตที่ฉันนั่งอยู่...ก็ดูเป็นเฟอร์นิเจอร์สมัยโบราณที่ไม่เข้ากับยุคสมัย เดี๋ยวนะ ขอตั้งสติแป๊บ... ฉันยกมือคลึงขมับขณะเรียบเรียงสติสตังที่พังยับเยินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กระทั่งภาพเหตุการณ์เริ่มเข้าที่เข้าทาง ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน จวบจนเข้าป่าถ่ายฟุตเทจ กระทั่งเจอสัตว์ใหญ่จู่โจม... เกือบตายอยู่รอมร่อ แต่ก็ได้นายพรานสุดลึกลับคนหนึ่งช่วยเหลือเอาไว้ ดังนั้นห้องนี้ อาจเป็นหนึ่งในห้องพักของเขา...ละมั้ง เมื่อคำตอบเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ฉันจึงหันซ้ายหันขวาอีกครั้ง ลนลานหาโทรศัพท์มือถือ กล้อง หรือกระเป๋าเป้ที่นายพรานคนนั้นอาจหิ้วมาพร้อมฉันระหว่างพามาที่นี่ ทว่านอกจากเฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ที่กล่าวมากลับไม่มีสิ่งใดที่ฉันต้องการเลย แต่เอ๊ะ... ขณะที่สมองเริ่มจินตนาการว่านายพรานคนนั้นอาจลอกคราบเป็นโจรขโมยของในภายหลัง สายตาพลันวาดผ่านผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองอยู่ ภาพความรุนแรงตอนโดนสัตว์ป่าขย้ำจนเนื้อฉีกขาดผุดขึ้นกลางหัว ทว่าความเจ็บปวดที่ฉันควรได้รับกลับเหือดหาย ความสงสัยสั่งให้ตลบผ้าห่มออก กระทั่งพบว่าขาทั้งสองข้างนอกจากไม่มีรอยขีดข่วน ผิวเนื้อที่ปริจนเห็นกระดูกก็สมานตัว ไร้ร่องรอย ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าฉันเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา “หรือตายไปแล้วกันแน่วะ...” ความงงทำเอาสมองฉันพร่าเบลอจนสันนิษฐานถึงชีวิตหลังความตาย และนี่อาจเป็นนรกหรือสวรรค์ที่ต่างไปจากภาพจำในวัยเด็ก เพียะ! ฉันตบหน้าเรียกสติตัวเอง ความรุนแรงทำเอาผิวแก้มแสบผ่าว “กา กา...” ระหว่างสู้รบตบตีกับตัวเองเฉกเช่นคนเสียสติ เสียงร้องทักพลันดังแทรก ครั้นหันไปยังทิศทางของเสียงก็พบว่าเป็นอีกาตัวหนึ่งซึ่งเพิ่งบินจากขอบหน้าต่างข้างหัวเตียงมาเกาะบนผ้าห่มที่ฉันเพิ่งตลบออก นัยน์ตาดำขลับจับจ้องกัน... “กา กา...” และส่งเสียงร้องเหมือนอยากสื่อสาร “...?” ฉันเอียงคอเล็กน้อย ภาพนี้รีมายด์กับเหตุการณ์ก่อนถูกสัตว์ป่าขย้ำ เจ้านกตัวนั้นที่ฉันช่วยทำแผล...ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง จริงว่าสัตว์อย่างอีกานั้น ภายนอกคล้ายคลึงกันมากจนแยกแทบไม่ออก แต่ฉันแน่ใจว่าเจ้าตัวมืดมนนั่นเป็นคนละตัวกับตรงหน้า ขนาดตัวต่างกัน แววตาต่างกัน จะงอยปากต่างกัน กลิ่นอายต่างกัน และที่สำคัญ...ปีกซ้ายของเจ้าตัวปัจจุบันสมบูรณ์ดี แต่ตัวก่อนหน้านี้มีบาดแผลขนาดเท่าหัวแม่มือ “กา...” เจ้ากาตัวน้อยส่งเสียงอีกครั้ง ก่อนบินมางับแขนเสื้อ กระพือปีกขึ้นลงพรึ่บพรับอยู่กับที่เหมือนกำลังบอกผ่านการกระทำว่าให้ฉันลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว ฉันพยายามจับต้นชนปลาย ทั้งข้าวของที่หายไป ทั้งบาดแผลที่ไม่เหลือร่องรอยให้ดูต่างหน้า แต่ก็งุนงงเกินกว่าจะเข้าใจได้อย่างฉับพลัน จึงลงจากเตียง ปล่อยให้เจ้านกดำปริศนาบินนำหน้าไปแม้สมองยังทำงานได้ไม่เต็มที่ อา แปลกชะมัด นอกจากไม่มีร่องรอยถูกทึ้ง ความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจเองก็หายเป็นปลิดทิ้ง ก้าวเดินได้ปกติจนน่าประหลาด นี่ฉัน...อยู่ในภาวะฝันซ้อนฝัน หรือแท้จริงตายไปแล้วกันแน่? เป๊ง เป๊ง เป๊ง! หลุดเข้าภวังค์อันฟุ้งซ่านเพียงชั่วครู่เสียงคล้ายระฆังก็ดังสนั่น และแทบไม่ต้องจับทิศทางของเสียงให้เสียเวลา เพราะเมื่อเท้าก้าวออกจากห้อง หยุดยืนอยู่หน้าประตู เพียงทอดสายตาตรงไปข้างหน้าก็พบเข้ากับนาฬิกาโบราณแบบไขลานขนาดใหญ่ มันถูกแขวนติดผนังในความสูงซึ่งอยู่เหนือศีรษะฉันราวหนึ่งคืบ... คะเนจากสายตา ฉันกับนาฬิกาโบราณเรือนนั้นมีระยะห่างระหว่างกันราวสามเมตรครึ่ง ทว่าด้วยขนาดที่มโหฬารตระการตา จึงสามารถมองเห็นเข็มสั้นและเข็มยาวตรงเลขสิบสองชัดแจ๋ว สิ่งนั้นช่วยยืนยันว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ดึกขนาดนี้แล้วสินะ... ฉันย่ำเท้าเปล่าเปลือยบนพื้นเย็นเฉียบ ตรงไปยังนาฬิกาเรือนนั้นเพราะฉงนสงสัยในอายุอานามของมัน เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก็พบร่องรอยตามกาลเวลาบนรอยฉลุของผิวไม้ คราบกระดำกระด่าง และการออกแบบที่หากบอกว่าเป็นศิลปะช่วงร้อยปีก่อนคงไม่เกินจริง นายพรานชุดดำคนนั้นเป็นพวกสะสมของเก่าเหรอ? ไม่สิ... หากลองกวาดสายตาพิจารณาดูโดยรอบยิ่งทึ่งปนประหลาดใจ เพราะนอกจากเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนั้น รวมถึงนาฬิกาโบราณเรือนนี้ สิ่งที่ฉันเข้าใจว่าเป็นเพียงบ้านพัก...ยังใหญ่โตโอ่อ่าจนอาจเรียกได้ว่าเป็นปราสาทหลังหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ฉันขยับเท้าไปทางขวาด้วยนิสัยที่มักกระหายอยากในคำตอบ ยืนเกาะราวระเบียงพลางลดระดับสายตาลงต่ำ ก่อนพบโถงกว้างอันว่างเปล่าและแสนเงียบสงัด ณ พื้นเบื้องล่างซึ่งคงเป็นชั้นหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ ฉันเห็นแสงไฟรำไรจากเทียนเล่มหนึ่งที่หลอมละลายจนสั้นกุดบนเชิงเทียนทองเหลืองข้างประตูฝั่งขวา และข้างประตูอีกด้าน...เห็นดอกไม้เหี่ยวเฉาไร้การดูแลในแจกันสีเทาบนโต๊ะไม้ทรงกลม พื้นถูกปูทับด้วยพรมสีขาวขุ่นลวดลายแปลกตา แลดูขมุกขมัวใต้แสงเทียนอันริบหรี่ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาก็ไม่พบสิ่งใดอีก โล่งโจ้งเสียจนให้ความรู้สึกราวบ้านร้างไร้ผู้อาศัย “มาเวย์นี้ คงฝันแหละ แต่ฝันประหลาดเกินไปปะวะ ใช่เหรอ...” ภาพตรงหน้า กอปรกับความทรงจำสดใหม่ทำเอาฉันสับสนจนไม่กล้าการันตี เพราะเคยอยู่ในภาวะ Lucid Dream* [1]ฉันจึงจำแนกความรู้สึกระหว่างการควบคุมความฝันของตัวเองกับโลกแห่งความเป็นจริงได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นอกจากเหมือนจริงจนน่าตกใจ ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ยังฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกทุกอณูประสาท ทว่าผิวเนื้อที่ควรฉีกขาดเพราะถูกโจมตีจากสัตว์ป่าดันหายไปเหมือนมีเวทมนต์เนี่ยสิ ใครไม่งงก็บ้าแล้ว หรือหากให้เดาถึงความเป็นไปได้นอกเหนือจากนี้ เห็นทีคงมีแต่ฉันที่เสียสติ อาจช็อกจากการโดนเจ้าตัวยักษ์นั่นทำร้ายจนกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตขึ้นมา โอ๊ย ไม่รู้โว้ย! [1] Lucid Dream = ภาวะลูซิดรีม หรือก็คือ การที่สามารถควบคุมความฝันได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD