“อินไปยังไงครับ”
“ผมไปส่งเองครับ คุณอินให้นังอ้อยไปเรียกผมตอนตีสี่ แต่ให้ผมไปส่งแค่ที่หน้าปากซอยนะครับ ผมคะยั้นคะยอจะไปส่งให้ถึงที่แต่คุณอินเธอก็ไม่ยอม เธอไล่ให้ผมกลับมาเลย ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
ที่อุรัตน์นรินทร์ไม่ยอมให้ลุงฉัตรไปส่ง ก็คงเพราะกลัวว่าเขาจะรู้นั่นแหละ ว่าเธอหนีไปอยู่ที่ไหน
“แล้วไม่มีใครคิดจะบอกผมเลยเนี่ยนะครับ”
“คุณอินเธอสั่งไว้ว่าไม่ให้บอกคุณหนู แม่เองก็ลำบากใจ คุณอินก็เป็นนาย แต่แม่ว่าคุณหนูน่าจะลองไปตามเธอตามบ้านเพื่อนดูนะคะ คุณอินไม่น่าจะใจแข็งนัก โกรธอะไรกันก็คุยกันดีๆ นะคะเชื่อแม่”
ปราปต์ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกดีใจ มันค่อนข้างสวนทางกันซะด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิตเขาและอยู่ๆ ก็จะเดินออกไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ
“จำเป็นเหรอครับที่ผมต้องทำอย่างนั้น ถ้าเธอไปเองได้ ก็คงกลับเองได้ ผมมีงานที่ต้องทำ คงไม่มีเวลาให้กับเรื่องไร้สาระหรอกครับ”
ในเมื่อเธอเป็นคนเลือกจะไปเอง แล้วทำไมเขาจะต้องเดือดร้อนไปตามให้วุ่นวายด้วย แต่เชื่อเถอะว่าอีกแค่ไม่กี่วันเขาก็จะลืม... ลืมว่าเคยมีภรรยาที่ชื่ออุรัตน์นรินทร์
เจ้านายหนุ่มว่าเสร็จก็หุนหันเดินออกไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่พูด
“ยายพิมพ์คะ ทำไมคุณปราปต์ใจร้ายจัง คุณอินเธอออกจะเป็นคนดี น่ารัก เกิดมาหนูยังไม่เคยเห็นใครทั้งสวย ทั้งจิตใจดีขนาดคุณอินเลยแล้วทำไมคุณปราปต์ถึงดูไม่รักคุณอินบ้างเลยล่ะคะ”
พอปราปต์เดินออกจากบ้านไปได้ไม่นาน ขวัญใจสาวใช้ในบ้านก็ไม่รอที่จะพูดความในใจออกมาให้คนสูงวัยกว่าได้ฟัง
“ก็เพราะคุณหนูยังไม่รู้ใจตัวเองละมั้ง คนที่เคยได้มาตลอด พอเสียอะไรไปก็มีสิ่งใหม่ที่ดีกว่ามาทดแทนเสมออย่างคุณหนู จะไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายมันหรอก แต่ถ้าวันหนึ่งของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะมาทดแทนกันได้ ยายก็หวังว่าวันนั้นมันอาจจะไม่สายเกินไป ที่คุณหนูจะมีโอกาสได้ครอบครองมันอีกครั้ง”
ร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่กับบ้าน มัดผมหางม้าตรงท้ายกะหม่อมที่กำลังเข็นรถใส่ของไปเรื่อยๆ ในห้างสรรพสินค้า ช่างดูเหมือนเด็กกะโปโลหรือน้องเฟรชชี่ปีหนึ่ง ที่กำลังมาจับจ่ายของใช้เข้าหอพัก ยิ่งของแต่ละอย่างที่หญิงสาวซื้อ ทั้งตะกร้าใบน้อย ไม้แขวนเสื้อ น้ำดื่มทั้งแพ็กและของใช้ส่วนตัวอีกนิดหน่อย ยิ่งมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
“ตะวันไม่ชอบใจเลยที่อินต้องลำบากแบบนี้ ตอนออกมาจากบ้านนั้นอินยังเหมือนเจ้าหญิงแสนสวย บอบบางน่าทะนุถนอม แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงอินกลับเหมือนนางแจ๋วก้นครัวหัวฟูไปซะงั้น”
‘ธารตะวัน’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่อุรัตน์นรินทร์มีและนึกถึง บ่นกระปอดกระแปดตั้งแต่ออกจากคอนโดฯ เมื่อชั่วโมงที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เลิกบ่น
เจ้าหญิงตกยากแค่นยิ้มเศร้าๆ แล้วพูดกับเพื่อนสาว
“ที่จริงอินก็เป็นนางแจ๋วจริงๆ นั่นแหละ แค่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในความฝันที่สวยงาม เหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆ พักนึง แต่สุดท้ายนางฟ้าตัวปลอมอย่างอินก็ต้องตกลงมาจากสวรรค์อยู่ดี”
เธอไม่ได้พูดเกินจริง ลูกสาวนายตำรวจชั้นผู้น้อยกับแม่ที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้ร่ำรวยใช้ชีวิตเลิศหรูเกินตัวได้ แม้หนึ่งปีที่ผ่านมาเธอจะได้แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ของตระกูลปรากรณ์ ได้ใช้ชีวิตปานเจ้าหญิง มีคนรับใช้นับสิบ ได้อยู่บ้านหรูหราใหญ่โต ข้าวของเครื่องใช้มีแต่ของดีราคาแพง มีคนห้อมล้อมรักใคร่ แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องจริง เธอรู้ดีว่ามันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น และวันนี้ก็ถึงเวลาที่เธอต้องปลุกตัวเองให้ตื่น
“แต่อย่างน้อยอินก็น่าจะได้สินสอดติดตัวมาบ้างนี่ จะได้ไม่ต้องอัตคัดขนาดนี้ จะซื้อจะใช้อะไรก็คิดคำนวณแล้วคำนวณอีก ขืนประหยัดอยู่แบบนี้ จากที่ผอมอยู่แล้วอีกไม่นานอินของตะวันคงเหลือแต่กระดูก”
“ไม่เอาหรอก อินไม่อยากต้องติดค้างอะไร ‘เขา’ อีก”
อุรัตน์นรินทร์เลือกที่จะพูดถึงอดีตสามีด้วยถ้อยคำที่ห่างเหินที่สุด... มันคงมีสักวันที่เธอจะลืมเขาได้ และเขาจะเป็นแค่คนอื่นสำหรับเธอจริงๆ
“ติดค้งติดค้างอะไรกัน เขาเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ขนาดนั้น ออกจะร่ำรวยล้นฟ้า เงินแค่ไม่กี่ล้านให้เมียมาตั้งตัวหน่อยไม่ได้หรือไง...”
ธารตะวันต้องหยุดพูดกลางคันเมื่อเห็นเพื่อนก้มหน้า เม้มปาก แถมยังทำหน้าเศร้าสลดจนน่าสงสารขนาดนั้น
“โอเคๆ ตะวันไม่พูดแล้วก็ได้ งั้นเดี๋ยวอินเลือกของไปก่อนนะ ตะวันขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”
อุรัตน์นรินทร์พยักหน้ารับ พอธารตะวันเดินลิ่วๆ ออกไปแล้ว เธอเลยเดินเข็นรถเข็นไปเรื่อยเปื่อย เอาของที่ซื้อไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินรอเพื่อนอยู่แถวที่ไม่ห่างจากหน้าห้องน้ำนัก แต่ระหว่างเดินอยู่หญิงสาวกลับต้องหยุดมองอะไรบางอย่าง...
ภาพหนุ่มสาวคู่รักป้อนไอศกรีมให้กัน เช็ดมุมปากให้กัน รอยยิ้มสดใสที่เธอเห็นผ่านกระจกเข้าไปในร้าน ทำให้อุรัตน์นรินทร์อดใจหายไม่ได้... ครั้งหนึ่งปราปต์ก็เคยพาเธอมาร้านไอศกรีมนี้แต่เป็นคนละสาขา เห็นอย่างนั้นแต่เขาชอบกินไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจเลยละ
แม้วันนั้นปราปต์จะค่อนข้างรำคาญใจที่ต้องมากับเธอ ทำท่าหงุดหงิดงุ่นง่าน มองเธอตาขวางๆ แต่พอไอศกรีมที่เธอสั่งมาเสิร์ฟเขาก็กินมันหมดทั้งของตัวเองและของเธอด้วย เธอยังสังเกตเห็นว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง
แม้จะไม่มีอะไรหวานๆ น่ามอง แบบคู่รักหรือสามีภรรยาคนอื่น แต่เธอกลับจำเหตุการณ์วันนั้นได้ติดตาติดใจเหลือเกิน
“อินๆ”
คนคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อน
“อินซื้อของเสร็จแล้วใช่มั้ย งั้นเรากลับคอนโดกันเถอะ ตะวันอยากกินกับข้าวฝีมืออินจะแย่”
“ไปสิ แต่เดี๋ยวอินขอตัวไปซื้อของอีกอย่างนะ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ไม่ได้หยิบมาด้วย”
“อินจะซื้ออะไรเหรอ ให้ตะวันไปซื้อให้มั้ย” ธารตะวันเสนอตัว เธอวิ่งปรู๊ดเดียวก็ถึงโซนขายของแล้ว วันนี้อุรัตน์นรินทร์เหนื่อยมามาก หน้าตาก็ดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรๆ ตะวันไปรออินที่รถเลยก็ได้ อินจะไปซื้อนมสดแป๊บเดียว”
“นม ??” ธารตะวันถลึงตาแป๋วๆ มองเพื่อน “เดี๋ยวๆ อินหันมาดื่มนมตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนได้กลิ่นทีก็เห็นจะอ้วกตลอด”
“เอ่อ... คืออินไม่ได้จะเอาไปดื่มเองหรอก”
“ถ้าไม่ดื่มเอง แล้วจะซื้อไปทำไมล่ะ” คนประหยัด ใช้เงินเป็นอย่างอุรัตน์นรินทร์ไม่มีทางจะซื้อของที่ไม่ได้กิน ได้ใช้ ไปเก็บไว้ให้เปล่าประโยชน์แน่ๆ
“อินจะเอาไปทำไอติมน่ะ”
บางทีอุรัตน์นรินทร์ก็นึกขันตัวเอง เธอไม่ชอบดื่มนม แค่ได้กลิ่นก็มีอาการอย่างที่เพื่อนบอกแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมก็นับอย่างได้เลยที่เธอจะกินได้... แต่ที่อยากซื้อไปทำไอศกรีมก็เพราะปราปต์ชอบ ตอนอยู่บ้านของเราเธอทำแช่ช่องฟรีซเอาไว้ให้เขาตลอด รวมถึงรสผลไม้สดๆ เขาก็ชอบ ตอนนี้มันเลยเป็นความเคยชินที่อยากจะทำ
... ถึงรู้ว่าจะไม่มีคนกินแล้วก็ตาม
“ที่คอนโดตะวันไม่มีเครื่องทำนะอิน”
อุรัตน์นรินทร์ยิ้มรับ พอเดาออกว่าธารตะวันคงไม่ค่อยได้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเยอะนัก เพื่อนเธอคนนี้ไม่ชอบทำอาหารแถมงานค่อนข้างยุ่ง แล้วเครื่องทำไอศกรีมก็ไม่ได้ถือเป็นของจำเป็นที่ต้องมีทุกบ้านด้วย
“อินว่าจะลองทำแบบโฮมเมดน่ะ น่าสนุกออก”
“เหรอๆ” สุดท้ายธารตะวันก็เออออห่อหมกไปกับเพื่อน อะไรที่อุรัตน์นรินทร์อยากทำก็ทำไป ดีกว่านั่งซึมเป็นไหนๆ “แล้วใครจะกินล่ะ”
“ก็... ก็ตะวันไง” พูดจบหญิงสาวก็เดินเลี่ยงออกมาก่อนที่จะถูกซักไซ้ไปมากกว่านี้ ก็อย่างที่เธอบอกธารตะวันไป ถึงไม่มีใครกินแต่เธอก็อยากทำ
... ขอเธอได้คิดถึงเขาอีกวันก็พอ