บทที่ 5

1565 Words
ตกเย็นอุรัตน์นรินทร์ก็มานั่งรอสามีตรงโต๊ะหินอ่อนไต้ต้นหูกวางที่หน้ากองบัญชาการตำรวจพิเศษ ซึ่งหน่วยงานที่ปราปต์สังกัดอยู่เป็นหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงกับท่านนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และปฏิบัติการแต่ละชิ้นล้วนเป็นความลับสูงสุด เธอรู้แค่ว่าเขาทำงานที่นี่ สำนักงานของหน่วยงานตั้งอยู่ที่นี่ แม้ส่วนมากเขาจะไม่ค่อยได้ประจำอยู่กับที่นักก็ตาม “คุณป้าคะ หนูขอชามะนาวแก้วนึงค่ะ” เธอร้องสั่งน้ำจากรถขายสารพัดน้ำปั่น น้ำชงใกล้ๆ ที่นี่แทบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือคุณนายของผู้กองปราปต์ ปรากรณ์ อาจจะมีคนพอจำได้บ้างเพราะเคยไปร่วมงานแต่ง หรือเห็นตอนที่เธอมานั่งรอปราปต์เลิกงานและไปบ้านใหญ่ด้วยกันอย่างวันนี้ แต่ก็น้อยคนนัก เพราะเธอไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ ด้วยกลัวลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขาจะกระวีกระวาดต้อนรับเธอให้ใหญ่โต และพาเข้าไปรอปราปต์ในห้องทำงาน ให้สามีต้องเสียสมาธิ “ตรงนี้แดดมันส่องพอดี ไปนั่งทางนั้นเถอะนังหนู ผิวบางๆ แดงหมดแล้ว” ป้าขายน้ำที่เดินเอาชามะนาวมาส่งบอกอย่างใจดี “ขอบคุณค่ะป้า” อุรัตน์นรินทร์ไม่เกี่ยงงอนที่จะเดินไปนั่งหลบมุมเลี่ยงแดด ตรงที่คุณป้าขายน้ำบอก ที่เธอไม่กล้าเข้าไปนั่งตรงนั้นตั้งแต่ทีแรกเพราะโต๊ะหินอ่อนตัวนั้นมันติดร้านของป้าเลย แถมป้ายังใช้วางของเล็กๆ น้อยๆ ด้วย อุรัตน์นรินทร์เป็นคนขี้เกรงใจจึงเลี่ยงออกมานั่งตรงที่มีแดดส่องอ่อนๆ แต่พอเย็นเข้าแดดก็เริ่มส่องเข้ามามากขึ้น “มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไรตรงนี้ฮึ” เสียงห้วนเบาที่เป่ารดศีรษะจนรู้สึกได้ทำให้อุรัตน์นรินทร์สะดุ้งน้อยๆ และยืดตัวตรงอัตโนมัติ “เปล่าค่ะ อินนึกว่าอีกครึ่งชั่วโมงพี่ถึงจะเลิกงาน งั้นเรารีบไปกันเลยก็ได้ค่ะ” เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องประหม่าเวลาสามีมองมาด้วยสายตานิ่งๆ แบบนี้ทุกที มันเหมือนกับเธอกลัวเพราะไม่รู้ว่าปราปต์คิดอะไรอยู่ และเขาจะต่อว่าอะไรเธออีก “ที่จริงก็คงเป็นอย่างนั้น ถ้าใครบางคนแถวนี้ไม่โทรมาบอกว่ารออยู่หน้าสำนักงาน เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาจุ้นจ้านที่ทำงาน บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้รออยู่บ้าน เดี๋ยวไปรับเอง ไม่รู้ว่าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือว่าดื้อกันแน่” อุรัตน์นรินทร์ก้มหน้าฟังคำบ่นยาวของสามี เถียงไปก็ใช่ทุกอย่างจะดีขึ้น รังแต่จะทะเลาะกันไม่รู้จบ และใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องมารอ... หนึ่งคือปราปต์ชอบเบี้ยวเอาเรื่องงานมาอ้างกะทันหัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปบ้านใหญ่... สองคือเธอไม่ต้องการให้ปราปต์ขับรถวนไปวนมาหลายรอบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เธอเคยบอกสามีไปแล้ว และเชื่อว่าคนความจำดีอย่างปราปต์คงไม่ต้องให้พูดย้ำ “เรารีบไปกันเถอะค่ะ ก่อนที่รถจะติดกว่านี้” ปราปต์นึกหมั่นไส้กับท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามทุกอย่าง ทุกคน ของอุรัตน์นรินทร์ซะจริง ขนาดโดนบ่น โดนว่ายังไม่สะทกสะท้าน เขายังเคยสงสัยว่าเจ้าหล่อนโกรธหรือโมโหใครเป็นบ้างมั้ย “นี่แฟนผู้กองเหรอคะ เห็นมานั่งรอสักพักแล้ว ป้าก็นึกว่ามารอใคร โอ๊ย... อย่างนี้ป้าก็อกเดาะรักคุดสิคะเนี่ย” “แฟนเฟินที่ไหนกันครับป้า ทั้งผอมแห้ง ทั้งขี้เหล่อย่างนี้ ถ้าเลือกได้ผมไม่เอาหรอกครับ” ปราปต์โปรยยิ้มหวาน และเหลือบมองคนยิ้มเจื่อนเป็นระยะ “มาๆ เอาชาเย็นของโปรดไปกินในรถนะคะผู้กอง เดี๋ยวป้าชงให้อร่อยเป็นพิเศษกว่าแก้วอื่นเหมือนเดิม” ป้าขายน้ำหน้าบาน ผู้กองปราปต์กับตำรวจคนอื่นๆ ที่นี่เป็นของเธอ (ในมโน) ทุกคน ปราปต์ยิ้มรับแล้วรอจ่ายเงินค่าน้ำ แม้ป้าจะไม่ยอมรับแต่เขาก็ต้องให้ “คิดรวมรวมกับของผู้หญิงคนนี้เลยนะครับป้า” พอจ่ายเงินค่าน้ำและรับเงินทอนเรียบร้อยแล้ว อุรัตน์นรินทร์ก็เดินตามหลังสามีมาที่รถเงียบๆ ยังติดใจกับคำว่า ‘ผู้หญิงคนนี้’ ของเขาไม่หาย ในสายตาปราปต์ ภรรยาที่เขานอนกกกอดด้วยทุกคืนเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นน่ะหรือ “อย่าเพิ่งออกรถนะคะ” อุรัตน์นรินทร์พยายามข่มความเศร้าแล้วเปล่งเสียงออกไป มือบางล้วงควานหยิบกระดาษทิชชูเปียกในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองขึ้นมาวางไว้บนตัก แล้วเอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดตำรวจของสามีออกทีละเม็ด “ทำไม จะจัดมื้อเย็นให้ผมตอนนี้เลยหรือไงคุณ เลือกสถานที่บ้างก็ได้น่า” อุรัตน์นรินทร์ทำเป็นไม่สนใจคำถากถางหาเรื่องของคนตัวโต แต่ตั้งใจปลดกระดุมเครื่องแบบของเขาออกจนถึงเม็ดสุดท้าย โดยที่ปราปต์ก็ให้ความร่วมมือด้วยการขยับตัวให้เธอดึงชายเสื้อของเขาออกจากกางเกงได้อย่างสะดวก “ถอดเสื้อนะคะ เดี๋ยวอินเอาไปแขวนให้” เธอเห็นหลังรถมีไม้แขวนเสื้อห้อยอยู่ เพราะปราปต์เป็นคนขี้ร้อนจึงมักจะถอดเครื่องแบบออกระหว่างขับรถกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอก เพราะสามีเธอไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องแบบมาทำงานทุกวัน พอจัดการแขวนเครื่องแบบของเขาไว้ที่เบาะหลังอย่างเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หันมาเช็ดหน้าเช็ดตา เรื่อยลงมาถึงลำคอ มือและแขนให้สามีด้วยทิชชูเปียก ตามด้วยทิชชูแห้งแบบนุ่ม “เดี๋ยวถึงบ้านเราอินจะนวดให้นะคะ บ่าพี่แข็งไปหมดเลย” เธอสัมผัสได้ตอนเช็ดลำคอให้เขา “จะนวดให้เพราะอยากโดนนาบหรือเปล่า อันที่จริงคุณนี่ก็ร้อนแรงไม่เบาเลยนะ แค่ไม่ได้เอ่ยปากขึ้นมาตรงๆ เท่านั้นเอง” อุรัตน์นรินทร์กำทิชชูในมือไว้แน่นตอนเห็นมุมปากของสามียกยิ้ม เมื่อคืนกว่าปราปต์จะยอมหยุดค้ากำไรเกินควรจากร่างกายเธอก็เกือบรุ่งเช้า ตื่นมาเธอจึงครั่นเนื้อครั่นตัวปวดเมื่อยไปหมด เหมือนจะมีไข้เล็กๆ ด้วย การที่ต้องทนกับวาจาจิกกัด หาเรื่องของเขาตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับทุกวัน ... เธอเหนื่อยเหลือเกิน พลังกายพลังใจนี้กำลังจะหมดลงในไม่ช้าแล้ว ปราปต์จะรู้บ้างมั้ย “พี่ปราปต์พอก่อนเถอะนะคะ อินยังไม่ได้หนีไปไหน อยากจะด่าจะว่า เก็บไว้วันอื่นบ้างก็ได้... อินขอร้อง” “ทนไม่ไหวก็เซ็นใบหย่าให้ผมซะสิ เขตอยู่ใกล้แค่นี้เอง เดี๋ยวผมขับรถตรงไปเลยเอามั้ยล่ะ” ยิ่งเห็นหน้าเมียซีดแล้วซีดอีก ปราปต์ยิ่งสนุกปาก อุรัตน์นรินทร์เห็นเขาออกรถไปจริงๆ ปากร้ายๆ ก็ยังไม่หยุดพูดจาถากถางเธอ “นี่ถ้าเราหย่ากันซะ ผมก็จะไม่ต้องถูกบังคับให้มาบ้านใหญ่แล้วทะเลาะกับพ่อทุกครั้ง คุณไม่รู้หรอกว่านอกจากเป็นภาระในชีวิตผมแล้ว คุณยังเป็นตัวซวยของผมด้วย ทำประโยชน์อะไรให้ผมก็ไม่ได้สักอย่าง วันๆ ได้แต่เดินนวยนาด อ่อนปวกเปียกเป็นคุณนายผู้กอง...” ปราปต์เงียบเสียงลงกะทันหันเมื่อมองกลับมาที่คนข้างๆ ที่นั่งเงียบไม่โต้เถียงใดๆ แล้วเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาทั้งตกใจ ทั้งโมโห ดีที่ตรงนี้มีซอยลูกรังแดงเล็กๆ ให้เลี้ยวเข้าไปหลบได้ เขาถึงไม่รอช้าที่จะใสหัวรถไปหลบไว้ที่ข้างทาง ก่อนที่จะกระชากมือเล็กออกมากำไว้แน่น “ทำบ้าอะไรห้ะ ! ไร้ยางอาย !” หญิงสาวหลับตาแน่น ทำให้น้ำที่เอ่อเต็มดวงตาหยดรินลงมาเป็นทาง มือที่ถูกบีบไว้ยังสั่นน้อยๆ ตามแรงสะอื้นไห้ “พี่ปราปต์อยากให้อินทำไม่ใช่หรือคะ อินไร้ประโยชน์ อินไม่มีความหมาย เรื่องเดียวที่พอจะทำให้พี่พอใจได้คือเรื่องนี้ หากมันจะทำให้พี่ไม่พาอินไปหย่า อินจะยอมพี่ตรงไหน ตอนไหนก็ได้ค่ะ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเปล่าที่ทำให้เธอใจกล้าบ้าบิ่นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีหวานไปหลายเม็ด จนหน้าอกที่เบียดชิดกันอยู่ในบราเผยโฉมออกมาทั้งสองก้อน และเพราะรู้แน่ว่ารถคันนี้ฟิล์มดำทึบทำให้มองเข้ามาจากภายนอกไม่เห็น มือเล็กจึงยังไม่หยุดที่จะปลดกระดุมเม็ดต่อไป ... แต่หากปราปต์ยังไม่พอใจ เธอจะปลดตะขอบราให้เขาด้วย ในเมื่อเขามองเธอไร้ค่า ไร้ยางอาย ก็ให้เธอจนตรอกเสียให้พอในสายตาของเขา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD