“จ๊ะยาย” หญิงสาวขานรับเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงชราใกล้ๆ เพราะยายสานั้นมีปัญหาเรื่องข้อเข่า จึงทำให้เดินเหินไม่ค่อยสะดวกนัก
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วย
ยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้
“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”
เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้า
ต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด
“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงินไปเล่นในบ่อนหมด พอจงมันสิ้นบุญไปยายก็เลยเอามาคืนให้เอ็ง”
ยายสาพูดขึ้นเพราะคิดว่าต้องรักน่าจะจำแหวนของมารดาได้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงชราด้วยน้ำตากบตาก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ
“ขอบคุณมากจ้ะยาย ขอบคุณที่เอามาคืนให้รัก”
“งั้นยายกลับบ้านก่อนนะ เอ็งก็พักผ่อนเสียเถอะเดี๋ยวจะไม่สบายไปเสียก่อน มะรืนนี้ก็วันเผาแม่เอ็งแล้วไม่ใช่รึ”
พูดพลางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ ต้องรักจึงรีบเข้าไปช่วยพยุง ใบหน้าเหี่ยวย่นยู่ลงเพราะอาการปวดหัวเข่าจึงยืนตั้งหลักนิ่งๆ สักพักก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าโดยมีหญิงสาวเจ้าของบ้านเดินไปส่งที่หน้าประตู
หลังจากปิดล็อกประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว ต้องรักก็หยิบแหวนที่อยู่ในถุงกำมะหยี่สีแดงนั้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาไหลรินรดลงบนพวงแก้มอีกครั้งพร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วเบา ยิ่งคิดถึงเรื่องราวความเป็นมาของแหวนวงนี้ที่มารดาเคยถ่ายทอดให้ฟังเมื่อหลายปีก่อนก็ยิ่งเจ็บแน่นในอกเพราะความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ยังคงท่วมท้นในความรู้สึก
แหวนวงนี้ บิดาของเธอเก็บหอมรอมริบอยู่นานกว่าจะเดินเข้าร้านทองเพื่อซื้อเป็นของขวัญให้มารดา ท่านทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างรายวันในโรงงานด้วยกันทั้งคู่ จึงได้มารักและตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยไม่มีงานแต่งงานใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น บิดาของเธอจึงอยากจะใช้แหวนวงนี้เป็นสิ่งแทนใจแทนความรักที่ท่านมีให้มารดาของเธอ
ต้องรักยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อหวนคิดไปถึงความทรงจำในวัยเยาว์ จำได้ว่าตอนนั้นครอบครัวมีความสุขตามอัตภาพ ถึงแม้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขา แต่ก็ไม่ได้อดอยากถึงขนาดว่าอดมื้อกินมื้อ บิดามารดาของเธอเป็นคนสมถะ ขยัน และอดออม จนกระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวได้ ท่านทั้งสองลาออกจากโรงงานมาขายของเต็มตัว ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น แต่ครอบครัวเธอก็เดินมาถึงจุดเลวร้ายในที่สุด
ตอนนั้นเธอเพิ่งเข้าเรียนประถมหนึ่ง ขณะเดินกลับจากโรงเรียนมาที่บ้านก็ได้รู้ข่าวจากชาวบ้านที่อยู่ละแวกเดียวกันว่าบิดาของเธอถูกลูกหลงจากการที่เด็กช่างกลยิงกัน เธอจึงนั่งรอมารดาอยู่ที่บ้านจนกระทั่งเห็นท่านกลับมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับข่าวร้ายที่ว่า บิดาของเธอสิ้นลมแล้ว...
ต้องรักบรรจงสวมแหวนอันเป็นอนุสรณ์ความรักของพ่อกับแม่ลงบนนิ้วนางข้างขวาของตัวเองพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลหยดลงบนหลังมือ แต่จู่ๆ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ...สร้อยข้อมือ”
ร่างเล็กรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองทันที เห็นแหวนแล้วเธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของต่างหน้าของบิดาอยู่อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆ สองเส้นที่ท่านเคยซื้อไว้ให้เพื่อรับขวัญตอนเธอลืมตาดูโลก ซึ่งทั้งสองเส้นนั้นมารดายังคงเก็บเอาไว้ให้เธออย่างดี เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นของต่างหน้าของบิดาที่ได้ให้เธอเอาไว้
หญิงสาวพุ่งไปที่หัวเตียงฝั่งที่มารดาเคยนอนอยู่ทันที จากนั้นจึงเปิดลิ้นชักเล็กๆ ออกมาดูแต่กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการหา มีเพียงยาประจำตัวของมารดา ทว่าไม่ปรากฏตลับวงกลมสีแดงสำหรับบรรจุสร้อยเลยแม้แต่เงา
ต้องรักจัดการรื้อหาทั้งหัวเตียงแต่ก็ไม่พบจนกระทั่งถอดใจ ปกติเธอชอบหยิบมันขึ้นมาดูเล่นเสมอ ยังเคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งเมื่อเธอมีลูก เธอจะให้ลูกใส่สร้อยข้อมือทั้งสองเส้นนี้ แต่มาพักหลังเธอไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไร จึงไม่รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว
พลันหญิงสาวนึกไปถึงคำบอกเล่าของนวล
‘รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ’
ต้องรักได้แต่กำมือแน่นด้วยความโกรธ ตั้งแต่มารดาเสียชีวิตจนกระทั่งสวดศพไปแล้วสามวัน ดิลกก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยแม้แต่น้อย จากที่เกลียดอยู่แล้วพอได้เพิ่มความโกรธแค้นเข้าไปด้วย ความรู้สึกจึงยิ่งทบทวี แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยแช่งชักหักกระดูกคนชั่วไปวันๆ เท่านั้น
ดึกสงัดคืนนั้น บ้านแต่ละหลังต่างปิดประตูเพื่อพักผ่อนบ้านใครบ้านมัน จึงไม่มีใครเห็นร่างตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังไขประตูหน้าบ้านของต้องรักอย่างเงียบเชียบ เมื่อเปิดประตูได้แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆ ก้าวขาเข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิม ร่างนั้นอาศัยความเคยชินที่มีเดินตรงดิ่งไปยังบันไดบ้าน จดฝีเท้าก้าวขึ้นชั้นบนราวกับย่องจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของต้องรัก
มือใหญ่จับลูกบิดหมุนอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน แสงไฟจากริมถนนช่วยให้มองเห็นหญิงสาวที่นอนหลับสนิทได้อย่างชัดเจน ร่างนั้นค่อยๆ เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่ริมเตียงพร้อมกับกวาดตามองเรือนร่างตรงหน้าด้วยแววตาหื่นกระหาย ก่อนที่มือนั้นจะยกขึ้นมาปิดปากของหญิงสาวไว้แน่นเพื่อป้องกันเสียงร้อง
ต้องรักสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าถูกใครบางคนใช้มือปิดปากไว้เสียแน่น ครั้นพอสายตาจับภาพตรงหน้าได้ และรับรู้ว่าเป็นใคร หญิงสาวก็เบิกตาโพลงพร้อมกับออกแรงดิ้นเต็มกำลัง
ไอ้ดิลก!