ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง
“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง
“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกพร้อมกับนางพยาบาลที่เดินออกมาจากด้านในสองสามคน ต้องรักดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อตรงเข้าไปสอบถามอาการของมารดาทันที
“แม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านปลอดภัยใช่ไหม”
หญิงสาวเกาะแขนของนางพยาบาลคนหนึ่งเอาไว้พร้อมกับละล่ำละลักถามเสียงสั่น เห็นนางพยาบาลคนนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วต้องรักก็ยิ่งใจเสีย
“เดี๋ยวรอคุยกับคุณหมอดีกว่านะคะ ดิฉันต้องขอตัวก่อนค่ะ”
พูดจบก็ผละจากไป ต้องรักจึงหันไปหาร่างสูงของแพทย์ที่กำลังก้าวเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินก่อนจะรีบปรี่เข้าไปถาม
“คุณหมอคะ แม่ของรักเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านปลอดภัยดีแล้วใช่ไหม”
ท้ายเสียงต้องรักพูดเสียงแผ่ว เพราะสัญชาตญาณบางอย่างกำลังบอกเธอว่าข่าวที่ได้รับอาจจะไม่ใช่ข่าวดี
“ทางเราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่คนไข้เสียเลือดมากเกินไป อีกทั้งยังมีเลือดคั่งในสมอง และคนไข้เองก็ร่างกายอ่อนแอมากๆ หมอขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
คำบอกเล่าจากนายแพทย์วัยกลางคนราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาราวรับไม่ได้กับถ้อยประโยคเหล่านั้น น้ำตาไหลบ่าลงมานองหน้า เธอยกมือขึ้นพนมไหว้คนตรงหน้าอย่างวิงวอนพร้อมกับร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จนฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ขอร้องละค่ะคุณหมอ ช่วยแม่รักด้วย คุณหมอลองอีกทีไม่ได้หรือคะ นะคะคุณหมอ ช่วยรักษาแม่รักด้วย รักไหว้ละ ให้รักกราบก็ได้ ช่วยแม่ของรักด้วยนะคะ...”
หญิงสาวยังคงคร่ำครวญไม่หยุดจนนวลกับเพิ่มต้องพาตัวมานั่งอยู่ที่เดิมแล้วช่วยกันปลุกปลอบ ในขณะที่นายแพทย์คนเดิมนั้นค้อมศีรษะให้เล็กน้อยด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนจะเดินจากไป
“รักเอ๊ย...หักห้ามใจเสียบ้างเถอะนะ คิดเสียว่าแม่เอ็งเขาไปสบายแล้ว”
“ใช่ เขาหมดทุกข์แล้ว ไปสบายแล้ว ไม่ต้องทนทรมานกับโรคมะเร็งแล้วนะ” ลุงเพิ่มหย่อนตัวลงนั่งอีกด้านของต้องรักพร้อมกับพูดปลอบให้หญิงสาวคลายความโศกเศร้า ก่อนจะหันไปสบตากับคู่ชีวิตที่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ตามไปอีกคน ด้วยความผูกพันของคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เคยเกื้อกูลกันมากว่าสิบปี
ต้องรักนั่งน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อยู่ที่เดิม ลุงกับป้าข้างบ้านขอตัวกลับไปนานแล้วเพราะต้องเตรียมตัวไปทำงานกันแต่เช้า ครั้นพอหันไปเห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างของมารดานอนนิ่งสงบอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวจึงรีบลุกขึ้นเดินไปหาพร้อมกับก้มลงกราบที่อกของมารดา หยาดน้ำตายังคงหลั่งรินออกมาไม่ขาดสายจนผ้าขาวนั้นชุ่มเป็นดวงๆ
“แม่จ๋า...แล้วรักจะอยู่กับใคร...”
ร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงกำแพงกระจก มองผิวเผินอาจดูเหมือนกำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล แต่แท้จริงแล้วแววตาคมกริบกลับมีร่องรอยของความกังวลและความสงสัยฉาบฉายอยู่อย่างชัดเจน
คืนนี้ก็ไม่เห็นอีกตามเคย...
ชนาธิปลอบถอนหายใจแผ่ว สามวันแล้วที่เขาไม่เห็นร่างเล็กคุ้นตาออกมาแอบยืนนับเงินอยู่ด้านล่าง ทั้งที่ปกติในเวลาประมาณนี้เขาจะต้องเห็นเธอแล้ว
ทุกคืนเขาจะต้องมายืนตรงนี้เพื่อลอบมองพนักงานของตน ใบหน้าสวยหวานที่มีหลากหลายอารมณ์นั้นทำให้เขาเพลินตาไม่น้อย บางวันยิ้มร่า บางวันงอง้ำ บางครั้งดูเหมือนเธอมีเรื่องให้คิดมากมาย เพราะเขาเห็นอาการเหม่อลอยกับท่าทางถอนหายใจจนไหล่ลู่ราวกับคนที่แบกอะไรต่อมิอะไรไว้เต็มบ่าจนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนั้นต้องแบกรับอะไรมากมายแค่ไหนกันหนอ
ชายหนุ่มยืนอยู่สักพักก่อนตัดสินใจเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานตามเดิม แต่สมองกลับไพล่คิดไปถึงอะไรบางอย่างที่วางแผนจะทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
หลังเสร็จสิ้นพิธีสวดที่วัดเป็นคืนที่สาม ต้องรักเดินกลับบ้านด้วยจิตใจห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก สองคืนที่ผ่านมาเธอต้องนอนอยู่เพียงลำพังในบ้านโดยไม่มีมารดาอยู่ด้วยอย่างเคย จะหลับตาลงก็เห็นแต่ภาพของท่านนอนจมกองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ความโศกเศร้าในใจมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากไปทำงานด้วยไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร ความโดดเดี่ยวเคว้งคว้างคืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจราวกับกำลังลอยเรืออยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่อย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่มีวี่แววว่าจะมองเห็นฝั่งอยู่ตรงหน้า
ชีวิตเธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
ดิลก พ่อเลี้ยงของเธอนั้นหายหน้าหายตาไปตั้งแต่วันที่มารดาตกบันไดลงมาจนเลือดคั่งในสมองเสียชีวิต ไม่มีใครในซอยพบเห็นอีกเลย คาดว่าน่าจะกำลังกบดานเพื่อรอให้เรื่องเงียบแล้วค่อยโผล่หัวออกมากระมัง
แค้นแสนแค้น เกลียดแสนเกลียดจนอยากแช่งให้ตายตกไปอย่างทรมาน ไม่รู้ว่าเวรกรรมที่เขาพูดๆ กันนั้นจะมีอยู่จริงหรือเปล่า ไม่เห็นว่าจะมาไล่ล่าดิลกสักที ทั้งที่ผู้ชายคนนี้ไม่เคยมีความดีอะไรเลยสักอย่างในชีวิตตั้งแต่เธอรู้จักมา
“รักเอ๊ย”
เสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งร้องเรียกไม่ห่างจากจุดที่เธอกำลังเดินอยู่เท่าไรนัก และเมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นร่างเล็กผอมเกร็งหลังงองุ้มจากวัยชราของคนที่เธอเรียกจนติดปากว่า “ยายสา” ยืนมองมาทางเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อย
ตรงนี้กี้เช็กไม่ได้น่ะค่ะ ว่าในความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย