บทที่ 1 แรกพบสบตา - 3

1190 Words
“เกรงใจน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เธอกลับไปเถอะ เรากลับเองได้” ต้องรักปฏิเสธออกไปไม่ใช่เพราะรังเกียจความหวังดีของเขา แต่เพราะเกรงใจเขาจริงๆ หลายครั้งหลายคราที่เธอต้องอาศัยให้เขาไปส่งที่หน้าปากทางเข้าบ้าน ทั้งที่บ้านของเขาถึงก่อนบ้านของเธอเสียด้วยซ้ำ แทนที่เขาจะได้รีบกลับไปพักผ่อน กลับกลายเป็นว่าต้องเสียเวลามาส่งเธอถึงบ้านก่อน “จะมาเกรงใจอะไรกันเล่า รักนี่ก็...ถ้ารักออกไปยืนรอรถเมล์ตอนนี้ ชาติไหนมันถึงจะมาสักคันล่ะ เปลี่ยวก็เปลี่ยวนะตรงนั้นน่ะอันตรายจะตายไป ขึ้นมาเถอะอย่าคิดมากเลย” ชายหนุ่มบิดกุญแจสตาร์ตเครื่องพร้อมกับบุ้ยใบ้ให้เธอไปนั่งซ้อนท้าย ก่อนจะลอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวเดินมานั่งคร่อมเบาะหลังของเขา ต้องรักคร้านจะเถียงกับเพื่อน เวลาประมาณนี้ที่ป้ายรถเมล์ยังคงมีคนพลุกพล่านอยู่ เพราะผับอื่นๆ ก็เลิกเวลานี้เช่นกัน แถวนี้มีแต่ผับและไนต์คลับเปิดเรียงรายเต็มสองข้างทาง ส่วนใหญ่เวลาเธอกลับบ้านจึงมีพนักงานจากผับอื่นๆ นั่งรอรถประจำทางเป็นเพื่อนอยู่หลายคน แม้จะไม่รู้จักกันแต่ก็รู้สึกอุ่นใจว่าไม่ได้ยืนรออยู่เพียงลำพังแน่นอน รถยุโรปคันหรูติดฟิล์มดำสนิททั้งคันเคลื่อนตัวออกมาจากที่จอดรถสำหรับผู้บริหารและแขกวีไอพี จนกระทั่งแล่นเข้ามาใกล้คนทั้งคู่อย่างช้าๆ อนุวัฒน์จึงหยุดรอให้รถคันนั้นเคลื่อนผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกรถตามไปทีหลัง ต้องรักที่กำลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนอยู่นั้นเผลอตัวมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกรถหรูจนมันแล่นผ่านไปโดยลืมนึกไปว่า เธอไม่สามารถมองเข้าไปในตัวรถได้ แต่คนในรถนั้นสามารถมองออกมาด้านนอกได้อย่างชัดเจน อาการเธอที่เผลอมองเงาของตัวเองเมื่อครู่จึงอยู่ในสายตาคนที่นั่งอยู่ด้านในโดยตลอด “นี่รถใครหรือบอย เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นคนขับสักที แขกวีไอพีหรือ” หญิงสาวถามคนด้านหน้า ชายหนุ่มจึงหันหน้ามาตอบให้ “รถของคุณชนาธิป เจ้าของที่นี่ยังไงเล่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือเจ้านายของพวกเรานั่นแหละ” “จริงหรือ...จะว่าไปตั้งแต่ทำงานมาเราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่เลยนะ” ต้องรักพูดขึ้นลอยๆ เธอเห็นรถคันนี้บ่อยๆ ทั้งตอนจะกลับบ้านแล้วเห็นมันจอดอยู่ หรือแม้แต่ตอนที่เธอนั่งรอรถประจำทางแล้วรถคันนี้แล่นผ่านหน้าไป คราแรกเธอนึกว่าเป็นรถของลูกค้าวีไอพีขาประจำ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นรถของเจ้าของผับที่ตนทำงานอยู่ “แล้วเธอเคยเห็นหน้าเขารึเปล่า คุณชนาธิปอะไรเนี่ย” เธออดถามไม่ได้ว่าทำไมอนุวัฒน์เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายแต่เธอไม่ ทั้งที่เธอเข้าทำงานหลังอนุวัฒน์แค่สองเดือน “เคยเจอครั้งเดียว เจอแบบบังเอิญด้วย ตอนนั้นเราออกมาโทรศัพท์ที่หลังร้านน่ะ เห็นพี่ตั้มกำลังยืนพูดคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ท่าทางนอบน้อมมากเลย หัวนี่ก้มแล้วก้มอีก เราก็นึกว่ากำลังคุยกับลูกค้า แต่พอผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในส่วนบริหารก็เลยถามพี่ตั้มว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร พี่แกก็บอกว่านั่นน่ะเจ้าของที่นี่เชียวนะเว้ยเอ็ง หรือเจ้านายพวกเอ็งนั่นแหละ” อนุวัฒน์ทำเสียงเลียนแบบผู้จัดการร้านที่ชื่อตั้ม ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “แปลว่าต้องอายุมากแล้วก็ต้องดุมากแน่ๆ เลย” ต้องรักเอ่ยขึ้นอย่างใจคิด แต่อนุวัฒน์กลับค้านเสียงหลง “ไม่เลย ไม่แก่สักนิด ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเชียวแหละรักเอ๊ย ตัวก็สูง เป็นพระเอกหนังหรือนายแบบได้สบายๆ เลย แต่ท่าทางจะดุอย่างที่รักว่านั่นแหละ เพราะตอนที่เราแอบดูเราไม่เห็นเขายิ้มเลยสักนิด ทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จา เอาแต่พยักหน้ารับรู้อย่างเดียว แถมคนติดตามก็ขนาบซ้ายขวา คงเป็นบอดีการ์ดประจำตัวเขามั้ง” ฟังจากที่เพื่อนเล่าแล้ว ต้องรักอดคิดกระหวัดไปถึงชายหนุ่มที่เจอวันนี้ไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นก็มีใบหน้าและแววตานิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ รูปร่างก็สูงใหญ่จนเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มอยู่ แถมยังเคลื่อนไหวได้เงียบเชียบอีกด้วย หวังว่าเขาคงจะไม่ใช่คนที่เพื่อนของเธอกำลังพูดถึงหรอกนะ ต้องรักหยิบบัตรคิวขึ้นมาดูแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ มาโรงพยาบาลทีไรเธอกับมารดาไม่เคยเสร็จธุระก่อนเที่ยงได้เลยสักครั้ง และวันนี้ก็คงเช่นกัน “คิวยาวเลยละแม่ ทนหน่อยนะจ๊ะ” ทั้งที่ออกจากบ้านมาตั้งแต่หกโมงเช้า แต่พอมาถึงโรงพยาบาลกลับมีคนมาเช้ากว่า ต้องรออีกกว่าหกสิบคิวจึงจะถึงคิวของมารดา “โรงพยาบาลรัฐก็อย่างนี้แหละ รักนั่งหลับไปก่อนก็ได้นะลูก เมื่อคืนเราก็กลับมาดึกมากไม่ใช่หรือ” มือผอมเกร็งของมารดาลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่และสงสารจับใจ เมื่อคืนต้องรักกลับถึงบ้านเกือบตีสี่ นอนได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องรีบตื่นพาหล่อนมาหาหมอ เสร็จจากที่นี่ก็ต้องเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่ออีก หล่อนรู้ว่าลูกสาวนั้นเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นให้ได้ยิน ต้องรักในชุดนักศึกษานั่งกอดกระเป๋าสะพายพร้อมกับเอนตัวข้างหนึ่งพิงกำแพงก่อนจะหลับตาลงอย่างว่าง่าย คิดว่ากว่าจะถึงคิวของมารดา เธอคงได้งีบหลับอย่างน้อยสองหรือสามชั่วโมง ทันทีที่ปิดเปลือกตาลง หญิงสาวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้ที่มาใช้บริการไม่มีผลกระทบกับต้องรักนัก เพราะนอนง่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่หันมาทำงานกลางคืน เธอต้องฝึกให้ตัวเองหลับง่ายและตื่นไวอยู่เสมอ บางครั้งขณะนั่งรอเรียนวิชาต่อไปที่มหาวิทยาลัย เธอก็อาศัยฟุบหลับตามโต๊ะใต้ต้นไม้ที่คณะเป็นประจำ “รัก...รักเอ๊ย...ใกล้ถึงคิวแล้วลูก” เสียงของมารดาที่ได้ยินอยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้ต้องรักรีบผุดนั่งตัวตรงทันที แม้จะยังงัวเงียอยู่มากแต่เธอก็ต้องรีบดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดด้วยการตบแก้มของตัวเองเบาๆ สองสามครั้ง ต้องรักชะเง้อมองลำดับคิวปัจจุบันบนแผงตัวเลขดิจิทัลที่หน้าห้องตรวจ อีกสี่คิวจึงจะถึงคิวของมารดา ยังพอมีเวลาไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นกว่านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD