บทที่ 1 แรกพบสบตา - 2

1208 Words
ทางด้านคนที่ยอมรับกับพนักงานสาวว่าตนเองหลงทางนั้น แทนที่เขาจะกลับเข้าไปด้านในอย่างเช่นนักท่องราตรีคนอื่นๆ ทว่าเขากลับพาตัวเองเดินเข้าไปอีกฝั่งกับบริเวณที่ตนเองเดินออกมาเมื่อสักครู่ ซึ่งพื้นที่ฝั่งนี้นั้นแม้แต่พนักงานระดับผู้จัดการร้านก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาแม้แต่คนเดียว เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตเสียก่อน ร่างสูงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวกลางห้องโดยมีชายฉกรรจ์อีกสองคนเดินตามเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณที่ใกล้กับประตูทางออก “เอก นายเห็นผู้หญิงคนเมื่อกี้ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน พร้อมกับยกแก้ววิสกี้ที่ลูกน้องอีกคนนำมาวางไว้ให้ขึ้นจดริมฝีปาก ก่อนกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงคอไปพรวดเดียว “เห็นครับคุณธิป สนใจหรือครับ” เอกรัฐถามยิ้มๆ เพราะตามปกติแล้วไม่ค่อยเห็นเจ้านายเอ่ยปากถึงผู้หญิงคนไหนก่อนเลยสักครั้ง ชนาธิปตวัดสายตาคมดุขึ้นมองลูกน้องคู่ใจก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย “ไปดูประวัติพนักงานของผู้หญิงคนนั้นมาทีว่าอายุถึงยี่สิบรึยัง ดูหน้าตายังเด็กๆ อยู่เลยไม่น่าจะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ถ้าอายุยังไม่ถึงก็จัดการให้เงินไปสักก้อนแล้วเอาออกไปเสีย ฉันไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเคย ซึ่งลูกน้องของเขาทั้งสองคนนั้นต่างรู้จักนิสัยใจคอของเจ้านายตัวเองดีว่าไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่ทว่าทุกประโยคนั้นแฝงความเด็ดขาดเอาไว้ทุกคำ “พวกนายมีอะไรจะรายงานฉันรึเปล่า” ชนาธิปยกแก้ววิสกี้ขึ้นสาดลงคอไปอีกครั้งพลางมองมายังลูกน้องคนสนิททั้งสองคน เอกรัฐกับชัชวาลหันไปมองตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับเจ้านาย “ก็เรื่องเดิมๆ นั่นแหละครับ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้น” ชัชวาลพูดขึ้นก่อน จากนั้นทั้งสองคนก็ผลัดกันรายงานเรื่องราวต่างๆ ให้เจ้านายฟังอย่างละเอียด เนื่องจากช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ชนาธิปไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเพราะต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศ และพวกเขาทุกคนต่างรู้กันดีว่าถ้าหากเจ้านายไปอเมริกาเมื่อไร เขาจะทำตัวตัดขาดจากธุรกิจต่างๆ โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ พวกเขาจะไม่โทร.ไปรบกวนอย่างเด็ดขาด ต้องรักดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ใกล้ตีสามเข้าไปทุกทีแต่เธอยังคงอยู่ที่ผับ เพราะคืนนี้มีลูกค้าหลายโต๊ะที่นั่งรอให้สุราหมดขวดจึงจะทยอยลุกออกไปจากโต๊ะกัน เรื่องแบบนี้พนักงานเสิร์ฟอย่างพวกเธอชินชากันเสียแล้วเพราะมีแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ บางครั้งสุราเหลือแค่หนึ่งในสี่ของขวดก็ไม่ค่อยมีใครอยากฝากเอาไว้ที่ร้านสักเท่าไร ส่วนใหญ่มักจะจัดการให้หมด หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายได้ก็ผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ จัดการล้วงเอาธนบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างมานับอีกครั้ง เรียวปากอิ่มเต็มตึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างสมใจ วันนี้ถือว่ารายได้ทะลุเป้า อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเจียดเอาเงินที่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้มารดาในวันรุ่งขึ้นแล้ว จากนั้นต้องรักก็จัดการแยกธนบัตรใบสีม่วงประมาณสี่ห้าใบเข้าไว้ด้วยกันแล้วม้วนจนเป็นหลอดเล็กๆ สอดเข้าไปในส่วนก้นของกระเป๋าสะพายซึ่งเธอแอบทำเป็นช่องลับเอาไว้เพื่อซ่อนเงินที่หามาได้จากพ่อเลี้ยงที่มักจะมาเบียดเบียนอยู่เสมอ เพราะหากเอาเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไม่แคล้วคงต้องถูกพ่อเลี้ยงขโมยไปลงขวด หรือไม่ก็เล่นการพนันจนหมด และเธอก็คงไม่มีเงินพามารดาไปหาหมอพรุ่งนี้เป็นแน่ ต้องรักไม่เคยถูกชะตากับพ่อเลี้ยงมาแต่ไหนแต่ไร เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้ เพราะดิลก ผู้เป็นพ่อเลี้ยงของเธอนั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ไม่เคยทำงานทำการเป็นชิ้นเป็นอัน หนำซ้ำยังหาเรื่องเดือดร้อนมาให้มารดากับเธอต้องคอยตามล้างตามเช็ดอยู่เสมอ ซึ่งเธอก็ไม่เคยเข้าใจมารดาเลยว่าทำไมถึงยังทนอยู่กับผู้ชายคนนี้มาได้ ทั้งที่เขาแทบไม่มีอะไรดีแม้แต่อย่างเดียว ยิ่งมารดาของเธอป่วยเป็นมะเร็งแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าสายตาของพ่อเลี้ยงนั้นเริ่มเปลี่ยนไป มันดูวาววาม เจ้าเล่ห์ และดูหื่นกระหายอย่างน่าเกลียด ต้องรักเกลียดสายตาของพ่อเลี้ยงทุกครั้งที่มองมาราวกับเธอเป็นสมันเนื้อหวาน และเธอรังเกียจสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ทุกครั้งที่เขาพยายามหาทางแตะต้องตัวเธอ อยากหนีออกจากบ้านนี้ไปเสียแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด เธอยังมีมารดาที่ต้องดูแล เพราะถ้าให้ชวนท่านไปด้วย ท่านไม่มีทางไปกับเธออย่างแน่นอน ทุกวันนี้ต้องรักจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ร่วมบ้านกับคนที่เกลียดแสนเกลียดอย่างดิลก ต้องเหนื่อยกับการหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน เพราะนอกจากค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาลของมารดา ค่ากินค่าอยู่ของตัวเองแล้ว เธอยังต้องเจียดเงินที่หามาได้ในแต่ละวันให้ผู้ชายปีกทองอย่างพ่อเลี้ยงอีกด้วย หากไม่ได้เงินอย่างที่หวังไว้ ดิลกมักจะหาเรื่องตบตีทำร้ายมารดาของเธออยู่เสมอ ในเวลาที่เธอต้องออกมาทำงานข้างนอก ต้องรักเดินออกมาจากห้องน้ำ จากนั้นจึงเดินไปตอกบัตรที่ติดไว้ด้านข้างของประตูทางออก เสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากอาคารเพื่อหารถกลับบ้าน “รัก...กลับด้วยกันไหม เดี๋ยวไปส่ง” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังมาจากลานจอดรถ ต้องรักหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นใครเธอจึงค่อยเบาใจว่าไม่ใช่พวกลูกค้าที่ชอบหาเรื่องแทะโลม “อ้าว...บอยหรอกหรือ ยังอยู่อีกหรือเนี่ย นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก” หญิงสาวหยุดเดินแล้วยืนอยู่กับที่ ฝ่ายนั้นจึงต้องเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ที่ตนนั่งคร่อมอยู่ให้เข้ามาใกล้เธอเสียเอง “ก็ว่ากำลังจะกลับน่ะ แต่เห็นรักกำลังเดินมาก็เลยหยุดรอก่อน กลับด้วยกันไหม เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านให้” บอย หรืออนุวัฒน์ เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับต้องรัก เขาแอบชอบต้องรักมานานแล้วแต่เธอก็ยังให้เขาได้แค่ความเป็นเพื่อน แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดย่อท้อหรือถอดใจ เพราะเขาเชื่อว่าความเสมอต้นเสมอปลายของเขาจะชนะใจเธอได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD