ความรู้สึกสุดท้ายที่ต้องรักรู้สึกได้นั่นก็คืออ้อมแขนของใครคนหนึ่งที่เข้ามาโอบอุ้มเธอจนลอยหวือออกมาจากรถ ความอบอุ่นจากเรือนกายและกลิ่นน้ำหอมที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อนนั้นทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ความหวาดกลัว ความกังวลต่างๆ ก่อนหน้านี้พลันมลายหายไปสิ้นเมื่อใบหน้าของเธอได้แนบกับอ้อมอกอุ่นของคนคนนี้ เปลือกตาสั่นระริกจึงปิดสนิทลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงกระซิบทุ้มนุ่มนวลนั้น
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
ทันทีที่รู้สึกตัว สิ่งแรกที่ต้องรักรับรู้ก็คืออาการหนักอึ้งปวดระบมไปทั้งกายราวกับได้ออกกำลังกายหนักๆ หญิงสาวพยายามฝืนลืมตาขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ รอบกาย เนื่องจากกลิ่นที่ผ่านนาสิกเข้าไปไม่ใช่กลิ่นบ้านไม้หลังเล็กที่เธอเช่าอยู่ แต่เป็นกลิ่นเหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อ กลิ่นเครื่องปรับอากาศ เหมือนกลิ่นโรงพยาบาล...
เพดานสีขาวสะอาดตาเป็นสิ่งแรกที่ต้องรักมองเห็น หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่พบใครสักคนที่อยู่ในห้องจึงพยายามยันกายเพื่อลุกขึ้นนั่ง ทว่าอาการเจ็บลึกที่ช่องท้องก็สำแดงขึ้นมาจนเธอต้องนิ่วหน้าแล้วทิ้งตัวลงนอนไปอีกครั้งหนึ่ง
รถชน!
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่สติจะดับวูบลงไป และที่เธอต้องมาอยู่โรงพยาบาลอย่างนี้คงเพราะมีพลเมืองดีมาช่วยเอาไว้กระมัง พลันสายตาเหลือบไปเห็นแฟ้มกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงอันมีชื่อโรงพยาบาลที่ตนกำลังพักอยู่ จึงหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะมันคือโรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าค่ารักษาแพงมหาโหด
เสียงเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาทำให้ต้องรักนอนนิ่งเพราะคิดว่าแพทย์หรือพยาบาลเข้ามาตรวจเช็กอาการ ในใจก็นึกหวั่นเรื่องค่ารักษา เพราะเธอไม่รู้ว่าจะมีปัญญาจ่ายหรือเปล่า
ทว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องไม่ใช่แพทย์หรือพยาบาลอย่างที่เธอเข้าใจ กลับเป็นใครคนหนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะได้มาเจอเขาที่นี่...ฮีโรของต้องรัก
ชนาธิปเข้ามายืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทล้ำลึกคู่นั้นนิ่งจ้องมายังใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำพูดใดๆ เช่นเคย มีเพียงสายตาที่มองมาราวกับกำลังถามไถ่อาการเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ”
ต้องรักยกมือขึ้นไหว้พลางพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง แต่เพราะอาการเจ็บที่ช่องท้องตอนถูกชกยังคงมีอยู่ ใบหน้าของหญิงสาวจึงยู่ลงทันที
“นอนนิ่งๆ เถอะ”
มือใหญ่แตะลงบนไหล่อย่างนุ่มนวล ก่อนจะเอื้อมไปหยิบรีโมตควบคุมการปรับระดับเตียงมากดให้ส่วนด้านบนนั้นยกสูงขึ้นจนกระทั่งร่างของต้องรักอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน
“คุณ...เอ่อ...คุณเป็นคนช่วยรักเอาไว้แล้วพารักมาส่งโรงพยาบาลใช่ไหมคะ” ถามเขาแล้วก็รอฟังคำตอบ พอเห็นเขาตอบรับในลำคอพร้อมกับพยักหน้าให้จึงยกมือขึ้นไหว้เขาอีกครั้ง
“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณชนาธิป ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้รักต้องแย่แน่ๆ เลยค่ะ” คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย ถ้าเขามาช่วยไว้ไม่ทัน ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้
“รู้จักฉันด้วยหรือ”
คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นสูง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยจนดูเหมือนเขากำลังยิ้ม ซึ่งต้องรักคิดว่าใบหน้านี้คงจะดูดีมากทีเดียวถ้าหากว่าเรียวปากได้รูปนั้นจะแย้มยิ้มออกมาสักครั้ง
“ก็เพิ่งรู้จักวันนี้นี่แหละค่ะ เพื่อนเคยบอกว่าเจ้าของผับชื่อคุณชนาธิป และตอนที่คุณเข้าไปช่วยรักจากลูกค้าคนนั้น คุณก็บอกเองว่าที่นั่นคือผับของคุณ รักก็เลยคิดว่าน่าจะใช่คนเดียวกัน เอ่อ...เมื่อคืนวานรักต้องขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาทไปอย่างนั้น รักไม่รู้ค่ะ นึกว่าคุณเป็นลูกค้า”
เธอยกขึ้นไหว้เป็นครั้งที่สาม และคราวนี้เองที่หญิงสาวได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาเต็มๆ ตา
“ฉันเพิ่งเข้ามาแค่ห้านาทีแต่เธอไหว้ฉันไปสามครั้งแล้วนะ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ฟังดูเย้าอยู่ในทีทำให้ต้องรักก้มหน้าลอบยิ้ม ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ๊ะ! จริงสิ รักว่ารักคงไม่เป็นอะไรแล้วมั้งคะ รักอยากกลับบ้าน ตอนนี้เพิ่งจะตีห้า รักนอนที่โรงพยาบาลนี้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่นี่เขาคงไม่คิดค่าห้องเต็มราคาหรอกใช่ไหมคะ”
เธอไม่รู้ว่าโรงพยาบาลเอกชนคิดค่าห้องค่ารักษากันอย่างไร ในเมื่อเธอเพิ่งเข้ามานอนพักรักษาตัวแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาจะตีเป็นครึ่งคืนหรือหนึ่งคืนก็ไม่รู้ได้
“ค่าโรงพยาบาลฉันออกให้ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้นน่ะ”
ยังเจ็บท้องอยู่แท้ๆ แต่เธอก็ยังอยากจะกลับบ้าน เขาจึงต้องบอกออกไปตามจริง เรื่องค่ารักษาพยาบาลเขาจัดการจ่ายให้ทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะยังมีคำถาม เพราะสีหน้าแววตาอย่างนั้นมันเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวกำลังสงสัยเรื่องอะไร
“ฉันจ่ายให้เพราะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของฉัน ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหักเงินเดือนหรอก ในเมื่อเธอเป็นพนักงาน เธอย่อมได้สวัสดิการในเรื่องนี้อยู่แล้ว”
ต้องรักยิ้มแหย ไม่คิดว่าเขาจะล่วงรู้ความในใจของเธอด้วย เพราะกำลังสงสัยอยู่พอดีว่าเขาจะหักเงินเดือนเธอหรือไม่ ถ้าหักเธอจะได้รีบออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ เธอไม่ใช่คนงกอะไร เพียงแต่ไม่อยากใช้จ่ายเงินกับเรื่องที่ไม่ควรแค่นั้นเอง
คิดถึงเรื่องเงิน หญิงสาวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ “แล้วกระเป๋าของรักล่ะคะ กระเป๋าสะพายสีดำของรักน่ะค่ะ อยู่ไหนหรือคะ”
ต้องรักเงยหน้าถามเขา เห็นเขามองไปยังตู้ข้างเตียงจึงมองตามสายตาของเขาไป
“อยู่ในตู้น่ะ เธอพักผ่อนเถอะ ก่อนเที่ยงฉันจะให้คนมาพาไปส่งที่บ้าน”
“เอ่อ...คุณชนาธิปคะ”
หญิงสาวเอ่ยปากเรียกเมื่อเห็นเขาทำท่าจะผละจากไป เขาหันกลับมาพร้อมกับสายตาที่มองมานิ่งๆ ราวกับเปิดโอกาสให้เธอพูดต่อ
“คือ...รักขอกลับบ้านตอนนี้เลยได้ไหมคะ รักไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ” แม้จะหมดห่วงเรื่องเงินค่านอนโรงพยาบาล แต่ก็ยังมีห่วงเรื่องมารดาที่บ้านอยู่ดี ป่านนี้ท่านคงกำลังรอและเป็นห่วงเธออยู่กระมังที่ยังไม่เห็นเธอกลับถึงบ้าน
“รักไม่อยากให้แม่เป็นห่วงค่ะ แม่คงไม่รู้ว่ารักมานอนโรงพยาบาล ป่านนี้คงกำลังคิดมากและรอรักอยู่แน่ๆ”
เพราะเห็นสายตาของเขาเหมือนจะคาดคั้นขอเหตุผลที่เธอขอออกจากโรงพยาบาลแทนที่จะนอนพักตามที่เขาบอก เธอจึงต้องรีบอธิบายก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอดื้อดึงไม่ยอมฟังคำสั่งเขา
“งั้นก็ตามใจ ทำอะไรเสร็จแล้วก็ออกไปพบฉันที่หน้าห้องก็แล้วกัน”
บอกเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง ถ้าไม่เห็นว่าคนที่อยู่บนเตียงกำลังพยายามหาทางพาตัวเองลงมาสัมผัสพื้น แต่เพราะไม่รู้ว่าตนเองเจ็บยอกที่ขาขวาด้วย หญิงสาวจึงเผลอลงน้ำหนักไปที่เท้าข้างนั้นเต็มๆ ผลก็คือเกือบเสียหลักลงไปกองอยู่ที่พื้น