Stay Hug ที่พบรัก 7
มื้อเย็นของวันนี้ฉันนั่งกินหมูกระทะที่ลานริมลำธาร ก็นั่งกินคนเดียวนี่แหละพี่ ๆ พนักงานคนอื่นที่เลิกงานบ้างก็กลับไปกินข้าวที่บ้านกับครอบครัว บ้างก็ตรงกลับเข้าที่พักเลย ส่วนสองสาวเพื่อนซี้ก็ทำงานเหนื่อยจนแทบสลบ เห็นว่าอย่างนั้นอะนะตอนฉันโทร. ไปชวน ก็เลยไม่ได้มากินด้วยกัน
กลุ่มนักท่องเที่ยวนั่งกินมื้อเย็นอย่างสุขใจ สลับกับถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเอ่ยชมจากลูกค้า ในฐานะคนดูแลอย่างเป็นทางการก็มีความสุขจนยิ้มหน้าบ้าน จนตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะพัฒนาและดูแลที่นี่ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่เวลาลูกค้ามาพักจะได้รู้สึกดีเหมือนกับได้พักผ่อนอยู่บ้าน
“หือ?” ระหว่างที่นั่งพักรอย่อย สายตาก็เหลือบมองไปเห็นสายฟ้าแลบสว่างโร่
“ฝนจะตกเหรอเนี่ย” เอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่นับว่าดีที่โรงแรมมีเครื่องปั่นไฟสำรอง จึงไม่ได้กังวลเรื่องไฟดับมากนัก ฉันที่อิ่มแล้วรีบช่วยพี่ ๆ พนักงานเก็บของหลังจากลูกค้าที่นั่งกินหมูกระทะอยู่ไกล ๆ เมื่อครู่เริ่มทยอยกลับห้องกันแล้ว
“คุณอิงเดี๋ยวพวกพี่ทำเองค่ะ ไม่ต้องทำนะคะ” พี่พนักงานรีบเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าฉันกำลังช่วยเก็บของอย่างตั้งใจ
“ช่วยกันค่ะพี่ เดี๋ยวฝนตกก่อนแล้วจะยุ่งนะ”
“อ่า ขอบคุณมากค่ะคุณอิง” เราช่วยกันเก็บของเคลียร์ของเรียบร้อย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ลูกค้าที่อยู่โซนกางเต็นท์ ฉันให้พี่เข้มไปสำรวจแล้วเผื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
“แจ้งพนักงานกะกลางคืนให้ตรวจดูดี ๆ นะคะ ถ้าฝนตกหนักเกินไป แล้วลูกค้าโซนบีต้องการย้ายโซน ให้พาไปพักตรงลานสำรองได้เลยค่ะพี่” ลานตรงนั้นมุงหลังคาไว้อย่างดีเผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่แล้ว
“ได้ค่ะ”
“ถ้ามีอะไรโทร. เข้ามาได้เลยนะคะหนูขอกลับห้องก่อน”
“เอาร่มไหมคะ เดี๋ยวพี่หยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้ ๆ เดี๋ยวอิงรีบเดินเอา เจอกันพรุ่งนี้นะคะพี่ ๆ ฝันดีล่วงหน้าค่ะ”
ฉันโบกมือลาพี่ ๆ เสร็จก็เดินลัดเลาะออกมาจนถึงบริเวณหน้าโรงแรม ฝนที่เริ่มลงเม็ดถี่ขึ้นทำให้ฉันตัดสินใจรีบเดินออกมา แม้จะเปียกไปบ้างแต่ก็ยังดีที่ห้องพักส่วนตัวอยู่ไม่ไกล แต่ก็ต้องก้าวขึ้นบันไดด้วยความระมัดระวังเช่นเดียวกัน กระทั่งถึงหน้าห้องพัก จึงรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ระเบียงหน้าห้อง
“เปียกเหมือนลูกหมาเลย” เอ่ยแซวตัวเองเสียงเบาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเปิดประตูห้องพักได้ ก็เอื้อมเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างทั้งในห้องและนอกห้อง จัดการปิดผ้าม่านและล็อกประตูให้เรียบร้อย ถึงได้เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำชำระร่างกายเตรียมเข้านอน
แต่ใครจะไปคิดว่าทันทีที่ลืมตาตื่นในช่วงสายของวันฉันจะรู้สึกมึนหัวแบบนี้ ไหนจะจามถี่ ๆ จนเจ็บท้องไปหมด และหลังจากที่ฝืนร่างกายไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จก็ต้องกลับมาล้มตัวนอนบนเตียงเหมือนเดิม ทว่าเมื่อรู้ตัวแล้วว่าร่างกายไม่น่าไหว จึงฝืนลุกขึ้นเดินไปหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมแล้วโทร. ไปขอให้พี่แก้วส่งแม่บ้านและสั่งมื้อเช้าพร้อมยาลดไข้มาให้ที่ห้อง ยังไม่กล้าเดินไปล็อบบี ด้วยกลัวว่าลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาจะติดไข้เอาได้
ระหว่างที่ป้าแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ ฉันก็นั่งที่เก้าอี้หน้าห้องหลับตานิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่ลืมตาขึ้นดู เพราะคิดว่าเป็นแขกจากบ้านพักหลังถัดไป
“ไม่สบายเหรอ?” แต่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ ๆ ถึงได้ฝืนลืมตาขึ้นมอง แม้จะตกใจที่จู่ ๆ ก็เจอกับคนตัวสูงยืนจ้องฉันอยู่แต่ก็ต้องตอบกลับคำถามนั้นไปเสียก่อน
“นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบแล้วขยับตัวนั่งดี ๆ หลังจากที่เอนหลังเลื้อยไปกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
“แล้วกินข้าวกินยาหรือยัง?” คุณแทนคุณที่ยืนอยู่ห่างออกไปยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฉันเองก็ไม่อยากจะคิดว่าเขาเป็นห่วง แต่เดี๋ยวนะแล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน
“รอข้าวค่ะ แต่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?” ฉันรีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เมื่อวานลืมเอาชาข้าวโพดให้” เจ้าของไร่หน้าดุตอบกลับ พร้อมยื่นถุงกระดาษมาให้ฉันหนึ่งถุง
“อ้อ ขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นมือออกไปรับมาและไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณ
“ทำความสะอาดห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะคุณอิง” ป้าแม่บ้านและพี่คนงานที่มาทำความสะอาดห้องให้เอ่ยบอกฉัน พร้อมกับทยอยขนอุปกรณ์ทำความสะอาดออกจากห้องพัก
“ขอบคุณค่ะป้า”
“ยินดีมาก ๆ ค่ะ งั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ” ป้าแม่บ้านเดินออกห่าง และเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่จริงใจยกอาหารมาให้ฉัน ระหว่างที่พูดคุยกับพี่พนักงาน คุณเจ้าของไร่ตัวสูงก็ยังคงยืนมองกันอยู่ดังเดิม
“เอ่อ คือ...” ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเขาต่อดี
“กินข้าวเถอะจะได้กินยา ถ้ามีอะไรก็โทร. มาได้ วันนี้อยู่ไร่”
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ ไม่กวนแล้ว” คุณแทนคุณเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะก้าวลงจากบันไดที่หน้าห้องพักของฉันไป
ห้องพักของฉันนั้นยกสูงจากพื้น แต่พื้นห้องไม่ได้ปล่อยโล่ง ทั้งยังมีระเบียงหน้าห้องให้ได้นั่งเล่น หลังจากกินข้าวเสร็จก็รีบกินยาก่อนจะกลับเข้าห้องพักไป จัดการเปิดผ้าม่านและดึงม่านกรองแสงปิดกั้นประตูห้องพักไว้ ส่วนหน้าต่างห้องก็ถูกปิดผ้าม่านไว้จนหมด
เพราะไม่สบายอยู่จึงเลือกเปิดพัดลมแทนการเปิดแอร์ เพราะแค่นี้ก็หนาวจนทำอะไรไม่ถูกแล้วค่ะ
ตลอดช่วงสายจวบจนถึงบ่ายฉันหลับลึกมาก และเมื่อรู้สึกตัวตื่นก็พบว่ามีสายเรียกเข้าจากเบอร์แปลกโทร. เข้ามา ด้วยความที่นึกว่าเป็นเบอร์ของลูกค้าจึงกดรับสายและพยายามปรับเสียงอู้อี้ให้เป็นปกติ
“สวัสดีค่ะ”
(เป็นยังไงบ้างดีขึ้นหรือยัง?)
“หือ?” ฉันทวนถามอย่างไม่เข้าใจ แล้วยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูเบอร์โทรอีกครั้ง
(อาการเป็นยังไงบ้าง) กระทั่งได้ยินเสียงที่ถามย้ำเข้ามาถึงได้มั่นใจว่าเป็นใคร
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
(กินข้าวเที่ยงหรือยัง?)
“ยังค่ะ พอดีเพิ่งตื่น”
(อืม กินข้าวเที่ยงจะได้กินยา หรือจะให้ซื้อเข้าไปให้)
“หือ? อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสั่งจากห้องอาหารในโรงแรม ขอบคุณนะคะคุณแทนคุณ”
(ดีแล้ว กินยาแล้วนอนพัก แค่นี้แหละ)