ระหว่างทางเทียร์รดานั่งเงียบแล้วปล่อยใจให้ว่างเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากคิดลบกับคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีแปลกๆ ของคียติณณ์ทำให้เธอประหม่าไม่น้อยเลย
“คุณประหม่าเหรอ” คียติณณ์ถามขึ้นเพื่อทำลายกำแพงความเงียบ
เขาแทบไม่มีความประหม่าให้เธอเห็น ออกจะวางตัวเป็นกันเอง รวมถึงไม่มีคำพูดแทะโลมเหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอด้วยซ้ำ
“ถ้าจะให้พูดตามตรงก็ใช่ค่ะ เพราะเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนี่คะ"
"อ่า นี่คงเป็นครั้งแรกของคุณที่ได้เจอผมสินะครับ"
คียติณณ์พยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ เพราะคงมีแค่เขาที่สามารถสงบนิ่ง ท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำพร้อมปล่อยใจไปกับเสียงเพลงที่คลอเบาๆ ระหว่างเดินทางไปด้วยได้
"ครั้งแรก.." เทียร์รดาย้ำคำพูดของเขาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยบอกอีกฝ่ายไปตามความรู้สึก "ฉันประหม่าเวลาอยู่กับคนที่ไม่สนิทน่ะค่ะ”
“ถ้างั้นเรามาสนิทกันดีมั้ยครับ” คียติณณ์ตอบกลับหวังว่าบทสนทนาจะลื่นไหล แต่ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ มันเลยทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาซะยังงั้น
“อะไรนะคะ” ใบหน้าสวยดูฉงน จะฉีกยิ้มก็ดูแห้งเกินกว่าที่จะเสแสร้งตามน้ำไปได้
“ผมหมายถึงทำความคุ้นเคยกันไว้ ยังไงในอนาคตบริษัทเราก็อยากดึงตัวคุณเทียร์มาร่วมงานเหมือนกัน” เขารีบแก้ต่างให้ตัวเอง พลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอย จนกลายเป็นว่าประหม่าเองเสียได้
“ถ้าเป็นเรื่องงานล่ะก็ ด้วยความยินดีเลยค่ะ”
“อย่าเข้าใจผิดในทางที่ไม่ดีเลยนะครับ ผมแค่.. พูดตามความรู้สึก ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี”
“ฉันไม่เข้าใจคุณผิดหรอกค่ะ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย”
ทั้งสองคนแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกเมื่อครู่นี้ ก่อนเทียร์รดาจะเบี่ยงใบหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมรอยยิ้มที่นึกเอ็นดูท่าทางเก้อเขินของชายหนุ่ม
ตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียงเทียร์รดาก็ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา สังคมที่สวมหน้ากากเข้าหากันเพื่อผลประโยชน์แต่ฉากหลังไร้ซึ่งคำว่ามิตรไมตรี เธอได้สัมผัสมันมาทั้งหมดแล้ว
เข้าใจคำว่าวงการบันเทิงยิ่งกว่าอะไรดี..
เธอไม่สามารถไว้ใจใครได้เพราะอดีตที่เคยถูกหักหลังจากคนใกล้ตัว การแสดงออกที่ดูเย่อหยิ่งและเฉยเมยต่อทุกสิ่งของเธอ มันเลยทำให้ใครหลายคนปรามาสกันมากเลยทีเดียว
“คุณอยากขึ้นไปรอที่ห้องฉันก่อนมั้ยคะ” เสียงคำถามจากเทียร์รดาเอ่ยขึ้น หลังรถหรูขับฝ่าพายุห่าฝนมาจนถึงคอนโดหรูของเธอ
“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปสบสายตาเรียบนิ่งของหญิงสาวที่มองลอดผ่านไปยังด้านหลังเขา
“กว่าฝนจะหยุดตกก็คงอีกนาน การที่คุณจะขับรถฝ่าฝนแบบนี้ออกไปมันอันตราย รอฝนซาหรือหยุดก่อนค่อยกลับก็ได้ค่ะ”
เทียร์รดาว่าไปตามความจริง ระหว่างทางขับกลับมาที่คอนโด ฝนตกหนักจนแทบจะมองไฟท้ายของรถคันหน้าไม่เห็น
การให้คียติณณ์ขับรถกลับไปทั้งที่สภาพอากาศย่ำแย่ขนาดนี้ คงดูใจร้ายสำหรับความหวังดีที่เขาหยิบยื่นให้ไม่น้อยเลย
“กลัวเหรอคะ” เทียร์รดาเลิกคิ้วขึ้น พลางเม้มริมฝีปากกลั้นขำ หลังได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายเมื่อครู่
“กลัว.. ผมน่ะเหรอครับที่กลัว”
“ถ้าไม่มีอะไรให้กลัว ก็รับความหวังดีนี้ไว้เถอะค่ะ ฉันไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องตามไปรับคุณตอนขับรถอีก”
สิ้นประโยคเชิงหยอกเย้า คียติณณ์ที่ได้ยินก็ถึงกับหน้าถอดสี ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“ผมยินดีทำให้คุณชาตินี้ ชาติหน้าก็ให้เป็นเรื่องของชาติหน้านะครับ” เขาว่าพลางยิ้มบางๆ แต่กลับอบอุ่นจนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มดีขึ้นทีละนิด
นิสัยที่แก้ไม่หายอีกอย่างของเทียร์รดาคงเป็นการพูดจาตรงไปตรงมา ในบางครั้งก็โผงผางจนใครได้ยินเข้าอาจจะระคายหูได้
แต่อย่างน้อยเธอคนนี้ก็ไม่มีพิษมีภัยกับใคร มีแค่ความโหดร้ายของโลกใบนี้เท่านั้น ที่ทำให้เด็กสาวที่เคยสดใสในวันวานเริ่มเลือนหายไปทีละนิด
“ไม่ใช่ว่าผมกลัวคุณหรอก แต่ผมกลัวว่าคุณจะดูไม่ดีมากกว่า”
“ทำไมคะ ได้ยินชื่อเสียฉันมาเยอะเลยสินะ”
เทียร์รดาโบกมือคล้ายว่าอย่าใส่ใจ อีกทั้งยังยิ้มรับราวกับคำด่าทอมากมายที่เคยได้รับไม่มีผลต่อความรู้สึกเธอ
การยืนอยู่บนจุดนี้มันทำให้เธอได้รับทั้งความรักและความเกลียดชัง..
ไม่มีใครสนใจว่าเธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคหรือดิ้นรนแค่ไหน พวกเขาสนเพียงแค่ข่าวฉาวที่นำไปพูดต่ออย่างสนุกปาก โดยที่ไม่สนด้วยซ้ำว่ามูลเหตุความจริงมีมากน้อยเพียงใด
แต่ก็นั่นแหละ.. ดูเหมือนว่าเทียร์รดาจะทำใจให้ปลงเพราะเริ่มเอียนกับมันเต็มที
“ผมเป็นห่วงคุณ ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นข่าวลือหรอกนะครับ”
“แล้วคิดว่าฉันสนใจข่าวลือที่ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอคะ”
คียติณณ์ไหวไหล่ “ผมเอาที่คุณสบายใจ ส่วนผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
พอได้ยินคำตอบจากปากคียติณณ์ เทียร์รดาก็พยักหน้ารับหลังใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลางผายมือเชิญอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่มีนัยยะ
“เชิญค่ะ ฉันจะชงชาร้อนๆ ให้ดื่มคลายหนาว”
ทั้งสองคนเดินเข้าล็อบบี้คอนโดโดยไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างขึ้นลิฟต์ไปด้านบน คียติณณ์พยายามทิ้งห่างจากเธออย่างเป็นธรรมชาติ เพราะไม่อยากให้หญิงสาวถูกเข้าใจผิดเพราะตัวเขาเอง
เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของเทียร์รดา มือเรียวบางก็แตะคีย์การ์ดเข้าห้อง พร้อมกับหันไปมองชายหนุ่มที่กวาดสายตาสังเกตการณ์รอบข้างไปเรื่อยเปื่อย
“นั่งรอตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาผ้ามาให้”
“อ่า ครับ”
คียติณณ์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์บริเวณห้องครัว ที่ตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและแสงไฟนวลอ่อนทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ข้าวของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ล้วนเป็นสีโทนเดียวกัน ทุกอย่างถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย จนเหมือนเป็นห้องตัวอย่างของคอนโดยังไงยังงั้น
เมื่อคียติณณ์ขยับสายตามองจากตรงนี้ไปยังระเบียงกระจกของห้องนั่งเล่น เขาก็พบว่าฝนด้านนอกยังคงตกหนักจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้าด้านบน
หนำซ้ำเจ้าของห้องยังทิ้งเขาให้นั่งคอยตรงนี้นานหลายนาที แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งนิ่งเชื่อฟังคำสั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
กระทั่งนัยน์ตาคมคายขยับเห็นผ้าม่านปลิวไสวตามแรงลม ถึงได้รู้ว่าประตูระเบียงปิดไม่สนิท เขาเลยถือวิสาสะเดินไปปิดเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เทียร์รดาเดินออกมาจากห้อง พร้อมผ้าขนหนูผืนสีขาวในมือพอดิบพอดี
“คุณจะทำอะไร” เสียงคำถามโพล่งขึ้นด้วยความไม่ไว้ใจ ขณะที่เทียร์รดาวางสายตามองชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้าไม่ละไปไหน
คียติณณ์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงแค่เอี่ยวองศาใบหน้าหันกลับมามอง
ไม่ทันที่หญิงสาวจะก้าวขาไปไหนไฟในห้องก็ดับไปชั่วขณะ ก่อนจะมีแสงจากสายฟ้าสาดส่องพร้อมเสียงคำรามส่งผลให้ห้องสว่างวาบ ฉับพลันในดวงตาคู่สวยก็เบิกโตตัวค้างแข็งคล้ายว่าสติหลุดลอย
แข้งขาของเทียร์รดาอ่อนแรงอย่างไม่มีทางขัดขืน เมื่อหางตาเหลือบเห็นเงาหญิงสาวถูกแขวนคอฉายบนกำแพงห้องเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ไฟในห้องจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
“อ้ะ” เทียร์รดาส่งเสียงร้องในลำคอ เหมือนว่ามีก้อนเนื้อจุกอยู่ตรงหลอดลมจนเธอหายใจไม่ออก แต่สายตายังคงจดจ้องชายหนุ่มแน่น
วินาทีที่คียติณณ์หันกลับมาหาเธอเต็มตัว หญิงสาวก็ทรุดฮวบลงไปกองอยู่บนพื้น หยาดน้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่ดวงตาคู่สวย มือไม้เย็นเฉียบกับใจที่วูบโหวงเหมือนหล่นหายไปทั้งที่ยังเต้นตุบตับอยู่ในอก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
"คุณ.."
"คุณเทียร์ได้ยินผมมั้ย"
ชายหนุ่มรีบสาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกับย่อตัวลงแล้วใช้มือเชยปลายคางเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาด้วย
แต่ในเวลานี้หูของเทียร์รดาดันอื้อไปชั่วขณะ วิงเวียนศีรษะจนแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่ ซ้ำดวงตายังพร่าเบลอทำให้การมองเห็นมันเลือนรางไปทุกที
เทียร์รดายกมือขึ้นกุมศีรษะที่หนักอึ้ง เหมือนถูกของแข็งกระแทกเข้าใส่ ลมหายใจหอบแรงขณะที่กำปั้นเล็กๆ ทุบกลางอก จนคียติณณ์ต้องเข้าประคองเธอเอาไว้ในอ้อมแขน
“เทียร์รดา”
“.....”
“เทียร์..”
“.....”
“เพตา”