ตอนที่หนึ่ง

3321 Words
รุ่งเช้า วันที่อากาศสดใส เด็กสาวจอมแสบประจำหมู่บ้านสะพายตะกร้าไว้ที่หลัง เดินเข้าไร่ชาเหมือนอย่างเคย เพียงแต่วันนี้ดูจะร่าเริงกว่าทุกวัน "เอ็งจะไปจริงเหรอ" แกะ ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน เดินตามเธอต้อยๆ ตั้งแต่เจอหน้ากันตอนเช้าตรู่จนถึงตอนนี้ "ใช่สิ" ตอบโดยไม่หันมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เพราะกำลังตั้งใจกับกิจกรรมเด็ดใบชา "แล้วเอ็งจะกลับมามั้ย" เขายังคงตามติดไม่หยุดหย่อน "อ้าว ไอ้พี่แกะบ้า นี่บ้านฉันนะ ฉันต้องกลับมาอยู่แล้ว" จากที่อารมณ์ดี กลายเป็นฉุนเฉียวขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนต้องแว้ดใส่ "ก็ผู้หญิงในหมู่บ้านเราเข้ากรุงเทพฯ ทีไร ก็ไม่กลับมาทุกที" "ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น! ไม่มีทางลืมบ้านเกิด" เขาคือผู้ชายคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วทำให้รำคาญใจตลอด เพียงแค่เห็นหน้าก็รู้สึกหงุดหงิดตลอดแล้ว 'ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีทางลืมบ้านเกิด' คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหัวเด็กสาวที่ชื่อพอใจ หล่อนให้คำปฏิญาณต่อทุกคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่ลืมตาดูโลก ก็ไม่เคยต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ไกล และไม่อยากห่างจากบ้าน แต่ครั้งนี้เป็นที่ยอมรับได้ เพราะเด็กสาวกำลังจะได้โบยบิน เป็นอิสระ ในกรุงเทพฯ ใช่แล้ว เด็กสาวไม่เคยคิดอยากย้ายถิ่นฐานจากบ้านไปอยู่ที่อื่น นอกจาก กรุงเทพมหานครฯ เมืองหลวงของประเทศ ก็แหงล่ะ ก็เมืองกรุง ช่างต่างจากหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ราวฟ้ากับเหว ดังนั้น พอใจคนนี้ ก็ต้องเลือก เมืองฟ้าอมร แทนบ้านเกิด ไม่ใช่ว่าลืมกำพืด ตามที่คนแก่ในหมู่บ้านก่นด่าและดูถูก แต่เพราะ วัยนี้ เป็นวัยเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เด็กสาวคิดเข้าข้างตัวเอง ‘ติ้ด ติ้ด’ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เด็กสาวรีบล้วงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา ก่อนจะกดรับด้วยความรำคาญ เพราะคนที่โทรเข้ามาคือแกะ ก็จะไม่ให้อารมณ์เสียได้อย่างไร เขาเล่นโทรมาทุกๆ สิบนาที ตั้งแต่ขึ้นรถก็เป็นได้ 'ฮัลโหล' 'ถึงไหนแล้วพอใจ' และคำถามนี้ก็ถูกถามอีก มันมากกว่าสิบรอบหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ 'ไม่รู้... คงใกล้ถึงแล้วมั้ง' ตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ อยากจะพักสายตาบ้างก็ไม่ได้ จำต้องชะเง้อชะแง้ ออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อสำรวจป้ายบนท้องถนน 'อ้อ... ถึงแล้วล่ะ ฉันต้องลงรถแล้ว เดี๋ยวต้องต่อรถไปหาหมอมะนาวอีก แค่นี้นะ' รีบตัดสายทันทีและยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม การเข้ากรุงเทพฯ ครั้งนี้ พอใจเลือกที่จะขึ้นรถทัวร์จากท่ารถมาด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พี่ชายชื่อแกะ ที่คิดกับเด็กสาวมากกว่าพี่น้องอดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ เขาโทรหาเธอตั้งแต่รถยังไม่ออกด้วยซ้ำ และอีกหลายต่อหลายครั้ง จนต้องลดระดับเสียงเรียกเข้าเพราะเริ่มเกรงใจผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ร่วมทางไกลมาด้วยกัน "เห้อ...สงสัยต้องเปลี่ยนเบอร์หนีแล้วมั้งเนี่ย" บ่นก่อนจะรีบเดินตามคนอื่นๆ ลงรถไปด้วย เพราะกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้คนเดียว เวลานี้ก็ใกล้ค่ำเต็มที จุดหมายของพอใจ ตอนนี้ไม่ใช่การพบเจอหมอมะนาวอย่างที่บอกแกะ หรือที่ใครๆ เข้าใจ แต่เป็นมหาวิทยาลัยแทน นี่แหละคือแผนแรกของพอใจ ที่ไม่ได้คิดตอนอยู่บนรถ แต่แพลนมาตั้งแต่รู้ข่าวว่าจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับหมอมะนาว ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้โลกของเด็กสาวกว้างขึ้น เริ่มจากการติดต่อหอพักของมหาวิทยาลัย ก็เด็กปีหนึ่งทุกคนต้องมีหอพักนักศึกษาเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แล้วมีหรือที่พอใจจะพลาด เธอแอบติดต่อไว้ และการที่ขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงเทพฯ ด้วยตัวเอง แทนที่จะให้ผู้ใหญ่ใจดีหลายท่านอาสาจะมาส่ง ก็อยู่ในแผนหนี แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่หวังเสมอไป ไม่รู้ว่าวันนี้มันวันอะไร ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาจุดนี้เลยสักคัน ทั้งที่เป็นป้ายรถเมล์แท้ๆ จะก้าวขึ้นรถเมล์ก็ไม่กล้า กลัวจะขึ้นผิดสาย เลยยอมนั่งจ่อมอยู่ที่เดิมหลายต่อหลายชั่วโมง จนท้องไส้เริ่มร้องประท้วง มองซ้ายมองขวา เห็นร้านรถเข็นขายไส้กรอกอีสาน อันที่จริงไม่ต้องพยายามมองก็เห็นและได้กลิ่นอย่างชัดเจน เพราะควันโขมงขนาดนั้น จากที่รำคาญเพราะความเหม็น ขยับยุกยิกหนีควันที่ลอยมาทางเธอตลอด ต้องเปลี่ยนเป็นลุกและเดินเข้าหาควันนั้นแทน ดีที่สัมภาระไม่เยอะแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว ไม่งั้นคงทิ้งขว้างไว้ตรงนั้นแน่ "เอา เอายี่สิบบาท ค่ะ" เอ่ยสั่ง ตามลูกค้าคนก่อนหน้า ก็มันหิว ไอ้กลิ่นนี่ก็ยั่วยวนหอมเสียเหลือเกิน จะอดใจไหวได้ไง ไม่นานไส้กรอกสีน้ำตาลที่ค่อนจะเป็นดำ ลูกเล็กๆ เท่านิ้วโป้ง ก็ถูกจิ้มใส่ถุงพลาสติกชั้นแรกและอีกชั้นยัดใส่ถุงหูหิ้ว เด็กสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะส่งเงินให้และรับมาใส่มือ "หยิบผักเอาเอง" คนขายบอก นอกจากไส้กรอกในมือจะน่าทานแล้ว ผักสีเขียวนั้นก็ละลานตาน่าทานยิ่งกว่า ซึ่งมีไว้คอยบริการตามอัธยาศัย "ไส้กรอกหมดแล้ว" พ่อค้าหน้าหงิกหันบอกเด็กสาวเสียงไม่ดังนัก พร้อมสายตาดุๆ ก็เด็กสาวเล่นใช้เงินคุ้มค่าเกินราคา ยี่สิบบาทค่าไส้กรอก กินตั้งแต่สองทุ่มจนตอนนี้เกือบจะสามทุ่ม ยืนกินไส้กรอกกับผักสดทั้งกระจาด กินจนพ่อค้าขายไส้กรอกจนหมดราว เด็กสาวก็ยังไม่ยอมไปง่ายๆ แถมทำให้ลูกค้าคนอื่นไม่กล้าหยิบผักกลับบ้านอีก ต่างคนต่างเข้าใจกันไปเองว่าพอใจนั้นคือลูกสาวของพ่อค้า "ขายดีจังเลยนะคะ" พูดแก้เขิน อันที่จริงก็อายนั่นแหละ พร้อมกับยกมือไหว้ลาพ่อค้า ก่อนจะค่อยๆ ขยับกาย เดินเลี่ยงออกมายืนที่เก่า หน้าป้ายรถเมล์ "เห้อ..." ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใจกลางเมืองตอนนี้ช่างดูสว่างไสวไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่แสงสี ตึกสูง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไม่รู้จะรีบไปไหนกัน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เด็กสาวชอบ "น้อง" จำต้องละสายตาจากหญิงสาวหลายคนที่แต่งกายทันสมัยบนส้นสูงหลายนิ้ว หันไปหาผู้หญิงที่ก็แต่งตัวดูดีไม่แพ้กัน เพราะหล่อนไม่ได้เรียกเปล่า ดันสะกิดไหล่ด้วยนี่สิ "จะไปไหนเหรอ" หล่อนเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร "พอดี พี่เห็นน้องยืนนานแล้ว" เพราะพอใจเอาแต่เงียบไม่ตอบ หล่อนจึงพูดเสริมอีก "จะไปมหาลัยฯ ค่ะ" ไม่ค่อยไว้ใจคนตรงหน้านัก เพราะถูกปลูกฝังมาว่าคนกรุงไว้ใจไม่ได้ "แล้วไปยังไงล่ะ ใครมารับ" "คือ..." "ติดรถไปกับพี่มั้ย ทางผ่านพอดี ป่านนี้ไม่มีรถเมล์แล้วล่ะ" หล่อนยังคงทำตัวเป็นมิตร "หนูรอแท็กซี่ค่ะ" รีบโพล่งออกไปทันที ก็เธอไม่ได้รอรถเมล์อย่างที่ผู้หญิงแปลกหน้าพูดนี่ "นั่นยิ่งไม่มีเลยน้อง" เด็กสาวเริ่มคิ้วขมวดอย่างคิดหนัก จะเอายังไงต่อดี หากไม่มีรถแท็กซี่ เธอก็ไปต่อไม่ถูกแล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีแผนสำรอง "พี่ไม่เอาน้องไปขายหรอก หน้าแบบนี้คงขายไม่ได้ราคา" หล่อนมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง การแต่งกายก็ดูรู้ว่ามาจากบ้านนอก แถมกลิ่นไส้กรอกอีสานติดตัวอีก "อะไรเนี่ยป้า! ไม่ได้ขอให้ช่วยซะหน่อย" สะบัดหน้าหนี กลับไปนั่งกอดกระเป๋าที่ป้ายรถเมล์ใหม่อีกรอบ คนอะไร ทีแรกก็นึกว่าจะเป็นคนดีแต่ตอนนี้กลับมาหาเรื่องกัน ตกลงจะช่วยจริงมั้ยเนี่ย เด็กสาวได้แต่คิดอย่างหงุดหงิด 'ปริ้น ปริ้น' เสียงแตรรถดังมาแต่ไกล ก่อนจะมาหยุดหน้าป้ายรถเมล์ เรียกความสนใจให้เด็กสาวจนไม่อาจละสายตาได้ ก็รถหรูสีแดงเปิดประทุนนั่นน่านั่งเกินไปแล้ว "ตกลง จะไปมั้ย" ผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นถามย้ำอีกรอบ แล้วมีหรือที่เด็กสาวจะพลาด พยักหน้าหงึกๆ ลุกขึ้นตรงไปที่รถทันทีราวกับต้องมนต์ จึงไม่ทันได้เห็นว่าคนที่อาสาช่วยเหลือแอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูก แต่คงจะคิดผิดที่ใจง่ายกระโดดขึ้นรถหรูเปิดประทุนมา เธอนั่งตัวเกร็งกอดกระเป๋าแน่น จริงๆ แล้วไม่กล้าจะขยับตัวด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าทำไมคนกรุงเทพฯ ถึงชอบรถแบบนี้กันนัก มันก็ดูหรูหราดีอยู่หรอก แต่มันมีเพียงสองที่นั่งเท่านั้น สำหรับคนขับและคนนั่งข้าง เท่ากับว่าตอนนี้เด็กสาวต้องนั่งเบียดจนแทบจะขี่กับผู้หญิงแปลกหน้าที่แสดงน้ำใจชวนเธอขึ้นมา โดยตอนนี้มีผู้หญิงแปลกหน้าเพิ่มอีกหนึ่งคน คือสารถี ที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่มีเธอขึ้นรถมาด้วย การแต่งกายของคนทั้งคู่ช่างไม่แตกต่างกัน และตั้งแต่ก้าวขาขึ้นรถมาสองสาวก็พูดคุยกันเสียงดังไม่หยุด ราวกับเธอไร้ตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งที่พอใจยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแย่งกันพูด เพราะจับใจความใดๆ ไม่ได้เลย แถมยังเปิดเพลงเสียงดังอีก ลมก็ตีกระทบใบหน้าจนชาไปหมด เธอไม่กล้าจะปริปากด้วยซ้ำ และคนขับดูไม่ใส่ใจกับระดับความเร็วของการขับขี่เลยสักนิด ทุกอย่างดูรวดเร็วจนหูอื้อตาลาย เคลื่อนตัวมาได้สักระยะ อยู่ๆ รถหรูก็เริ่มลดระดับความเร็วลง และหยุดสนิทใกล้ฟุทบาธ นั่นก็เพราะด่านตรวจในยามค่ำคืน ชายในเครื่องแบบตรงดิ่งมาทันทีด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย "อีกแล้ว อีกแล้ว! " เขาเอ่ยออกมา แต่สองสาวดูไม่สะทกสะท้าน หันมายิ้มให้กัน "ลงมา...ขออนุญาตตรวจค้น" เขาพูดออกมาราวกับพูดเพราะเป็นหน้าที่ "ตรวจตรงนี้ก็ได้ค่ะจ่า" คนขับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยียวน หลังจากจบประโยคนั้น เด็กสาวตาเบิกโพลงทันที ก็สองสาวเล่นถลกเสื้อขึ้นพร้อมกัน เผยให้เห็นหน้าอกสี่เต้าอย่างเต็มตาปราศจากสิ่งใดปกปิด นี่คนกรุงเทพฯ ไม่ใส่เสื้อชั้นในเหรอ เธอคิดแบบนั้น กระเป๋าในมือร่วงลงจากมืออย่างไร้การควบคุม มือปัดป่ายจับชายเสื้อตัวเอง เตรียมจะถลกขึ้นบ้างเหมือนสองสาว "เห้ยๆ ไม่ต้อง" น้ำเสียงห้ามของชายในเครื่องแบบทำให้พอใจโล่งอกทันที เพราะสิ่งที่ผู้หญิงแปลกหน้าทำนั้น ทำให้เด็กสาวเข้าใจไปเองว่านี่คือการตรวจค้นในแบบเมืองกรุง "เอาลงเลย! เดี๋ยวจะโดนข้อหาอนาจาร" เขาจึงสรุปให้อีกรอบด้วยท่าทางหัวเสีย ไม่ได้ดูชื่นชอบกับการได้เห็นของดีๆ ที่สาวๆ หน้าตาดีกำลังโชว์ให้ดู พอใจถูกแยกออกจากสองสาวมานั่งสอบสวนที่โต๊ะข้างถนน หันไปเห็นสองคนนั้นที่ดูจะเสียงดัง ปั่นป่วน เจ้าหน้าที่ทั้งด่านจนวุ่นวายไปหมด "อายุเท่าไหรเนี่ย" "สิบเก้าค่ะ" เจ้าหน้าที่คนเดิมที่เรียกตรวจค้นเลิกคิ้วมองโดยละจากเอกสารตรงหน้า คว้าบัตรประชาชนของเด็กสาวที่ขอไว้มาดูอีกรอบ "แล้วมากับสองคนนั้นได้ไง" คำพูดจับผิด "พี่เค้า...อาสาไปส่งที่มหาลัยฯ ค่ะ" "ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน? " "ค ค่ะ" เด็กสาวอ้อมแอ้มตอบ "ห๊า! เอาเบอร์พ่อแม่มา" เขาดูหัวเสียมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า "คือ...หนูไม่มีพ่อแม่ค่ะ" โอ้ย! ต้องงัดวิชาโกหกหน้าตายมาใช้ก็ตอนนี้แหละ "แล้วใครดูแล ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อยู่กับใคร หนีออกจากบ้านมาหรือเปล่า..." และคำถามอีกมากมาย ก็จริงแหละอยู่ต่อหน้าตำรวจ การถูกสอบสวนก็ต้องโดนเป็นธรรมดา แต่ก็ทำอะไรเด็กแสบอย่างพอใจไม่ได้ เพราะท่าทางที่ดูเซ่อๆ ซ่าๆ ราวกับเด็กบ้านนอกถูกหลอกเข้ามาในเมือง ไม่ว่าเด็กสาวจะตอบอะไรออกไปก็ดูใสซื่อน่าสงสาร และน่าเชื่อถือไปหมด "นี่ค่ะ ผู้ปกครองหนู" ส่งนามบัตรที่หมอมะนาวเคยให้ไว้ครั้งก่อน จำได้ว่าพกติดกระเป๋าสตางค์ เขารับมาถือไว้ก่อนจะโทรหาคนในนามบัตรอย่างไม่ลังเล บทสรุปของสองสาว หลังจากที่ถูกปล่อยตัวไปแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันบ่นจนเซ็งแซ่ เรื่องสองสาวขาประจำด่าน ที่มักจะมาปั่นป่วนพวกเขาเกือบทุกค่ำคืนราวกับเป็นงานอดิเรก และในวันนี้สองสาวก็ปั่นป่วนด้วยถุงแป้ง ค่ะ! แค่แป้งธรรมดากรอกใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ หากใครพบเจอก็อาจเข้าใจได้ว่าเป็นยาเสพติด แต่สรุปแล้ว คือแค่ แป้ง เทสดจากกระป๋อง และก็ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงของสองสาวว่าทำเพื่ออะไร หลังจากสอบสวนจนพอใจ เด็กสาวก็ถูกพาขึ้นรถไปส่ง ณ สถานีตำรวจใกล้ๆ เพื่อรอผู้ปกครองมารับ และคงเพราะเดินทางตั้งแต่เช้า จึงเพลียหลับไปโดยไม่รู้ตัว "ขอโทษค่ะ ต้องขอโทษที่รบกวนค่ะ" พอใจงัวเงียตื่นมาเพราะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย และเมื่อแน่ใจว่าใช่คนที่อยากเจอจึงรีบผลุดลุกวิ่งไปหาด้วยใบหน้าดีใจ เพราะอย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องนอนที่สถานีตำรวจ "ไม่เป็นไรครับคุณหมอ แต่ทีหลังก็ดูแลลูกหลานดีๆ แล้วกัน" "ค่ะ ดิฉันจะดูแล ไม่ให้มาวุ่นวายอีก ต้องขอโทษอีกทีนะคะ" เหมือนเห็นสายตาคาดโทษส่งมาทางตัวเองเพียงนิดก่อนจะหันไปยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ยกใหญ่ ก่อนจะเดินนำเด็กสาวไปยังรถ โดยไม่มีคำพูดใดออกจากปากคนที่ดูรีบเร่งเกินปกติ "แหม... มาแค่นี้ต้องใส่ซะเต็มยศเลย" เสียงเจื้อยแจ้วออกจากปากพอใจ เพราะเริ่มจะอึดอัดหลังจากที่ก้าวขึ้นรถมา คนขับก็เอาแต่เงียบ ไม่พูดจาทักทาย จึงต้องเอ่ยออกมาทำลายความเงียบแทน "มาจากโรงพยาบาลค่ะ" ตอบแค่นั้น โดยไม่คิดอธิบายลงรายละเอียด เด็กสาวจึงจำต้องก้มลงมองเวลาที่ข้อมือ ตอนนี้เกือบจะตีสาม นี่คนข้างๆ ยังต้องทำงานอยู่อีกเหรอ "นอนห้องหมอไปก่อนนะคะ ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะมา เลยไม่ทันเตรียมห้องให้ ไว้พรุ่งนี้จะให้แม่บ้านมาทำความสะอาด" "แล้วหมอจะไปไหนล่ะ" เพราะท่าท่างดูรีบๆ เตรียมจะออกจากห้องจนพอใจต้องเอ่ยถาม "ทำงานต่อค่ะ...แล้วเปิดเทอมมื่อไหร่" แม้จะรู้สึกเคืองๆ เด็กสาวเพราะเรื่องที่ก่อไว้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ "วันจันทร์ค่ะ" น้ำเสียงดูสลดลงอย่างรู้สึกผิด "น่าตีนะคะ" แต่ก็ขอดุเสียหน่อย จนเด็กสาวใบหน้าง้ำงอ "ไว้ออกเวรแล้วจะพาไปซื้อชุดนักศึกษา ตอนนี้ก็นอนเถอค่ะ แล้วก็อย่าเพิ่งออกไปไหนล่ะ" พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้เด็กสาวยืนเคว้งอยู่กลางห้อง แต่สักพักก็เริ่มเดินสำรวจ เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ ข้าวของในห้องที่ธรรมดาๆ กลายเป็นของแปลกตาสำหรับเด็กสาว แต่ก็ไม่อาจต้านทานความง่วงได้ เอาเป็นว่ายังมีเวลาอีกเยอะที่จะสำรวจความเรียบร้อย ดังนั้น ตอนนี้ขอทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างก่อนดีกว่า ด้านหมอมะนาว หลังจากรับสายจากเบอร์แปลกในยามวิกาล ก็รีบขับรถมาหาเด็กแสบทันที แต่ทันทีของคุณหมอฉุกเฉินสำหรับเธออาจไม่เหมือนคนอื่นๆ เวลาเที่ยงคืนนั้นเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด มีเคสมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งกว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็หลายชั่วโมง และก็ต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เธอจริงจังเสมอกับเรื่องงาน เวลาทุกวินาทีนั้นมีค่า ตั้งแต่ทำงานมา คุณหมอมะนาว หรือ หมอมณีจันทร์ไม่เคยเกเร และเพราะเป็นหมอใหญ่ จึงต้องเด็ดขาดและจริงจัง แต่ครั้งนี้กลับต้องใช้อภิสิทธ์เหนือคนอื่น ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าปริปากบ่นหรือแม้แต่จะพูดลับหลัง เพราะเธอไม่ใช่แค่หมอฉุกเฉินธรรมดาแต่พ่วงด้วยตำแหน่งภรรยาเจ้าของโรงพยาบาล พอใจงัวเงียตื่นมาในยามเช้า เพราะความเคยชิน แม้จะนอนดึกเพียงใดแต่ก็ไม่เคยตื่นสาย "หิวจัง" เปิดประตูห้องนอน ตรงไปที่ตู้เย็นหลังใหญ่ เมื่อวานกินแค่ไส้กรอกอีสาน ป่านนี้คงย่อยหมดแล้ว "อันนี้คงกินได้" หยิบอาหารแช่แข็งออกมาหนึ่งห่อ อันที่จริงในตู้เย็นก็มีเยอะแยะมากมาย แต่เลือกอันนี้ที่ดูน่าตาน่าทานที่สุด เกี๊ยวหมู อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็ไม่อดตายแล้ว เธอคิด ก่อนจะเอาเข้าไมโครเวฟ 'ติ๊ง ต่อง' หันมองไปยังประตู พลางคิดว่าเวลานี้ใครจะมา หรืออาจจะเป็นคุณหมอ หล่อนอาจจะเลิกงานแล้ว รีบตรงดิ่งไปที่ประตูและเปิดออกทันที "มาทำความสะอาดค่ะ" ยืนคิดเพียงครู่เดียว ก็ยอมเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อให้คนมาใหม่ได้เข้ามา และหล่อนดูชำนาญ เดินตรงไปอีกห้องที่ถูกปิดอยู่อย่างรู้งาน แต่สิ่งที่อยู่ในมือของหล่อนช่างเรียกความสนใจให้เด็กสาวจนต้องเอ่ยออกมา "นั่น ซื้อมาจากไหนเหรอ" เธอหมายถึงแก้วน้ำพลาสติกใบใหญ่ที่คนมาใหม่หิ้วมาด้วย "ข้างล่างค่ะ อยากกินเหรอคะ" โอเลี้ยงในมือของหล่อนนั้นคือเครื่องดื่มที่พอใจโปรดปราน "ค่ะ พาไปซื้อที" "งั้นเดี๋ยวพี่ทำงานเสร็จแล้ว ลงไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ" เพราะไม่คิดว่าสมาชิกในคอนโดหรูกลางเมืองจะสนใจกับเครื่องดื่มธรรมดาราคาถูกแทนที่จะเป็นเครื่องดื่มจากร้านดังๆ เพราะอยากโอเลี้ยงใจแทบขาด จึงกลายเป็นคนมีน้ำใจขึ้นมา งานทำความสะอาดใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จเพราะมีพอใจช่วยอีกแรง "เย่! ได้กินแล้วก็ค่อยมีแรงขึ้นมาหน่อย" เดินดูดโอเลี้ยงแก้วโตกลับเข้ามาในคอนโดอย่างสบายใจ เอาเป็นว่าเด็กสาวขอให้คำนิยาม ว่ามันคือ โอเลี้ยงโอ่ง เพราะภาชนะที่ใช้มันดูใหญ่โตเกินกว่าจะเป็นแก้ว ที่ใครต่อใครบอกว่าข้าวของในกรุงเทพฯ นั้นราคาแพง เธอเริ่มจะไม่เชื่อแล้วล่ะ เพราะโอ่งนี้แค่ยี่สิบบาท อิ่มจนจุก แถมเมื่อวานไส้กรอกอีสานยี่สิบบาทกับผักหนึ่งสวนที่เธอรับประทานไป ไม่ได้แพงเลยสักนิด จากที่ชอบกรุงเทพฯ มากอยู่แล้ว ยิ่งชอบมากเข้าไปอีก แต่ตอนนี้เริ่มไม่ชอบตัวเองแล้ว เพราะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าห้องที่เพิ่งเดินออกมานั้นอยู่ชั้นไหนและเบอร์ห้องนั้นเลขอะไร แถมทั้งเนื้อทั้งตัวตอนนี้มีแค่กระเป๋าสตางค์ แต่ถึงแม้จะจำรายละเอียดได้ เธอก็ไม่มีกุญแจห้องอยู่ดี มัวแต่ลั้นลา แล้วจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้ ถ้าหมอมะนาวรู้ต้องถูกดุแน่ เพราะหล่อนกำชับไว้ว่าไม่ให้ออกไปไหน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD