นลินมุกดาหันไปตามเสียงก็พบคุณป้าคนหนึ่ง ลักษณะตัวเล็กๆ ผมสีดอกเลากำลังก้มลงไหว้องค์พระธาตุอยู่ข้างๆ เธอ เธอหันไปมองคุณป้าคนนั้นอย่างไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ใช่เสียงของคุณป้าท่านนี้หรือเปล่า คุณป้าเงยหน้าขึ้นมาพลางหันหน้ากลับมามองที่เธอก่อนจะอมยิ้มออกมาอย่างเย็นใจ แต่สำหรับนลินมุกดาในตอนนั้นมันช่างดูเย็นยะเยือกชวนขนลุกเสียมากกว่า
“เขาตามหาหนูมาหลายภพหลายชาติแล้วนะ โกรธอะไรเขาเหรอถึงหนีเขามาแบบนี้...”
“คุณป้าหมายถึงใครคะ ใครตามหนู นี่พูดกับหนูอยู่ใช่มั้ยคะ”
“คนหนีมาอาจจะลืมทุกคำสัญญา แต่คนที่เฝ้ารอเขาไม่ลืมสัญญานั้นหรอกนะ จิตราวดีศรีมุกดา...”
“หนูงงไปหมดแล้ว คุณป้าพูดเรื่องอะไรคะ...คุณป้าตอบหนูก่อน”
“มุก!!! มุก!!! นี่แกคุยอยู่กับใคร” ราชันย์ดึงแขนนลินมุกดาจนเธอหันไปหาเขา
“ก็คุยกับคุณป้า...”
นลินมุกดาหันมาอีกครั้งก็พบกับความว่างเปล่าที่ข้างๆ กายของเธอ คุณป้าคนนั้นหายไปเสียแล้วอย่างไร้ร่องรอย ราชันย์ทำหน้าสับสนปนวิตกกังวลพลางถามเธอด้วยความสงสัยแต่เธอเลือกที่จะเงียบนิ่งและไม่ตอบอะไร มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ตั้งแต่ตอนที่เธอไปยืนร้องไห้อยู่ตรงข้างลานพญาศรีสัตตนาคราชจากนั้นก็มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นกับเธอไม่หยุดหย่อน เธอเดินก้มหน้าก้มตาพลางรีบเดินขึ้นรถไปทันที
“แกแปลกๆ นะมุก เมื่อกี้อยู่ๆ แกก็หันไปคุยกับใครไม่รู้ ฉันหันไปไม่เจอใครเลย...แกเป็นอะไรหรือเปล่า”
“หรือมันจะจริงอย่างที่คุณย่าใหญ่แกทำนายวะราชันย์ เรื่องคู่ในอดีตชาติของฉัน”
“อ้าว แล้วไหนแกว่าแกไม่เชื่อไง”
“คุณย่าแกบอกฉันว่าที่ฝันเห็นพญานาคเพราะเขารอฉันอยู่ ถ้าอยากเจอกันสักทีก็ให้ฉันกลับมาที่นี่”
“แล้ว...”
“ฉันว่า ฉันเจอเขาแล้วว่ะ”
“ตลก!!! ตั้งแต่เราเดินทางมานครพนมเนี่ย ฉันยังไม่เห็นแกคุยกับผู้ชายคนไหนเลย”
“ก็แล้วถ้าเขาไม่ใช่คนล่ะ...ถ้าเขาเป็น...”
“พอ!!! มืดแล้วเดี๋ยวต้องเดินทางต่อ เลิกพูดไว้ค่อยคุยกัน”
ราชันย์ออกรถทันทีหลังจากพูดจบ ทั้งสามคนนั่งเงียบกริบไปตลอดทางด้วยบรรยากาศที่ค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ หลังจากออกจากพระธาตุพนมมานั้นพระอาทิตย์ก็ตกดินไปเกือบจะครึ่งดวงแล้ว แสงของสุริยาลับลาโลกไปแล้วเหลือเพียงความมืดที่ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ นลินมุกดาหยิบมือถือขึ้นมานั่งดูอะไรไปเรื่อยๆ ฆ่าเวลาระหว่างเดินทางไปยังโรงแรมซึ่งเป็นที่พักของคืนนี้
“คืนนี้นอนที่นี่แล้วกันนะ ฉันจองไว้เมื่อตอนกลางวัน วิวสวยดีติดริมแม่น้ำโขงด้วย”
“แล้วจะกินอะไรกันมื้อเย็น”
“เดี๋ยวไปหาหมูกะทะกินที่ตัวเมืองมุกดาหารก็ได้ ชิวๆ หาเบียร์เย็นๆ กิน”
“นี่ทริปทำบุญนะ ยังจะหาเบียร์กินอีก”
“แกก็ทำบุญไปสิมุก แกเป็นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องมาที่นี่นี่นา”
“เหนือ!!! ฝากตบเพื่อนแกสักทีสองทีสิ ฉันขี้เกียจเอามืออันสะอาดสะอ้านของฉันไปแปดเปื้อนกับมัน”
“เอ้า!! ทะเลาะกันได้ตลอดนะพวกแกเนี่ย ไปๆ เข้าที่พักจะได้ไปหาข้าวกินกัน”
ทั้งสามคนแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นห้องนอนของตัวเอง และก็อาบน้ำแต่งตัวพลางลงมายืนรวมตัวกันที่ล็อบบี้ด้านล่างก่อนจะออกไปหามื้อเย็นทานกันที่ตัวเมือง นลินมุกดากลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว เธอจึงรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่แล้วอยู่ๆ กระเป๋าสะพายของเธอก็ตกลงที่พื้นห้องจนกำไลนาคเกี้ยวนั้นกระเด็นออกมาจากกระเป๋า เพชรพญานาคสีแดงสดนั้นวาววับรับกับแสงไฟในห้องนอน เธอผงะเล็กน้อยพลางเดินเข้าไปเก็บกำไลวงนั้น
“แกทำฉันหลอนทั้งวันละนะ ไหนคุณยายคนนั้นบอกฉันจะโชคดีไงถ้าใส่แก ทำไมเจอแต่เรื่องหลอนๆ”
นลินมุกดาหยิบกำไลนาคเกี้ยวนั้นวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงพร้อมกระเป๋าสะพายของเธอและรีบปิดไฟเตรียมจะเข้านอน บรรยากาศคืนนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาตั้งแต่ตอนที่เธอเดินทางออกมาจากพระธาตุพนมจนถึงตอนนี้ที่ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย อากาศเย็นลงจนหมอกลงขาวไปทั่วบริเวณ นลินมุกดาที่เป็นหวัดง่ายอยู่แล้วเริ่มมีอาการร้อนๆ หนาวๆ คล้ายจะป่วย เธอเลยกินยาแก้ไข้และแก้แพ้เข้าไปก่อนจะปิดไฟนอน และคงด้วยฤทธิ์ของยาจึงทำให้เธอดำดิ่งสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมืดในห้องนอนของเธอนั้นก็ปรากฏแสงสว่างสีแดงสดจากเพชรพญานาคเม็ดใหญ่บนยอดบนสุดของกำไลนาคเกี้ยวนั้น
‘เพียงพบพักตร์สบสายตาก็หลงรัก ยากจะหักห้ามใจรักเสน่หา
ดั่งถูกมนต์ให้หลงใหลล้นอุรา ช่างตรึงตาตรึงใจไม่รู้วาย
ยามไม่พบเจอเจ้าเฝ้าเป็นทุกข์ เหมือนจิตหลุดลอยไปเหมือนใจหาย
กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนจักตาย หากข้างกายได้มีเจ้าคงหายดี’
เสียงถอนหายใจดังขึ้นทันทีหลังกลอนถูกกล่าวจนจบ อัครวรมันทร์นาคราชหันกลับไปหาบ่าวไพร่เมืองบาดาลของพระองค์ที่กำลังคัดคำกลอนของพระองค์อยู่ เภวยุชนาคาผู้ซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทของพระองค์เงยหน้าขึ้นมองนายของเขาที่กำลังทำหน้าตาเบื่อหน่ายกับหนังสือตรงหน้า
“จะคิดถึงแค่ไหน นางก็คงจำไม่ได้ว่า ข้ากับนางเคยรักกันมากแค่ไหนใช่หรือไม่...”
“นี่ก็เกือบจะพันปีแล้วนะขอรับ เจ้านางจิตราวดีศรีมุกดาก็เพิ่งกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง คงยังจดจำเรื่องราวของเมื่อภพชาติก่อนกับพระองค์มิได้ดอกขอรับ”
“เภวยุชนาคา...เจ้าคิดว่านางจะจำข้าได้หรือไม่”
“เจ้านางเคยรักพระองค์เสียมากกว่าพระชนม์ชีพของพระนาง ข้ากระหม่อมเชื่อว่าพระนางมิมีวันลืมความรักและคำสัตย์สัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ดอกขอรับ”
“ข้ากลัวเหลือเกินเภวยุชนาคา ว่านางจักลืมความรักเมื่อหนหลังของเราสองคน ข้ารอคอยนางมานานเหลือเกิน”
“พระองค์อย่าได้วิตกกังวลไปเลยขอรับ เจ้านางกลับมาแล้วแลจักกลับมาเป็นพระชายาของพระองค์ตามคำทำนายอย่างแน่นอนขอรับ”
“แม้คำทำนายของท่านโหรจักบอกไว้ว่า เมื่อครบพันปีจิตราวดีศรีมุกดายอดดวงใจของข้าจักกลับมาเกิดอีกครั้งแลจะกลับสู่บาดาลนคร แต่ก็หามีใครยืนยันได้ว่า นางจะกลับมาหาข้าตามคำทำนายเยี่ยงนั้นจริง”
“หากเป็นเช่นนั้น...พระองค์จักทรงทำเยี่ยงไรขอรับ”
“ข้าจักขึ้นไปพบนางที่เมืองมนุษย์ นางจักได้จำข้าได้เสียที”
“แต่หากเป็นเช่นนั้น...องค์พญาศรีสัตตนาคราช พระอัยกาของพระองค์จักทรงกริ้วได้นะขอรับ”
“ท่านเจ้าปู่มิรู้ดอก ท่านเสด็จเข้าถ้ำถือศีลภาวนาใกล้ๆ องค์พระธาตุพนม มิได้กลับมาที่วังรัตนมุกดามณีนี่ก็หลายร้อยปีแล้วหลังจากเกิดเรื่องนั้น”
“แต่กระผมว่า...พระองค์รอเดี๋ยวสิขอรับ รอกระผมด้วย”
‘อัครวรมันทร์นาคราช’ หลานชายคนสุดท้องขององค์พญาศรีสัตตนาคราช เจ้าชายผู้ทรงสิริโฉมงดงาม พระองค์เป็นนาคาโอปปาติกะ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาดเป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่านาคีทุกผู้ที่พบเห็น คิ้วหนาตาคม แววตาสีเหล็กดำเงาดูเข้มขรึม จมูกโด่งได้รูปรับกับปากอมชมพูรูปกระจับ เรือนร่างขาวเนียนละเอียดหากแต่ดูกำยำกล้ามใหญ่ราวกับนักรบ ผมสีดำสนิทยาวลงมาปิดระกับแก้มเนียนละเอียดส่วนบนถูกมัดรวบหลวมๆ ยิ่งส่งให้ใบหน้าดูหล่อเหลาคมคายไปอีก
ทันทีที่พูดจบอัครวรมันทร์นาคาก็แปลงกายเป็นนาคราช 3 เศียร ตัวใหญ่มหึมาเท่าตู้คอนเทนเลอร์ ดวงตาสีเหล็กดำสนิทวาวใสราวนิลกาฬ ผิววรกายนั้นเผยให้เห็นเกล็ดงูอันใหญ่โตและวาววับจับแสงเป็นประกายสีรุ้ง พระองค์กำเนิดมาในตระกูลฉัพพยาปุตตะจึงมีวรกายเป็นสีขาวเงินแต่เมื่อต้องแสงคราใดจะบังเกิดเป็นประกายสีรุ้งดูน่าเกรงขาม พระองค์หันมามองเภวยุชนาคาก่อนจะขยับร่างนาคราชของพระองค์ที่ใหญ่โตนั้นแหวกว่ายผ่านแผ่นน้ำกว้างขึ้นสู่เมืองมนุษย์
‘พิศดูดวงหน้าหวนให้คิดถึง รักเคยหวานซึ้งเปลี่ยนแปรแลห่างหาย
ด้วยแรงกรรมรักพันผูกจิตไม่รู้คลาย สัจจะวาจาให้ไว้หาได้ลืมเลือน’
ร่างครึ่งคนครึ่งนาคายืนมองใบหน้าของนลินมุกดาด้วยความคิดถึงปะปนด้วยความโหยหา เขารอคอยเธอมาร่วมพันปีเพื่อรอให้เธอกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งช่างยาวนานเหลือเกินที่ดวงใจของเขารอคอยเจ้าของที่แท้จริงกลับคืนมา อัครวรมันทร์นาคราชกลายร่างกลับไปเป็นมนุษย์พลางเดินไปนั่งลงที่เตียงใกล้ๆ กับร่างที่หลับใหลของนลินมุกดา เขาใช้มืออันกำยำนั้นลูบไล้ที่แก้มนวลเนียนของนลินมุกดาอย่างเบามือที่สุดด้วยความทะนุถนอม
“จิตราวดีศรีมุกดายอดดวงใจของข้า สิ้นสุดการรอคอยของข้าแล้ว...สวรรค์เมตตาให้เจ้าได้กลับมาอยู่ตรงหน้าของข้าอีกครั้งเสียที”
พูดจบก็บรรจงจูบอย่างแผ่วเบาลงบนเรือนผมอันยาวสลายของนลินมุกดา ดวงใจของเขาในตอนนี้เต้นระริกด้วยความอิ่มสุขที่ได้กลับมาพบเจอกับนางอันเป็นที่รัก สายตาของเขาหันไปเห็นกำไลนาคเกี้ยวที่มีเพชรพญานาคสีแดงสดอยู่ที่ยอดบนสุดของกำไลจึงเดินไปหยิบมาถือไว้ในมือ
“ของหมั้นนี้...ในที่สุดก็กลับมาสู่เจ้าของที่แท้จริงสิหนา” อัครวรมันทร์นาคราชมองดูกำไลนาคเกี้ยวนั้นพลางสวมกำไลทองนั้นเข้าที่ข้อมือข้างขวาของนลินมุกดา ก่อนจะเป่าเสกมนต์ของนาคราชไว้ที่กำไลวงนั้นทันที
“จากนี้มิว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จักเจอภัยอันตรายใด ข้าจักตามรัก ตามปกป้องเจ้าตลอดไป กลับคืนวังรัตนมุกดามณีของเราเถิดหนา...จิตราวดีศรีมุกดา”
เภวยุชนาคาที่ตามมาจากบาดาลนคร กลายร่างเป็นมนุษย์มายืนอยู่ข้างกายอัครวรมันทร์นาคราชพลางจ้องมองใบหน้าของนลินมุกดาแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จะให้มองกี่ทีก็รู้ได้ทันทีว่า ‘ผู้หญิงคนนี้คือ เจ้านางจิตราวดีศรีมุกดากลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน’
“ข้าจักกลายร่างเป็นมนุษย์ ไปทำความรู้จักกับนางเสีย แลนางจักได้จดจำรักของเราได้เสียที”