กำไลปริศนา
ณ ลานพญาศรีสัตตนาคราช
บรรยากาศบริเวณลานกว้างนี้สนุกสนานครื้นเครงกันไปทั่วบริเวณ มีร้านค้าเนืองแน่นไปทั่วลานและแถบถนน ที่นั่งจุดต่างๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมพิธีไหลเรือไฟในวันออกพรรษา ตรงลานพญาศรีสัตตนาคราชแห่งนี้นั้นเองที่ต่างมีผู้คนมารอจุดธูปเทียนและเตรียมบายศรียกไหว้ขึ้นถวายองค์พญาศรีสัตตนาคราช ที่ตั้งตระง่านเป็นรูปปั้นองค์พญานาค 7 เศียร ประทับพักอิริยาบทสงบนิ่งขดลำตัว 3 ชั้น ผู้ซึ่งคอยปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมตามตำนานที่กล่าวขานสืบมานานชั่วอสงไขย
ห่างออกไปไม่มากนักจากทางด้านข้างของฐานองค์พญาศรีสัตตนาคราช ปรากฏร่างหญิงสาวสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวยาว ตากลม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม ผิวกายขาวเนียนละเอียดดูน่าทะนุถนอม เธอกำลังยืนเกาะราวกั้นที่กั้นขวางระหว่างพื้นดินและแผ่นน้ำโขง มีเสียงสะอื้นล่องลอยมาตามสายลม ใบหน้าขาวเนียนสวยนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดยากที่จะระบายออกมาเป็นคำพูดได้
“เป็นแบบนี้อีกแล้ว จะกี่คนต่อกี่คน พอฉันรักก็ทำกับฉันแบบนี้...”
หญิงสาวจับราวกั้นไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บที่มือทั้งสองข้างของเธอ สายตาคู่นั้นจ้องมองลงไปในลุ่มน้ำโขงที่มีเรือไฟหลากหลายรำกำลังล่องผ่านจุดที่เธอยืนอยู่อย่างงดงามตระการตา แต่เธอไม่ได้สนใจในความงดงามนั้นสักนิด เธอจับจ้องสายตาไปที่แม่น้ำนั้นภายในใจกำลังขบคิดว่าปลิดชีวิตตัวเองที่นี่เสีย
“ปู่จ๋า...ย่าจ๋า มารับหนูกลับเมืองบาดาลทีเถอะเจ้าค่ะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮื่อๆๆๆ”
สายลมแรงพัดผ่านใบหน้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำตาของเธอราวกับอยากจะโอบกอดร่างของเธอไว้ แต่ก็ทำได้เพียงพัดผ่านร่างนั้นไป หญิงสาวตัดสินใจเสี้ยวหนึ่งของความคิดเธอเหยียบขึ้นราวกั้นนั้นและทำทีจะกระโดดลงไปในลุ่มน้ำโขงแห่งนั้นเสียเพื่อจบเรื่องราววุ่นวายในชีวิตของเธอสักที แต่ก่อนที่เธอจะทิ้งร่างบางของเธอลงแม่น้ำโขงไปก็มีมือมือหนึ่งมารั้งแขนเธอไว้ให้ได้สติ
“แม่หนูจะทำอะไรลูก...คงทุกข์ใจมากสินะ เอานี่ไปติดตัวไว้นะแล้วหนูจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา”
หญิงแก่คนหนึ่งคว้าข้อมือเธอไว้พลางหยิบกำไลนาคเกี้ยวด้านบนหัวนาคทั้งสองยอดบนสุดของกำไลถูกประดับด้วยเพชรพญานาคเม็ดใหญ่สีแดงสดราวกับสีเลือด ตัวเรือนเป็นทรงกลมสีทองดูงดงามราวกับสั่งทำมาเป็นพิเศษ หญิงแก่คนนั้นสวมมันที่ข้อมือข้างขวาของเธอและดึงเธอลงมานั่งลงที่นั่งข้างราวกั้น เธอนั่งอยู่ตรงนั้นชั่วครู่มองดูด้วยความฉงนสงสัยกับกำไลที่อยู่บนข้อมือ ตั้งใจจะเงยหน้าขึ้นถามถึงเหตุผลที่หญิงแก่คนนั้นให้มันกับเธอ
“คุณยายคะ...กำไลนี่...คุณยาย...”
หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจเมื่อมองดูรอบตัวเธอในขณะนี้ไม่มีหญิงแก่คนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เธอนั่งอยู่ตรงลานศรีสัตตนาคราชนี้เพียงลำพัง บริเวณโดยรอบเริ่มปิดไฟหมดแล้วเพราะงานกาชาดไหลเรือไฟได้ปิดงานลงเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าต่างๆ ก็ทยอยเก็บของกลับบ้านกัน ไม่มีใครที่พอจะเป็นหญิงแก่ที่เธอที่ช่วยชีวิตเธอได้เลยสักคน เธอลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ด้วยความสับสนมือของเธอยังจับกุมที่กำไลข้อมือนั้นไว้แน่น
“มุก!!! อยู่นี่เอง เราตามหามุกตั้งนาน”
“เหนือ แกตามมาที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ราชันย์เดินกลับไปที่ห้องคนเดียว เราไม่เห็นมุกเลยเดินออกมาหา กลับห้องกันเถอะดึกแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าให้เพื่อนสนิทของเธอพลางเดินตามไปอย่างว่าง่าย น้ำเหนือและเธอสนิทกันมาตั้งแต่เด็กทุกครั้งที่เธอทะเลาะกันรุนแรงกับราชันย์ คนที่จะตามหาเธอจนเจอคือ ผู้ชายคนนี้ เธอมองแผ่นหลังของเพื่อนในวัยเด็กหลายปีแล้วที่ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันแต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ราชันย์คือคนที่คอยแต่จะทะเลาะกับเธอตลอดและน้ำเหนือคือคนที่คอยอยู่ข้างเธอในทุกๆ ครั้งที่เกิดเรื่อง
“นลินมุกดา...รอบนี้ทะเลาะอะไรกับราชันย์อีกล่ะ พวกเธอสองคนนี่ทะเลาะกันไม่เบื่อเลยนะตั้งแต่เล็กจนโต”
“นั่นสิ ตั้งแต่เล็กจนโตที่ทะเลาะกันมา แต่ฉันก็ยังชอบหมอนั่นไม่เปลี่ยนไปเลย”
“เอ้า ดึงดรามาซ๊ะงั้น...ละรอบนี้ทะเลาะอะไรกันอีก”
“มันบอกให้ฉันหาแฟนสักที เพราะมันมีแฟนแล้วไม่มีเวลามาดูแลฉัน”
“ราชันย์มันมีแฟนละหรอ เราไม่เห็นรู้เลย”
“พอมันพูดแบบนั้น ฉันก็เลยเดินหนีมันออกมา ตัวเองมีแฟนละต้องบังคับฉันหาแฟนด้วยเหรอวะ”
“ใจเย็นน่ะมุก ละมุกไปเอากำไลพญานาคนั่นมาจากไหนอ่า ดูสวยแปลกๆ”
“เออ...ฉันเพิ่งนึกได้ตอนแกทักนี่ล่ะ คุณยายที่ไหนไม่รู้สวมกำไลนี่ให้ฉัน หันมาอีกทีก็หายไปละ”
“หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร?”
“เปล่าหรอก กำไลนี่มันสวยมากจนเหมือนไม่ใช่ของทั่วๆ ไปแถมเป็นรูปนาคเกี้ยวอีก”
“นาคเกี้ยวมันทำไมเหรอเหนือ ฉันไม่รู้จัก”
“ฉันเคยได้ยินคนแถวบ้านที่เขาบูชาพญานาคกัน เขาเล่าว่านาคเกี้ยวเป็นสื่อถึงความรักของพญานาคสองตนที่เกี่ยวพันกันมา เป็นเครื่องรางที่เสริมมงคลทางด้านของความรัก...”
นลินมุกดายกข้อมือที่สวมกำไลนาคเกี้ยวอยู่ขึ้นมามอง แสงจากเสาไฟที่เดินผ่านส่องสะท้อนเพชรพญานาคสีแดงสดนั้นจนดูลึกลับและน่าหลงใหลในคราเดียวกัน เธอเดินตามน้ำเหนือไปที่โรงแรมพอกลับถึงห้องเธอก็อาบน้ำแต่งตัวและเตรียมตัวเข้านอนแต่แล้วก็ต้องลุกขึ้นมาจากที่นอนอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ใครคะ!!” นลินมุกดาลุกจากที่นอนพลางเดินไปที่ประตู ก็พบราชันย์ยืนเก๊กอยู่หน้าประตูห้องของเธอ
“เดินไปไหนมา รู้มั้ยว่าฉันเกือบจะออกไปตามแกละ”
“แต่ก็ไม่ได้ไปนี่ แล้วจะพูดเพื่อ...”
“มุก ที่ฉันพูดเพราะเป็นห่วงแกนะ พ่อแม่แกก็ไม่อยู่ละ...ถ้าแกมีแฟนไปซ๊ะจะได้มีคนดูแล”
“ราชันย์...ฉันเหนื่อยอ่า แกจะมีแฟนก็มีไปเลยฉันไม่ว่า เลิกบังคับฉันเหมือนเป็นพ่อฉันสักที”
ปัง!!!
นลินมุกดาพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าราชันย์ทันที เสียงเคาะประตูดังอยู่สักพักก็เงียบเสียงไป เธอทรุดตัวลงที่หน้าประตูพลางร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ถ้าตอนนี้พ่อกับแม่ของเธอยังอยู่ก็คงไม่ต้องให้ราชันย์มาคอยตามเจ้ากี้เจ้าการชีวิตเธอแบบนี้หรอก แต่เพราะเธอกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กเลยทำให้เธอต้องอยู่ในความดูแลของบ้านราชันย์ และตัวเขาก็คอยจัดแจงโน่นนี่ให้เธอจนเธออึดอัดใจไปหมด
“ถ้าฉันตายๆ ไปซ๊ะ ก็คงไม่ต้องมานั่งฟังคนบ้านนี้เจ้ากี้เจ้าการชีวิตฉันอยู่สินะ...”
รถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม น้ำเหนือลดกระจกรถและร้องเรียกนลินมุกดาที่ยืนเล่นมือถืออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นพลางยกกระเป๋าใส่ท้ายรถและขึ้นมานั่งเบาะหลังของรถ ราชันย์ยื่นกาแฟให้เธอแต่เธอทำเมินมองไปทางอื่นเสีย เขาจึงวางไว้ตรงที่วางแก้วบนรถและขับรถออกไป
รถแล่นไปถึงลานพญาศรีสัตตนาคราช นลินมุกดาหันไปมองรูปปั้นพญานาคองค์ใหญ่ที่สะท้อนแสงแดดยามเช้าจนดูราวกับถูกฉาบไปด้วยสีทองของแสงอาทิตย์ เธอจึงยกมือไหว้รูปปั้นองค์พญาศรีสัตตนาคราชและอธิษฐานจิตเพื่อขอให้ชีวิตหลังจากนี้ดีขึ้นสักที ในจังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้นหญิงแก่ที่สวมกำไลนาคเกี้ยวให้เธอเมื่อคืนก็ยืนอมยิ้มให้เธอตรงจุดที่เธอพบกับหญิงแก่พลางโบกมือให้เธอเป็นเชิงร่ำลา เมื่อรถขับผ่านคุณยายไปเธอหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าหญิงแก่คนนั้นได้หายไปเสียแล้ว
นลินมุกดารู้สึกกังวลใจมากขึ้น เธอยกกำไลข้อมือนาคเกี้ยวขึ้นมองในระหว่างที่นั่งมาบนรถ แสงสะท้อนแดงกร่ำจากเพชรพญานาคที่ยอดของกำไลส่องประกายวิบวับจนดูน่าหลงใหล เธอจ้องมองเพชรพญานาคนั้นไปตลอดทางราวกับต้องมนต์และรู้สึกตัวอีกทีเมื่อน้ำเหนือจับที่ขาเธอและเขย่าเบาๆ ให้เธอได้สติ
“มุก มุกเป็นอะไรหรือเปล่า เราเห็นนั่งเงียบมาตั้งแต่ผ่านลานพญาศรีสัตตนาคราชแล้ว”
“เปล่า เปล่าหรอก...นี่เราไปที่ไหนกันต่ออ่า”
“ก็ว่าจะไปแก่งกะเบาต่อล่ะ น้ำลดแบบนี้คงได้ถ่ายรูปตรงริมแก่งเก๋ๆ ใช่มั้ยราชันย์”
“คงงั้น ไม่มีใครหิวอะไรใช่มั้ย ฉันจะได้ไม่แวะไหนแล้ว”
น้ำเหนือและนลินมุกดาพยักหน้าตอบรับว่าไม่มีใครหิว ราชันย์จึงขับรถต่อไปจนเข้าเขตอำเภอธาตุพนม ระหว่างทางก็ใช้ถนนที่เลียบไปกับแม่น้ำโขง พาให้เห็นทิวทัศน์งดงามที่น่าตราตรึงใจยิ่งนัก นลินมุกดาที่มองข้างทางมาตลอดก็เริ่มรู้สึกง่วง เธอลืมเรื่องกำไลนาคเกี้ยวและหญิงแก่คนนั้นไปหมดแล้วด้วยความง่วงอย่างถึงที่สุด
นลินมุกดาลืมตาตื่นอีกทีก็เห็นว่า ริมแม่น้ำโขงที่สว่างไสวด้วยแสงแดดจ้าบัดนี้ได้กลายเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนจนมืดสนิท มีกระแสลมพัดผ่านแม่น้ำโขงเข้ามาที่ชายฝั่งจนเกิดระลอกคลื่นเล็กใหญ่สลับกันไปมาดูช่างน่ากลัว เธอจึงทรงตัวลุกขึ้นและหันไปมองในริมน้ำโขงนั้นแล้วก็พบอะไรบางอย่างเป็นทางยาวๆ สีขาวมุกสะท้อนกับแสงกำลังเล่นคลื่นอยู่ในแม่น้ำโขงนั้น
“น้ำเหนือ ราชันย์ พวกแกดูในแม่น้ำโขงนั่นสิ เหมือนพญานาคเลย...” เธอพยายามเขย่าไหล่ทั้งน้ำเหนือและราชันย์เพื่อให้หันมองตามเธอ แต่ก็นิ่งสนิททั้งคู่ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมาราวกับไม่ได้ยินเสียงของเธอพูด เธอหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าอะไรบางอย่างที่เธอเห็นนั้นได้หายไปแล้ว เธอถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียดายและเมื่อหันกลับมาก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่เบาะข้างๆ เธอ จนเธอตกใจร้องออกมาไม่เป็นภาษา
ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาด คิ้วหนาตาคม แววตาสีเหล็กดำเงาเข้มขรึม จมูกโด่งได้รูปรับกับปากอมชมพูรูปกระจับ เรือนร่างขาวเนียนละเอียดหากแต่ดูกำยำกล้ามใหญ่ราวนักรบ ผมสีดำสนิทยาวลงมาปิดระกับแก้มเนียนละเอียดของเขา เขาเผยยิ้มให้เธออย่างเสน่หาจนเธอแทบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มบาดใจนั้น
“จิตราวดีศรีมุกดา!!! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าเสียที...”
สิ้นสุดเสียงที่ชายหนุ่มพูดก็เหมือนปลุกเธอขึ้นจากภวังค์ เธอเลื่อนสายตามองผ่านใบหน้าและเรือนกายอันกำยำที่ชวนให้หลงใหลนั้น เขาพยายามขยับมาใกล้เธอแต่เธอก็ผละออกด้วยความตกใจ
“คุณเป็นใครกัน? แล้วคุณเรียกชื่อใครคะ”
“ข้ารอเจ้ามาหลายภพหลายชาติแล้ว ในที่สุดก็หาเจ้าพบเสียที”
“ฉัน? รอฉันเหรอ...”
“ถูกต้องแล้ว...จิตราวดีศรีมุกดา!!!”