นลินมุกดาจ้องมองชายหนุ่มอันหล่อเหลาตรงหน้าด้วยความประหม่า เธอพยายามสะกิดเรียกน้ำเหนือและราชันย์ที่อยู่เบาะด้านหน้าแต่ทั้งคู่ก็เงียบสนิทไม่ตอบรับคำใดๆ ท้องฟ้าในตอนนี้ดำมืดสนิทราวกับกลางคืนก็ไม่ปาน มีเสียงฟ้าร้องอยู่เนืองๆ จนเธอสะดุ้งเสียงฟ้าร้องอยู่หลายครั้ง
“กลับไปเมืองบาดาลกับข้าเถิด ยอดดวงใจของข้า...”
ชายหนุ่มยื่นมือมาให้เธอพลางอมยิ้มอย่างละมุนหัวใจ เธอเหมือนถูกสะกดให้หลงใหลในรอยยิ้มนั้นของเขาและค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเขา แต่แล้วร่างของชายหนุ่มส่วนขาที่ในตอนแรกนุ่งโจงกระเบนสีขาวผ้ามันปักดิ้นทองนั้นก็กลับกลายเป็นเกล็ดงูสีขาวมันวาวสะท้อนแสงสีรุ้งขึ้นมา นลินมุกดาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นขาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลำตัวของงูใหญ่ เธอจึงกรีดขึ้นมาบนรถนั้นทันที
“กรี๊ดดดด งู!! งู!! กรี๊ดดด”
“ไหนงู!! มุก!!”
ทันทีที่เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียงและขยับหนีไปทางหลังเบาะของน้ำเหนือ ร่างของชายหนุ่มที่ยื่นมือให้เธอก็หายวับไป ราชันย์ตะโกนตอบเธอพลางหักพวงมาลัยเข้าข้างทางและเบรกรถอย่างกระทันหันทันที จนร่างเธอกระแทกเข้ากับด้านหลังเบาะของน้ำเหนืออย่างจัง
“มุก!! เป็นอะไรรึเปล่า”
“เจ็บอ่า ฉันกระแทกเบาะตอนแกเบรกเมื่อกี้”
“แล้วไหนงู แกบ้าป่ะเนี่ย...อยู่ดีๆ ก็กรี๊ดขึ้นมา ฉันกับเหนือตกใจหมด”
“นี่ไง...งู อ้าว!!”
นลินมุกดาชี้นิ้วไปที่เบาะนั่งข้างๆ เธอก่อนจะหันไปเห็นแต่เพียงความว่างเปล่า น้ำเหนือและราชันย์ที่หันมองไปจุดที่เธอชี้นั้นต่างหันกลับมาจ้องมองที่หน้าเธอเป็นสายตาเดียวกันพลางทำหน้าฉงนสงสัย เธอรีบพุ่งตัวไปที่เบาะข้างเธอพลางจับเบาะไปมาและมองหาร่างของชายหนุ่มผู้นั้นแต่ก็ไม่พบใครอะไร
“เอาอีกแล้ว แกหลับละก็ฝันใช่มั้ยมุก อะไรของแกวะเนี่ย!!”
“ราชันย์ฉันไม่ได้ฝันนะ ฉันเห็นจริงๆ เขานั่งข้างฉันตรงนี้...ตรงนี้เลยจริงๆ ฉันสาบาน”
“ราชันย์แกก็ใจเย็นๆ มุกคงไม่ได้ตั้งใจโวยวายขึ้นมาหรอก”
“น้ำเหนือ แกเลิกเข้าข้างมันเลย บ้าบอ!! ร้องขึ้นมาแบบนี้รถชนขึ้นมาจะทำยังไง”
“เออ ฉันขอโทษ ฝันก็ฝัน”
นลินมุกดาหันไปมองบรรยากาศรอบตัว แสงแดดสว่างสดใสมากราวกับไม่เคยมีเมฆฝนเกิดขึ้นเลยสักนิด หันมองไปข้างทางตรงริมแม่น้ำโขงก็เห็นโขดหินริมแก่งเต็มไปหมด ราชันย์ตั้งสติและหันกลับไปขับรถต่อเลยจากจุดที่จอดมาได้แค่นิดเดียวก็มาถึงแก่งกะเบาในที่สุด
น้ำเหนือเดินนำทั้งสองคนลงไปที่ลานรูปปั้นพญานาคหินอ่อนขององค์พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช พลางไปหยอดตู้ทำบุญและนำบายศรีไปไหว้ถวายองค์พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราชอย่างนอบน้อม เขาหันมามองนลินมุกดาและราชันย์ที่เดินตามมาและทำทีท่าให้ทั้งสองมาไหว้ด้วยกันแต่ทั้งคู่ก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ นลินมุกดายกมือไหว้องค์พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราชเพียงครู่ก็เดินลงไปนั่งรอน้ำเหนือตรงแก่งหินที่ทอดยาวลงไปในแม่น้ำโขง
“แกหิวอะไรรึยังมุก”
“ไม่อ่า ฉันอยากนั่งเล่นเงียบๆ คิดอะไรคนเดียว”
“ที่ฉันพามานครพนมนี่ก็เพราะแกฝันเห็นพญานาคนะ ละทำไมคนฝันเห็นถึงไม่ไปไหว้แต่กลายเป็นน้ำเหนือ”
“พูดมากน่ะ ฉันหมดอารมณ์ละ ถ้ามันจะเป็นตามหมอดูคนนั้นว่าก็ช่างมัน ชีวิตฉันไม่มีอะไรดีมาตั้งนานละ”
“หมอดูคนนั้นที่แกว่าอ่า ย่าใหญ่ฉันนะ...ละท่านทำนายอะไรก็ไม่เคยพลาดด้วย”
“ละที่ท่านทำนายฉันไว้จะมีคนรักในอดีตชาติตามมานี่...ฉันต้องเชื่อป่ะ”
“ก็ฉันถึงช่วยหานี่ไง แกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที ฉันก็จะได้แต่งงานกับน้ำผึ้งหลังแกเจอคู่ของแก”
“อยากแต่งก็แต่งดิวะ จะมารอฉันเพื่อ...โอ๊ยยย!!!”
นลินมุกดาโวยใส่ราชันย์เสร็จก็เดินหนีไปริมแก่งหินที่ทอดยาวไปในแม่น้ำโขง ราชันย์ทำหน้าไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องพูดบอกเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวของเธอ เพราะทุกครั้งที่พูดเธอก็จะหงุดหงิดใส่เขาและเดินหนีเขาแบบนี้ตลอดทั้งที่เขาแค่เป็นห่วงเธอและอยากให้เธอมีคนดูแลเธอจริงๆ สักทีเพราะอีกไม่นานเขาคงต้องแต่งงานกับน้ำผึ้งตามสัญญาที่ให้ไว้กับตระกูลของน้ำผึ้งแล้ว การที่นลินมุกดายังไม่มีคู่ชีวิตทำให้เขาอดกังวลไม่ได้
นลินมุกดาทอดสายตาไปยังแผ่นน้ำที่กว้างใหญ่ของแม่น้ำโขงด้านหน้าเธอ ในใจก็พลางนึกถึงเรื่องคำทำนายของคุณย่าใหญ่และความฝันที่เธอฝันถึงพญานาคสีขาวรุ้งองค์ใหญ่ก่อนที่เธอจะมานครพนมแห่งนี้ ด้วยครอบครัวของเธอประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่เธอจึงสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เธออายุ 10 ขวบ คุณย่าของราชันย์จึงรับเธอมาเลี้ยงดูเป็นหลานบุญธรรมและเลี้ยงร่วมกันกับราชันย์มาตั้งแต่นั้น บ้านของราชันย์นับถือพญานาคมาตั้งแต่ต้นตระกูลแล้วด้วยเคยมีคุณทวดมากราบไหว้ขอสังเกตการณ์พญานาคที่ริมน้ำโขงนี้และหายจากโรคประหลาดได้อย่างอัศจรรย์จึงมีการตั้งของไหว้บูชากันมาตั้งแต่ต้นตระกูล
“ถ้าพญานาคมีจริง ก็พาฉันไปเมืองบาดาลเถอะ ยังไงชีวิตฉันมันก็ไม่มีอะไรดีมาตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไปอยู่แล้ว”
ลำน้ำโขงไหลเลาะเข้าตามซอกซอยของแก่งหินที่นลินมุกดานั่งทอดสายตาอยู่ ราวกับได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วมาตามสายลมแต่ไกลๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงชื่อที่ชายหนุ่มครึ่งล่างเป็นงูนั้นขานชื่อของเธอ ‘จิตราวดีศรีมุกดา’ ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยในความรู้สึกเธอราวกับถูกเรียกขานด้วยชื่อนี้มายาวนานเหลือเกิน ในขณะที่นั่งทอดสายตามองไปไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่นั้นนลินมุกดาก็สังเกตเห็นกำไลนาคเกี้ยวของเธอที่เพชรพญานาคตอนนี้กำลังส่องแสงแวววาวขึ้นมาจนเธอต้องยกกำลังขึ้นมองอย่างสังเกตสังกา
“แสงอะไรน่ะ สว่างมาจากลูกแก้วนี่”
นลินมุกดาจ้องมองเข้าไปในเพชรพญานาคซึ่งเป็นลูกแก้วที่อยู่ด้านบนยอดสุดของกำไล ในระหว่างที่เธอกำลังจับจ้องเข้าไปในลูกแก้วด้วยความสงสัยนั้นน้ำเหนือก็เดินมาถึงร่างเธอและจับที่ไหล่ของเธอไว้พอดี เธอสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันไปมองก้อนตาเขียวปั้ดใส่เพื่อนตัวเอง
“ฉันตกใจหมด แกไม่ส่งเสียงมาก่อนล่ะเหนือ”
“มุกนั่งจ้องอะไรในลูกแก้วนั่นเหรอ ดูตั้งใจมากเหลือเกิน”
“เมื่อกี้เหมือนฉันเห็นแสงอะไรไม่รู้มันสว่างมาจากลูกแก้วนี่อ่า”
“แสงจากแดดมันสะท้อนเข้าลูกแก้วรึเปล่า มุกเลยเข้าใจว่าลูกแก้วมันส่องแสงออกมา”
“น่าจะใช่มั้ง นี่ก็เหมือนฉันอยู่กลางแดดเลยนี่”
“ราชันย์ไปรอบนรถละ เราเลยเดินมาตามมุกน่ะ”
“อ้อ งั้นกลับรถเถอะ จะได้ไปที่อื่นต่อ”
ในจังหวะที่นลินมุกดากำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินตามน้ำเหนือไป เธอก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่เมื่อสายตาของเธอจับจ้องกับลูกแก้วสีแดงที่ข้อมืออีกครั้งและเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นกำลังยิ้มให้ เธอผละจนเกือบจะพลัดตกแก่งหินนั้นไป โชคดีที่น้ำเหนือหันมาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน
“ทำไมมุกถอยหลังไปแบบนั้น ถ้าเราคว้าไม่ทันมุกคงตกน้ำไปแล้ว”
“ฉันเห็น...เห็น...เขา”
“เขาไหน พอละมุกเธอทำให้เรากลัว ขึ้นบกกันเถอะ”
น้ำเหนือรีบจูงมือของนลินมุกดาเดินไปตามแก่งหินและรีบเร่งพาเธอขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุด หลังจากที่เธอเห็นหน้าชายคนนั้นในลูกแก้วกำไลนาคเกี้ยวของเธอ เธอก็รู้สึกหวาดกลัวจนเลิกใส่กำไลนั้นและเก็บใส่กระเป๋าสะพายเอาไว้แทน
“ขึ้นไปไหว้พระธาตุพนมกันเถอะมุก ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะ”
น้ำเหนือพานลินมุกดาไปไหว้พระธาตุพนมต่อ บรรยากาศในตอนนั้นเริ่มมืดครึ้มราวกับฝนจะตกจากที่แดดเปรี้ยงๆ อยู่ ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกลๆ และมีละอองฝนปรอยๆ ลงมาบ้างแล้ว นลินมุกดาเดินตามน้ำเหนือเข้าไปในเขตพระธาตุแต่อยู่ๆ ก็เหมือนพลัดหลงกันเสียเฉยๆ เธอหันมองก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าองค์พระธาตุพนมเพียงคนเดียวเสียแล้ว องค์เจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐสูงตระหง่านรอบองค์เจดีย์ประดับประดาด้วยทองสีอร่ามตาที่ด้านในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เธอจึงเดินเข้าไปที่ด้านหน้าองค์พระธาตุและก้มลงกราบอย่างประณีตที่สุด
“บางครั้งมันก็มีเหตุผลนะที่หนูต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง...”
“คุณป้า พูดกับหนูเหรอคะ?”