บทที่ 7
เรื่องที่เหลือจะเชื่อได้ 2
ที่บ้านหลิน…
ท่าทางของแม่หลินที่เดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดีผิดปกตินั้น ทำให้พ่อหลินที่นั่งบนแคร่หน้าบ้าน ซึ่งพ่อหลินสานตะกร้าอยู่ก็วางมือ แล้วถามแม่หลินขึ้นอย่างสงสัย
“ไปหาซูซูครั้งนี้รู้สึกว่าแม่จะดูมีความสุขนะ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอแม่”
“โอ้ย ตาเฒ่า นี่ๆ ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง” แม่หลินรีบเดินเข้าไปนั่งบนแคร่ข้างสามี พร้อมวางตะกร้าไว้บนแคร่เช่นกัน
“มีอะไรกัน แล้วนี่เอาอาหารไปให้ซูซูไม่ใช่รึ แล้วทำไมของกินยังเต็มตะกร้าอยู่เลยละ”
พ่อหลินถามแม่หลิน และยังนึกสงสัยว่าแม่หลินทำไมถึงอารมณ์ดี เพราะปกติเวลาแม่หลินกลับจากบ้านลูกสาวทีไรจะมีอาการเศร้าซึม พร้อมทั้งบ่นว่าสงสารหลานสาวที่โดนแม่ด่า ซึ่งแม่ที่ว่าก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง
“ตาเฒ่าอยากฟังไหม ถ้าอยากฟังก็เงียบอย่าถามมาก แล้วแม่จะเล่าให้ฟัง” แม่หลินทำหน้างอใส่พ่อหลิน
“อื้อ เล่ามาสิ” พ่อหลินบอกแม่หลิน
“ดูของในตะกร้าสิพ่อ”
และเป็นเพราะกลัวใครได้ยิน แม่หลินจึงยกมือป้องปากกระซิบข้างหูของสามี บอกพ่อหลินให้ดูของกินในตะกร้า
“เนื้อชิ้นดีมากแม่ นี่หนักตั้ง 2 จินเชียวนะ ราคาคงแพงมาก แม่ไปเอามาจากไหน” พ่อหลินตะโกนเสียงดัง ตานี่ค้างมองเนื้อในมือ
เสียงถามดังๆ ของพ่อหลิน ทำให้แม่หลินรีบยกมือปิดปากพ่อหลิน พร้อมทั้งกำชับบอกพ่อหลินว่า
“อย่าพูดดังไปพ่อ เนื้อที่ได้มานะ ซูซูให้มา”
“ซูซูมีเนื้อกินด้วยรึ” พ่อหลินยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เพราะปกติลูกสาวจะกินกับครอบครัวหลินอยู่แล้ว
“ใช่ นี่ยังให้เงินแม่มาด้วยนะ ตั้ง 40 หยวนแหนะ” แม่หลินเอามือป้องหูของพ่อหลินแล้วแอบเอาเงินให้พ่อดู
“เงิน 40 หยวน นี่ซูซูให้มารึ” พ่อหลินถามเสียงดังอีกครั้ง
“ตาเฒ่า อย่าเสียงดังสิ แล้วก็รีบไปบอกลูกได้แล้ว วันนี้แม่จะเป็นคนลงมือทำอาหารเอง”
แม่หลินบอกพ่อหลิน แล้วรีบลุกขึ้นถือตะกร้าเดินเข้าไปในครัว
“เดี๋ยวๆ แม่ มาคุยเรื่องเงินกันก่อน” พ่อหลินรีบลุกขึ้นเดินตามแม่หลิน
“ไปตามลูกๆ ก่อนไป เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังพร้อมๆ กัน” แม่หลินบอกพ่อหลิน แล้วเดินถือตะกร้าเข้าไปในครัว
ส่วนพ่อหลินก็ออกไปบอกลูกๆ แล้วเข้าบ้านปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิด วันนี้เป็นวันหยุดของคอมมูน ทำให้ทุกคนไม่ได้ไปทำงานส่วนกลาง ส่วนสะใภ้ใหญ่ที่ใกล้คลอดแล้วปกติก็อยู่บ้าน หลานๆ ก็อยู่ในห้องนอน…
ในห้องโถงที่ถูกจัดให้เป็นห้องนั่งเล่นรวมถึงเป็นที่นั่งกินข้าวด้วย
หลินเซียวเหวิน หรือพี่ใหญ่ของบ้านเดินจูงมือภรรยาเข้ามาในบ้าน และตรงไปยังห้องนั่งเล่น เห็นพ่อแม่และน้องชายฝาแฝดและน้องสะใภ้นั่งคุยกันอยู่ด้วยท่าทางมีความสุขผิดปกติมาก เขาจึงถาม
“มีอะไรเหรอครับแม่ ทำไมแม่ดูตื่นเต้นแปลกๆ”
“นั่นสิ แม่มีอะไรเหรอ พูดมาสิครับ นี่พี่ใหญ่ก็มาแล้ว” เซียวเหว่ยก็ถามแม่ เมื่อขยับให้พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งลงข้าง
“พ่อบอกลูกๆ ไปสิ” แม่หลินยิ้มเล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้พ่อหลินเป็นคนพูดแทน เพราะตอนนี้นางตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“นี่” พ่อหลินไม่พูดมาก เอาเงินออกจากระเป๋าเสื้อวางไว้ที่โต๊ะ
“เงิน!” ทุกคนต่างอุทานเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเห็นเงิน
“40 หยวน” เพื่อความแน่ใจเซียวเหว่ยหยิบเงินขึ้นมาดู แล้วเอาภรรยาดูด้วย
“แม่ไปเอาเงินมาจากไหนตั้ง 40 หยวนนี่มันเยอะมากนะแม่” เซียวเหวินถามแม่ พร้อมเอาเงินจากมือน้องชายมาดูเช่นกัน
“ซูซูให้แม่มา” เป็นพ่อหลินเองที่ตอบแทนแม่หลิน เพราะแม่หลินยังไม่หายตื่นเต้นเลย พ่อหลินดูออก
“ห๊า / อะไรนะครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของพ่อหลิน ทุกคนก็ทำหน้าตาตื่น เซียวเหวินและเซียวเหว่ยร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง ส่วนสะใภ้ทั้งสองก็ทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“ทะ ทำไมซูซูให้เงินแม่เยอะขนาดนี้ครับ”
เซียวเหวินถาม เพราะเงิน 40 หยวนที่น้องสาวให้แม่มานี่คือมันเงินเยอะมาก เพราะตอนนี้เงินไม่ได้หาง่ายๆ เงินกองกลางของบ้านหลินยังมีไม่ถึง 100 หยวนเลย แต่นี่น้องสาวกลับให้เงินมาตั้ง 40 หยวน นี่บ้านหลินอยู่ได้ทั้งปีเลยนะสำหรับเงินจำนวนนี้
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวคนก็มาได้ยินหรอก” แม่หลินเอ็ดทุกคน นี่นางอุตส่าห์ให้ปิดบ้านมาพูดคุยกันแท้ๆ คนพวกนี้กลับตะโกนกันซะเสียงดังลั่นเชียว
“รีบเล่ามาเลยครับแม่” เซียวเหวินวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วบอกแม่ให้พูดเรื่องเงิน เพราะดูทุกคนก็อยากรู้ว่าหลินซูมี่ไปเอาเงินมาจากไหน ทำไมมากมายอย่างนี้
“ก็วันนี้แม่ก็เอาอาหารไปส่งให้น้องตามปกติลี่เหมยมาเปิดประตูให้แล้วบอกแม่ว่ามีเนื้อให้กิน แม่ได้ยินก็ตกใจมากเลยเข้าไปถาม” แม่หลินพูดไม่ทันจบคำ ก็ต้องหยุด
คำว่าเนื้อที่แม่เอ่ยถึง ทำให้ทุกคนเสียมารยาทอุทานเสียงดังพร้อมกันว่า
“เนื้อ!”
“พ่อ ตอนนี้ลูกสาวเราเปลี่ยนไปแล้วนะ ดูรักและเอาใจใส่ลี่เหมยมากนะ” แม่หลินหันไปพูดกับสามี เพราะเล่าให้ลูกฟังแล้ว ลูกๆ มักเสียงดัง
“แม่ครับ นี่น้องเล็กมีเนื้อกินด้วยเหรอ”
เซียวเหวินถามแม่
“ใช่ น้องให้เงินแม่ นี่ยังให้เนื้อมาด้วยนะ” แม่หลินพูดเสียงเบามาก แล้วเอาเนื้อที่เหลือจากทำอาหารให้ลูกๆ ดู
“น้องเล็กให้เนื้อ” ท่าทางของทุกคนก็ไม่ได้ต่างจากตอนที่แม่หลินบอกว่าหลินซูมี่ให้เงินเลย นี่คือเนื้อเชียวนะ เนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งปกติบ้านหลินจะได้กินเนื้อแค่ตอนปีใหม่กับตอนแบ่งเนื้อประจำปี ซึ่งมีแค่ปีละ 2 ครั้งเท่านั้น
“เธอเอาไปคืนลูกเถอะ เงินก็ด้วย เก็บไว้ให้หลานน้อย” ถึงจะอยากกินเนื้อชิ้นนี้อย่างหิวโหย แต่พ่อหลินก็ตัดใจบอกภรรยาให้เอาเนื้อกับเงินไปคืนให้ลูกสาว
“ใช่ครับแม่ เงินนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ ไหนจะเนื้ออีก ให้น้องเล็กเก็บไว้เถอะ” เซียวเหว่ยเองก็เสียดาย แต่ก็ไม่อยากให้น้องสาวสุดที่รักต้องเดือดร้อน เพราะเขารู้มาว่าน้องเล็กก็ยังต้องพึ่งพาครอบครัวสามีอยู่
“หรือน้องเล็กให้แม่เอาเนื้อมาทำอาหารให้น้องกับหลานๆ กินครับ” เซียวเหวินคิดได้ว่าน้องสาวเขาทำอาหารไม่เป็น บางทีอาจจะให้แม่เอาเนื้อให้แม่เพื่อทำอาหารให้หล่อนกินก็ได้
“ไม่ใช่หรอก น้องบอกว่าเงินกับเนื้อนี่เอามาให้บ้านเราเพื่อแสดงความกตัญญู แล้วก็บอกว่าต่อไปไม่ต้องเอาอาหารไปให้อีกแล้ว ต่อไปน้องจะจัดการเองทุกอย่าง น้องบอกด้วยว่าจะทำอาหารกินเอง” แม่หลินบอกทุกคน
“งั้นก็เอาไปคืนลูก บอกว่าให้ลูกเก็บไว้” พ่อหลินรีบพูดขึ้น เขาซึ้งใจที่ลูกสาวมีความกตัญญู แต่ก็ไม่ได้อยากเอาของลูกสาวเลย ยิ่งหลินซูมี่ไม่เคยทำงานและลูกสาวก็ทำอะไรไม่เป็น เขายิ่งเป็นห่วงลูกสาวมากขึ้น แต่จะโทษใครได้ เพราะบ้านหลินเลี้ยงหลินซูมี่มาแบบนั้น ก็ไม่แปลกที่ลูกสาวจะทำอะไรไม่เป็นเลย คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เฮ้อ คิดว่าแม่อยากจะรับมาหรือยังไงกัน แต่ซูซูบังคับให้เอากลับมา บอกว่าให้เอามาบำรุงพวกเรา พวกลูกก็รู้ว่าน้องของลูกเป็นคนยังไง ถ้าแม่ขัดใจแล้วน้องกลับไปเป็นอย่างเดิมมันจะไม่แย่เหรอ ส่วนเรื่องอาหารซูซูบอกว่าจะพยายามฝึกทำกินเอง เราก็ให้ซูซูลองทำดูเถอะ”
แม่หลินบอกลูกๆ รวมถึงพ่อหลินด้วย ใช่ว่านางอยากจะรับมา แต่ด้วยนิสัยของลูกสาวแล้วถ้านางไม่รับมานี่สิ เป็นเรื่องใหญ่! แล้วเรื่องทำอาหารนางก็ไม่ได้ไว้ใจ แต่เดี๋ยวนางจะแวะไปดูบ่อยๆ ว่าลูกสาวทำอะไรเป็นหรือยัง
“ก็จริงนะคะ น้องเล็กเป็นคนมุ่งมั่น ถ้าอยากจะทำอะไรแล้วไม่ควรไม่ขัดใจ” ผิวสะใภ้ใหญ่ที่นั่งฟังตลอดก็พูดขึ้นบ้าง
‘หลินซูมี่เป็นคนใจเด็ดมาก และร้ายกาจมากเช่นกัน ตอนเธอแต่งเข้ามาก็ถูกใช้งานสารพัด แต่บ้านหลินก็ไม่เคยว่า เพราะทุกคนไม่ให้หลินซูมี่ทำอะไรเลย จึงเป็นเธอที่ทำงานบ้านทุกอย่าง พอแต่งสะใภ้รองเข้ามาก็มีคนมาช่วยแบ่งเบา แต่พอหลินซูมี่แต่งงานออกไปแล้ว
เธอและสะใภ้รองก็สบายขึ้น พอมาได้ยินว่าหลินซูมี่นิสัยดีขึ้น พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องเอาอาหารไปส่งให้แล้ว เธอก็ดีใจ เพราะตอนนี้นอกจากธัญพืชจะหายากแล้วต้องกินอย่างประหยัด และบ้านหลินยังต้องแบ่งไปให้หลินซูมี่ทุกวันอีก บ้านหลินไม่ได้มีอาหารเพียงพอถึงหน้าหนาวที่จะถึงนี้แน่ หากยังต้องแบ่งอาหารไปให้หลินซูมี่ทุกวันแบบนี้’ ผิงนึกคิดคนเดียวในใจ
“แต่” เซียวเหวินทำท่าจะขัด
“เอาล่ะๆ ในเมื่อซูซูเป็นคนให้มาเอง ก็รับไว้เถอะ อย่าไปขัดใจน้องเลย ลูกสะใภ้รอง รีบไปตั้งโต๊ะเถอะ”
เป็นพ่อหลินเองที่พูดขึ้น เพราะมานึกดูแล้วพ่อหลินก็อยากให้ลูกสาวยืนด้วยตัวเองเสียบ้าง ไม่ใช่คอยพึงพาแต่คนอื่น
“ค่ะ คุณพ่อ” หมิงรับคำแล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปในครัวอย่างดีใจที่วันนี้บ้านหลินจะได้กินเนื้อ เพราะเธอจะได้บำรุงลูกและลูกในท้อง ไหนจะหลานชายและหลานในท้องพี่สะใภ้ที่ใกล้คลอด
“อ้อ เจ้าใหญ่” พอสะใภ้รองเข้าครัวไปแล้ว แม่หลินก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่พูด
“ครับแม่”
“แม่จำได้ว่าฟูกนอนของลูกที่ใช้อยู่ตั้งแต่แต่งงานใช่ไหม” แม่หลินถามลูกชายคนโต
“ครับ” เซียนเหวินพยักหน้าบอกแม่
“วันนี้น้องสาวเปลี่ยนฟูกนอนใหม่ เลยบอกแม่ให้มาบอกลูกให้ไปเอามาใช้ ของยังใหม่อยู่เลยนะ”
แม่หลินบอกลูกชาย
แต่เป็นพ่อหลินเองที่ถามแม่หลินอย่างตกใจ
“เปลี่ยนใหม่!! นี่ลูกเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะยายเฒ่า แล้วไหนจะคูปองซื้อของพวกนั้นอีก”
พ่อหลินทำหน้าสงสัยจ้องหน้าแม่หลิน
“แม่ก็ไม่รู้ แต่ก็คงเป็นเงินกับคูปองจากหยางตงนั่นแหละ แกก็รู้นี่ตาเฒ่าว่าลูกเราไม่ได้ทำงาน จะเอาเงินจากไหนถ้าไม่ใช่จากสามีของลูก” แม่หลินบอกพ่อหลิน
“นั่นสินะ” เซียนเหว่ยพูดขึ้นรับรู้ เพราะหยางตงน้องเขยของบ้านเป็นทหาร คงหาของพวกนี้ได้ไม่ยากหรอก
“ให้น้องเล็กเก็บไว้ให้ลี่เหมยเถอะครับ แม่บ่นว่า ลี่เหมยได้นอนห่มผ้าผืนบางไม่ใช่หรือครับ”
เซียวเหวินถึงแม้จะอยากเปลี่ยนฟูกนอนใหม่ แต่ก็อดนึกถึงหลานสาวไม่ได้
“แม่ว่าเราไม่ต้องห่วงลี่เหมยแล้ว เพราะซูซูให้ลี่เหมยนอนด้วยแล้ว” แม่หลินทำให้ทุกคนช็อกอีกแล้ว
“อะไรนะครับ!” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ทุกคนตกใจ นี่พวกเขาตกใจกับเรื่องของหลินซูมี่มากี่ครั้งแล้วนะวันนี้
“แม่ก็บอกแล้ว ว่าซูซูเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้น้องต้องการให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวลูกไปยืมรถเข็นบ้านจางแล้วไปเอาฟูกที่บ้านของน้องมาใช้ ไม่ดีรึยังไง เย่วเทียนจะได้มีที่นอนอุ่นๆ แล้วไหนจะลูกในท้องอีก จะคลอดหน้าหนาวนี้แล้วนี่” แม่หลินว่าขึ้นอย่างรำคาญกับพวกขี้ตกใจพวกนี้ นี่ถ้าพวกนี้ไปเห็นท่าทีของหลินซูมี่จะไม่เป็นลมล้มพับไปเลยหรือยังไง
นางที่ได้เจอลูกสาววันนี้ก็รู้สึกว่าลูกสาวเปลี่ยนไป แล้วยิ่งคำพูดแล้วนางก็ตกใจไม่ต่างกันหรอก แต่นางผ่านมันมาแล้ว และตอนนี้ในใจก็มีแต่ความยินดีที่ลูกสาวนางคิดได้สักที
“งั้นผมจะไปเอามาใช้ก็ได้ครับ” เซียวเหวินน้อมรับทันที เมื่อนึกถึงลูกชายและลูกในท้องของภรรยาที่กำลังจะคลอด
“เดี๋ยวผมไปช่วยพี่ใหญ่” เซียวเหว่ยรีบอาสา เพราะเขาอยากจะไปเห็นน้องเล็กเหมือนกันว่าเปลี่ยนแปลงอย่างที่แม่หลินบอกจริงหรือ
“อื้ม งั้นไปกันตอนนี้เลยก็แล้วกัน” เซียวเหวินพยักหน้า แล้วลุกขึ้น และกำลังจะเดินออกจากบ้าน
แต่…
“กินข้าวเที่ยงก่อนก็ได้ค่อยไป” พ่อหลินบอกลูกชายทั้งสอง เมื่อเห็นลูกสะใภ้รองจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว…
ที่โต๊ะอาหาร...
แม่หลินคุยกับลูกสะใภ้รองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร
“สะใภ้รอง ฟูกนอนของเธอเดี๋ยวใกล้คลอดแม่จะเปลี่ยนให้ใหม่ก็แล้วกันนะ”
ครอบครัวของเซียวเหว่ยก็ใช้ฟูกนอนมานานแล้วแต่ก็หลังเซียวเหวิน นางจึงจะเปลี่ยนใหม่ในช่วงที่ลูกสะใภ้รองใกล้คลอด
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” หมิงยิ้มรับแล้วหันไปยิ้มยินดีกับสามีที่คีบเนื้อใส่ถ้วยข้าวให้
ด้านผิงเมื่อสามีคีบเนื้อให้ เธอก็ไม่วายคีบเนื้อให้ภรรยาของน้องชายสามีเช่นกัน
“กินเยอะๆ น้องสะใภ้” ผิงซื่อบอก
“พี่สะใภ้ก็เหมือนกันนะคะ” หมิงก็คีบเนื้อให้ภรรยาของพี่ชายสามีเหมือนกัน
“พ่อกับแม่ด้วยนะครับ กินเยอะๆ” เซียวเหว่ยคีบเนื้อชิ้นใหญ่ให้พ่อและแม่ ส่วนตัวเขาเองกินผักก็พอ
“อื้อๆ ทำไมอาหารเที่ยงวันช่างอร่อยจริงๆ”
พ่อหลินหัวเราะมีความสุข ที่เห็นลูกๆ และหลานๆ ได้กินของดีๆ
ซึ่งภาพสะใภ้สองคนรักและปรองดองไม่ขี้อิจฉากัน ทำให้แม่หลินยิ้มอย่างปลื้มใจ ถือว่าลูกชายได้ภรรยาดีทั้งสองคน
ในตอนที่แต่งสะใภ้เข้าบ้าน นางก็รู้สึกผิดกับลูกสะใภ้ทั้งสองมาก เพราะสะใภ้ทั้งสองถูกลูกสาวอย่างหลินซูมี่กดขี่ไม่น้อย แต่สะใภ้ทั้งสองก็ไม่เคยปริปากพูด นางจึงปลื้มใจและรักสะใภ้ทั้งสองไม่ต่างจากลูกสาวในไส้เลย…