บทที่ 2 มิติ

2823 Words
บทที่ 2 มิติ ปัจจุบันปี 2023 ที่ออฟฟิศ… “เฮ้ย!” ฉันนั่งถอดหายใจดังเฮือกใหญ่จนเพื่อนๆ ที่นั่งคุยกันสะกิดให้กันดู และมีเพื่อนคนหนึ่งได้เรียกฉัน “หลินซูมี่” “…” เงียบไม่มีคำตอบ “ซูซู” เธอจึงเรียกอีกครั้ง เสียงเรียกของเพื่อนผสมแรงสะกิดแขนของฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากความนึกคิดเรื่องความฝันที่ก่อกวนใจ “ฮะ อะไรเหรอ” ฉันถาม “เป็นอะไรรึเปล่า” นับดาวเพื่อนชาวไทยคนเดียวของกลุ่มเอ่ยถาม “เปล่าหรอก” ฉันตอบ “แน่นะ ฉันเห็นเธอนั่งเหมอไม่ยอมฟังที่ฉันพูดเลย” นับดาวชูเอกสารให้ฉันดู “ฟังสิ ว่าแต่ถึงไหนกันแล้ว” ฉันยิ้มให้เพื่อนๆ ที่มีนับดาว เย่วซิน และซีอิน ซึ่งฉันและเพื่อนทั้งสามทำธุรกิจร่วมกันกับฉัน “ถึงตรงนี้แล้วไง เธอโอเคไหม ถ้าโอเคพวกเราจะให้รูปงานเป็นแบบนี้” เป็นเย่วซินเองที่เอ่ยขึ้นบอกเพื่อนๆ “ทำตามที่พวกเธอตกลงกันก็แล้วกัน ฉันยังไงก็ได้” ฉันพยักหน้าให้เพื่อนๆ “โอเคตามนี้นะ” เย่วชินถามพวกฉันและพวกฉันก็พยักหน้าตกลง และจากนั้นฉันก็คุยงานกับเพื่อนทั้งสามคนต่อเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันไปทำธุระต่อ เพราะเพื่อนแต่ละคนต่างมีแฟนและงานทำกันแล้วทั้งนั้น จึงไม่สะดวกที่จะอยู่คุยเล่นกันต่อ เอาไว้ค่อยนัดกันไปแฮงค์เอ้าท์กันทีหลังดีกว่า ชีวิตของหลินซูมี่ในปัจจุบัน… ฉันในชีวิตนี้เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็ก ในช่วงแรกปู่ย่ามารับไปเลี้ยงดู แต่เพราะที่บ้านหลินเป็นบ้านใหญ่ ทำให้ทุกคนโลภในทรัพย์สินของแม่ฉันมากและพยายามที่จะให้ฉันยกทุกอย่างเข้ากงสีของบ้านแต่ปู่ย่าไม่ยอม จึงต้องจำใจส่งฉันมาให้คุณยายหลี่มี่ ซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่ฉัน และคุณยายมี่ก็รักฉันมาก เพราะท่านมีแม่ของฉันเป็นลูกคนเดียว ส่วนคุณตาเสียตั้งแต่ก่อนแม่ฉันจะแต่งงาน ทั้งชีวิตของยายหลานคู่นี้มีกันและกันมาโดยตลอด ฉันเรียนจบบริหารเพื่อมาต่อยอดธุรกิจการค้าของคุณยาย ซึ่งท่านทำเกี่ยวกับส่งออกผลไม้ และการเกษตร นอกจากนี้แล้วฉันยังร่วมทำธุรกิจเสริมความงามและสกินแคร์กับเพื่อนอีก 3 คนและยังมีร้านเบเกอรี่ที่เป็นความฝันของฉันอีก เรียกได้ว่าทุกอย่างที่ฉันทำนั้นประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของบ้านหรือของตัวเองที่ทำกับเพื่อนๆ แต่ใครจะคิดว่าชีวิตของฉันที่กำลังไปได้ดีในวัย 25 ปีนั้น คุณยายกลับล้มป่วยด้วยโรคร้าย และนั่นทำให้ท่านจากไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันในตอนนี้อายุ 29 ปี ชีวิตของฉันควรจะมีความสุข แต่ทุกวันกลับเศร้าหมองเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้ทั้งที่ฉันมีทุกอย่าง หน้าที่การงานและเงินทองไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขเลยสักนิดหลังจากเสร็จงานศพของคุณยาย ฉันก็ฝันประหลาดทุกวัน เวลาบ่ายสอง… ฉันออกจากออฟฟิศก็ขับรถมาที่ร้านเบเกอรี่ที่ฉันเป็นเจ้าของ และเมื่อจอดรถที่หน้าร้านแล้ว ฉันก็เดินเข้าไปในร้าน พร้อมเอ่ยถามพนักงานว่า “เป็นยังไงบ้าง” “คุณซูมี่ สวัสดีค่ะ ทุกอย่างที่คุณซูมี่ให้ทำเมื่อวาน วันนี้ขายดีมากเลยค่ะ” เหลียนยกมือไหว้และบอกนายหญิง เหลียน เป็นเด็กข้างบ้านที่มีปัญหาและฉันก็เห็นความลำบากและช่วยเหลือเหลียนตั้งแต่เหลียนยังเด็ก เป็นเพราะฉันรักและเอ็นดูเหลียนเหมือนน้องสาว ฉันจึงให้เหลียนมาทำงานที่ร้านด้วย “ดีแล้ว” ฉันยิ้มให้เหลียน แล้วเดินเข้าห้องทำงานไปตรวจบัญชีของร้าน ที่เหลียนเตรียมไว้ให้ ซึ่งฉันเข้ามาตรวจทุกอาทิตย์ พอตรวจบัญชีเสร็จ ฉันก็ออกมาบอกกับเหลียนเล็กน้อย แล้วเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ในครั้งนี้ฉันไม่ได้ไปช็อปปิ้งเสื้อผ้าแต่อย่างใด เพราะร้านที่ฉันไปคือร้านหนังสือ ในห้างสรรพสินค้า… เมื่อจอดรถไว้ที่ลานจอดรถแล้วฉันก็เดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อไปยังชั้นหนึ่งของห้าง เมื่อถึงชั้นหนึ่งฉันก็ออกจากลิฟต์แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนตรงไปยังชั้นบนสุดที่เป็นร้านขายหนังสือ “ฉันต้องการหนังสือประวัติศาสตร์ค่ะ” ฉันบอกพนักงานที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ร้านหนังสือ “คุณลูกค้าต้องการเล่มไหนเป็นพิเศษไหมคะ” พนักงานถาม “ฉันต้องการหนังสือทุกเล่มเลยค่ะที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์” ฉันบอกพนักงาน ซึ่งคำบอกของฉันทำให้พนักงานคิดหนัก “ตอนนี้ทางร้านอาจจะมีหนังสือให้ไม่ครบ แต่สามารถสั่งล่วงหน้าเอาไว้ แล้วทางร้านจะจัดส่งให้ลูกค้าได้นะคะ” พนักงานเปิดคอมเช็กหนังสือในร้าน พลางเอ่ยบอกลูกค้า “งั้นเอาที่มีอยู่ในร้านก่อนก็ได้ค่ะ ส่วนที่เหลือฉันสั่งและทางร้านค่อยจัดส่งให้ฉันทีหลังก็แล้วกัน” ฉันบอกพร้อมยื่นการ์ดทองให้พนักงาน “สักครู่นะคะ” พนักงานสอบถามที่อยู่ของลูกค้า และรีบออกจากเคาน์เตอร์ไปเอาหนังสือมาให้ลูกค้า ซึ่งมีหนังสือประวัติศาสตร์จีนเพียง 9 เล่ม และจะจัดส่งให้ตามหลังอีกเป็นสิบๆ เล่ม เวลาสองทุ่มที่บ้าน… หลังจากกลับจากห้างสรรพสินค้า ฉันก็เข้าไปในห้องทำงานและตรวจงานที่ทางศูนย์วิจัยส่งมาให้ฉันลืมไปเลยว่าวันนี้ฉันไปซื้อหนังสือมา จนกระทั่งฉันขึ้นไปในห้องนอน และเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำและกำลังจะเข้านอนจึงนึกขึ้นได้ “บ้าจริงๆ เลยเรานี่” ฉันบ่นให้กับตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่างของบ้าน ซึ่งบ้านหลังนี้คือบ้านของฉันที่ซื้อด้วยเงินของตัวเองที่หามาได้ ทำให้ฉันและคุณยายละทิ้งคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่สวนผลไม้มาอยู่บ้านหลังเล็กนี้ด้วยความอบอุ่นมีความสุขกันแบบยายหลาน เสียงเดินลงบันไดถึงจะเบามาก แต่แม่บ้านที่นั่งกินข้าวอยู่กับสามีที่มีหน้าที่ขับรถนั้นลุกขึ้น แล้วเดินไปยืนตรงหน้าบันได พร้อมถามเพราะเป็นห่วง “อ้าวคุณซู ต้องการอะไรรึป่าวคะ” “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันลืมหนังสือที่ซื้อมานะคะ” ฉันยิ้มให้สองผัวเมีย ซึ่งรอยยิ้มนั้นมีความเคารพอยู่หลายส่วน เพราะทั้งสองคนนี้คือคนเก่าแก่ของคุณยาย และยังดูแลฉันมาตั้งแต่เด็ก “คุณซูเอาไว้ไหนคะ เดี๋ยวป้าไปหยิบมาให้ค่ะ” แม่บ้านนามว่าแซ่หวังบอก “ป้ากลับไปกินข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ฉันบอกแม่บ้าน “ค่ะ” ป้าหวังพยักหน้า แต่ก็เดินตามนายน้อยไปที่ห้องนั่งเล่น ด้านฉันเมื่อเห็นหนังหนังสือก็ยิ้มเบาๆ แล้วหยิบขึ้นมาถือไว้ แล้วก่อนที่จะเดินขึ้นห้อง ฉันได้หันมาพูดกับป้าหวังว่า “เจอละ” “หนังสือเยอะจัง ตาหวังมาช่วยคุณซูถือของสิ” ป้าหวังบอก พร้อมเรียกสามีให้มาช่วยนายหญิง “ไม่เป็นไรค่ะป้า ลุงหวังกินข้าวต่อเถอะค่ะ” ฉันบอกสองผัวเมียที่ฉันเคารพเหมือนญาติ “ค่ะ/ครับ” สองผัวเมียพูดพร้อมกัน แล้วเดินตามนายหญิงไปยืนตรงหน้าบันไดมองนายหญิงเดินขึ้นบันได ในห้องนอน… ฉันนั่งมองหนังสือที่ตัวเองเอาออกจากถุงกองอยู่บนเตียงนอน พลางหายใจแรงๆ เมื่อหยิบหนังสือประวัติศาสตร์จีนขึ้นมาเปิดอ่านคร่าวๆ พอเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับปี 1950 ที่ตัวเองฝันถึง ฉันก็ลุกจากพื้นขึ้นไปนอนอ่านต่อที่เตียง “เหอะ บรรพบุรุษต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้างนะ” พออ่านไปสักพัก ฉันก็นึกถึงบรรพบุรุษของตัวเองที่ต้องผ่านยุคยากลำบาก กว่าจะร่ำรวยมาได้ต้องทำงานหนักแค่ไหน ฉันยังใช้แซ่หลินอยู่เพราะปู่ของแม่ขอไว้ว่าให้ฉันใช้แซ่หลิน และคุณยายมี่นั้นก็มีแซ่หลินเช่นเดียวกัน แต่บ้านคุณตาใช้แซ่หลี่ ทุกคนจึงเรียกท่านว่าคุณยายหลี่มี่ ฉันจึงไม่เปลี่ยนแซ่และใช้แซ่เดียวกับคุณปู่และคุณยาย กลางดึกของคืนนั้น… พรึบ!.... อีกแล้ว ฉันฝันอีกแล้ว และครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของความฝันแล้ว เพราะภาพที่ฉันเห็นในความฝันคือเด็กน้อยผู้น่าสงสาร ‘เฉินลี่เหมย’ ลูกสาวที่ถูกฉันขายให้กับชายฉกรรจ์นั้น ลูกสาวของเธอได้ถูกนำตัวไปใช้แรงงานอย่างหนัก เด็กน้อยนั้นแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง เด็กน้อยล้มป่วยไปในเวลาไม่กี่เดือน และในที่สุดก็ทนความเจ็บป่วยไม่ไหวจึงสิ้นใจตายไปในวัยเพียงแค่ 8 ปี “ฮื้อ ฮืออ” ฉันนั่งหอบหายใจติดขัดอยู่บนเตียง น้ำตาเอ่อเบ้าตาค่อยๆ ไหลออกมาฉันรับไม่ได้ เด็กอายุแค่นั้นสมควรที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสิ ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นจะยากจนแค่ไหน แต่เด็กคนนั้นต้องไม่มีจุดจบแบบนั้น ในความฝัน… หลินซูมี่หลังจากที่ขายลูกสาวแล้วก็จะหนีไปอยู่ที่อื่นกับลูกชายเพราะกลัวความผิดและกลัวครอบครัวของสามีจะรู้เรื่องและมาเอาเรื่องเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่าจุดจบของเธอนั้นคือลูกชายสุดที่รักที่แอบหนีเอาเรื่องนี้ไปฟ้องย่า ทำให้ทุกคนในบ้านตระกูลเฉินโกรธมากพากันไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านมาจับเธอไป หลินซูมี่ถูกศาลตัดสินจำคุกเจ็ดปี และในแต่ละวันเธอถูกทรมานอย่างหนักและอยู่อย่างยากลำบาก เพราะเธอทำผิดร้ายแรงมหันต์ และในวันสุดท้ายของชีวิตเธอ คือวันที่เธอเสียใจเป็นที่สุด “แม่” เสียงเล็กติดแหบดังขึ้นที่หน้ากรงขัง ทำให้หญิงสาวที่นั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืดของห้องขัง เธอเงยหน้าจากหัวเข่าหันไปมอง “ละ ลี่หมิง” เธอร้องไห้ไม่มีเสียง แต่มีน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อเอ่ยเรียกเด็กชายตัวน้อยที่นั่งเกาะกรงเหล็กอยู่ข้างนอก “แม่เป็นไงมั่งครับ” เสียงเด็กชายน้อยถาม ทำให้เธอรีบคลานออกจากมุมมืดไปนั่งเกาะลูกกรง พลางยื่นมือไปจับมือลูกชายด้วยความคิดถึง “ละ ลูก” เธออยากคว้าเอาลูกเข้ามากอด แต่ลูกของเธออยู่นอกกรง ทำให้เธอทำได้เพียงแค่ยื่นมือออกนอกกรงจับมือลูบหน้าตาของลูก “ผมมีข่าวมาบอกครับ” เสียงพูดของลูกชายช่างเย็นชา จนเธอต้องชักมือกลับมา ไม่กล้าที่จะแตะต้องลูกชายสุดที่รัก “มีอะไรจะบอกแม่รึ” เธอไม่โกรธลูกชาย ที่ลูกชายมีท่าทีหมางเมิน “พี่ใหญ่ตายแล้ว” แล้วคำพูดของลูกชายก็ทำให้เธอหยุดหายใจไปชั่ววินาที เนื้อตัวชาและแข็งทื่อ แม้แต่จะอ้าปากเอ่ยถามก็ยากลำบาก “ละ ลี่เหมยเหรอ” เธอพยายามถามลูกชาย และพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่ก็ไม่เป็นผล น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอาบแก้มอีกครั้ง “ครับ” “มะ ไม่จริง ลี่หมิง ลูกโกหกแม่” หลินซูมี่ปฏิเสธเสียงสั่น เพราะเธอไม่เชื่อและลูกของเธอต้องโกหกแน่ ลูกสาวของเธอยังไม่ตาย “จริงครับ กว่าทุกคนจะหาพี่ใหญ่เจอก็ไม่ทันแล้ว” ลี่หมิงบอกโดยไม่ได้สนใจท่าทีของแม่เลย เพราะเด็กน้อยคิดเสมอว่าพี่สาวต้องตายเพราะแม่ แม่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ใจร้ายอำมหิตมาก คำพูดและท่าทางหมางเมินของลูกชายทำให้หลินซูมี่ช็อกไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงค่อยๆ ช้าลงและเหลือไว้เพียงแค่เสียงสะอื้นไห้เอ่ยผสมเรียกชื่อลูกสาวเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว “ลิ ลี่เหมย ลูกแม่” “ผมมาบอกแม่แค่นี้ ผมกลับก่อนนะครับ” ลี่หมิง บอกแม่ แล้วเดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้แม่ของเขากำลังจะ... ด้านหลินซูมี่ได้แต่นั่งใจเหมอลอย ดวงตาสองคู่เอ่อล้นน้ำตาร้องไห้ฟูมฟายพึมพำเรียกหาลูกสาว “ลี่เหมย” เธอยังคงนั่งเหม่อและคิดถึงลูกสาวที่จากไป และในสุดท้ายเธอก็ทนความเสียใจอย่างสุดแสนจะเจ็บปวดไม่ได้ เธอจึงตรอมใจตายในเวลาต่อมาอยู่ในคุกแห่งนั้นคนเดียว และภาพนั้นก็หายไปพร้อมกับหลินซูมี่คนปัจจุบันที่ตื่นขึ้นมาจากฝัน “ฮึก” ฉันร้องไห้ทั้งที่ยังนอนหลับตา เป็นเพราะเธอเสียใจอย่างมากและสัมผัสได้ว่าหลินซูมี่คนนั้นเป็นหลินซูมี่คนปัจจุบันแน่ และในชีวิตปัจจุบันที่ฉันไม่เหลือใครก็คงเป็นเพราะผลกรรมจากชาติที่แล้ว ที่ฉันทำให้ลูกชายของตัวเองไม่เหลือใคร “จะฝันถึงอีกมั้ยนะ” ฉันนึกถึงใบหน้าของเด็ชายผู้น่าสงสารคนนั้นก็น้ำตาไหลอีกครั้ง ฉันพึมพำเสียงสั่น อยากฝันเห็นลูกชายคนนั้นอีกว่าชีวิตเด็กนั้นจะเป็นยังไง จะเติบโตมายังไง ในเมื่อไม่มีพ่อแม่และพี่สาวแล้วเพราะฉันทำผิดฆ่าสามีและลูกของตัวเองแล้วยิ่งลูกชายวัย 5 ขวบที่ฉันเห็นเขาช่างดูซึมเศร้าไม่เริงร่าเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่เด็กวัยนี้ควรจะมีชีวิตที่ดีสดใสแท้ๆ “ซี้ดด” แล้วจู่ๆ มือของฉันก็ชาหนึบแล้วเจ็บแปลบ และเกิดแสงสว่างขึ้นมาทำให้ฉันตื่นตระหนกแล้วรีบลุกนั่งเปิดไฟตรงหัวเตียงเพื่อดูว่ามือของตัวเองเป็นอะไร “อะไรเนี่ย” พอห้องสว่างขึ้น ฉันก็เห็นมือของตัวเองเป็นรูปดอกไม้อะไรซักอย่าง ฉันไม่รู้จัก มันสวยเหมือนรอยสักที่มีชีวิตยังไงอย่างนั้น แต่ว่านี่คืออะไร? ฉันลูบมือตรงรอยสักอย่างเบามือ แล้วทันใดนั้นภาพห้องโล่ง ห้องหนึ่งก็ปรากฏในหัวของฉันทันที พรึบ!... ภาพโถงโล่งๆ นั้นทำให้ฉันรีบเอามือออก แล้วมองรอยสักนั้นอย่างตื่นๆ ตอนนี้ในหัวของฉันสับสนมาก จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาโรงพยาบาลจิตเวชหรือคลินิกจิตแพทย์ “บ้า ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” ฉันพูดคนเดียว พลางมองรอยสักบนฝ่ามืออีกครั้ง “คุ้นๆ นะ” ฉันขมวดคิ้วเมื่อเพ่งมองรอยสักดอกไม้กลางฝ่ามือ “นี่มันสร้อยของหลินซูมี่คนที่ฉันฝันเห็นนี่” ฉันพูดเสียงดัง เมื่อนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ” ฉันสับสนพูดกลับไปกลับมาคนเดียว “สร้อยงั้นเหรอ” ไวเท่าความคิด ฉันรีบลุกออกจากเตียงเดินไปยังตู้เซฟมือฉันสั่นเทาเมื่อกดรหัสของตู้เซฟ แววตาและจิตใจสับสน และเมื่อหยิบกล่องเครื่องเพชรออกมาวางไว้ที่พื้นฉันก็เปิดดู ฉันถึงกลับทรุดนั่งลงกับพื้น เมื่อสิ่งที่อยู่ในกล่องคือสร้อยที่เหมือนกับรอยสักบนมือของฉัน และเป็นสร้อยเส้นเดียวของหลินซูมี่คนในอดีต ไม่ผิดแน่! “นะ นี่ มันอะไรกัน” ฉันมองสร้อยอย่างไม่เชื่อสายตา จำได้ว่าสร้อยเส้นนี้คุณยายให้เมื่อตอนฉันอายุ 20 ปี ฉันปิดตู้เซฟแล้วพยายามลุกขึ้นเดินไปยังเตียงนอน โดยมือของฉันยังถือสร้อยอยู่ ฉันหยิบโทรศัพท์มาค้นหาเรื่องลี้ลับนี้ทันที แต่พอค้นหาว่าความฝันถึงอดีต กลับมีแต่นิยายผุดขึ้นมาให้เห็น ฉันจึงเลือกกดเข้าไปอ่านเรื่องหนึ่งและพออ่านต้นเรื่องแล้วฉันก็อดยิ้มให้กับจินตนาการของนักเขียนไม่ได้ ว่าพวกเขาช่างมีจินตนาการคิดเรื่องแบบนี้ได้ ฉันคิดว่ามันบ้านะ และที่บ้ามากกว่าคือเรื่องราวในนิยายนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกลับตัวฉัน ที่บางเรื่องคือภารกิจ บางเรื่องคือกลับไปแก้ไขในอดีต “หึ!” ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ท่านเทพคงจะรับรู้ความเลวของฉันในชาติที่แล้วไม่ได้สินะ ถึงได้อยากให้ฉันกลับไปแก้ไขอดีตแบบนี้ ฉันลองเอามืออีกข้างแตะไปที่รอยสักนั้นอีกครั้งก็เห็นเป็นห้องโล่งๆ ที่ค่อนข้างกว้างห้องหนึ่ง “นี่คือมิติงั้นเหรอ?” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ หรือว่าฉันจะได้ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตนั่นจริงๆ เหรอ…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD