“อาหรานเจ้าอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษ” ฉีเล่อหันไปถามน้องสาวขณะบังคับเกวียนช้าๆ
“ข้าอยากไปตลาดเจ้าค่ะ” ในเมืองจะมีตลาดอยู่ตามตรอกต่างๆ อยู่ที่ว่ามองหาสินค้าประเภทไหน แต่ที่น่าสนใจกว่าน่าจะเป็นตลาดที่ชาวบ้านจะนำของมาขาย
“เดินตลาดงั้นหรือ เช่นนั้นพี่รองจะหาฝากเกวียนไว้แถวนี้ก่อน” ฉีเล่อนำเกวียนเทียมไปฝากจอดไว้จริงๆ พี่น้องฉีจึงเดินเที่ยวในตลาด
ฉีหรานซื้อลูกอมที่เด็กๆชอบมาจำนวนหนึ่ง เมื่อถูกถามนางก็ตอบว่า ‘เก็บไว้ให้หลานสาว’ ทำเอาเหล่าพี่ชายกระตือรือร้นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว เราต้องเตรียมของขวัญรับหลานสาวของพวกเราด้วย” ฉีปั๋วสอดส่ายสายตาไปรอบๆตลอด ก่อนเดินเข้าไปบริเวณที่มีขายกิ๊บติดผมเล็กๆน่ารัก
“ข้าคิดว่าหลานชายต่างหาก” ฉีปิงพึมพัมเบาๆ
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฉีเล่อที่กำลังหยิบปิ่นเงินขึ้นมาดูหันไปถามน้องชาย
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นหลานชายมากกว่า”
“ทำไมจึงคิดเช่นนั้น ข้ากลับอยากให้เป็นหลานสาว จะได้กตัญญูกับมารดาเหมือนอาหราน นอกจากนี้ยังสามารถกตัญญูและดูแลอาหรานได้ด้วย” ฉีเมิ่งพูดอย่างมีเหตุผล และทุกคนก็ล้วนคิดเช่นกัน
“พวกท่านลองคิดดูนะ รุ่นเรามีอาหรานเป็นหญิงเพียงคนเดียว แล้วรุ่นลูกของเราจะมีผู้หญิงเยอะมาจากที่ใดกัน” คำพูดของฉีปิงราวกับค้อนหนักๆทุบบนหัวของเหล่าพี่ชาย ใบหน้าพวกเขาราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปชั่วขณะ
“คิกๆ” ฉีหรานหัวเราะพี่ชายที่มีสีหน้าแปลกๆ “จะชายหรือหญิงก็ล้วนน่ายินดีทั้งนั้น ซื้อของขวัญที่เป็นกลางไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ ส่วนปิ่นนั่นอีกนานเลยกว่าพวกเขาจะใช้ได้ พี่สามวางลงเถอะ ตัวข้าคิดจะมอบหยกชิ้นเล็กๆให้หลานตัวน้อย พวกท่านร่วมด้วยมั้ยเจ้าคะ?”
“หยกหรือ แต่หยกแพงมากนะอาหราน” ฉีเล่อเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“เงินที่ได้รอบนี้ก็แบ่งเป็นเงินส่วนตัวด้วย หากนำมารวมกันข้าคิดว่าน่าจะซื้อหยกชิ้นเล็กๆได้” ฉีหรานทำท่าครุ่นคิด ก่อนเลิกสนใจพี่ชายแล้วเลือกหยิบปิ่นเงินคู่หนึ่งขึ้นมา ปิ่นเงินคู่นี้สลักลายยวนยางเล่นน้ำไว้งดงามมากๆ
“ปิ่นคู่นี้มอบให้ท่านพ่อท่านแม่ในปีใหม่นี้ดีมั้ยเจ้าคะ ใครจะร่วมกับข้าบ้าง” แม้บ้านฉีจะมีเงินจากการขายข้าว แต่ยังไม่ถึงกับใช้เงินมือเติบได้ หากต้องเริ่มซื้อของขวัญให้ทุกคนทุกฤดูกาลเช่นนี้คงมีเงินไม่เพียงพอแน่ๆ ดังนั้นฉีหรานจึงคิดว่าร่วมกันซื้อได้ชิ้นหนึ่งที่ล้ำค่ากว่าก็ยังดี
“ข้าเอาด้วย” ฉีเล่อตอบรับทันที ก่อนพี่น้องคนอื่นๆจะรับคำตามไปด้วย สุดท้ายแล้วพ่อค้าปิ่นก็ได้ยิ้มแก้มปริ เพราะปิ่นเนื้อดีที่สุดของเขาขายออกแล้ว
ฉีหรานเดินไปในตลาดโดยมีพี่น้องล้อมรอบคอยปกป้องนางไว้ตรงกลาง เดินเล่นจนเบื่อแต่ไม่เจออะไรที่สามารถนำไปแลกเป็นแต้มในระบบได้สุดท้ายก็หมดความสนใจลง
“ดูนั่น เกิดอะไรขึ้น” ฉีเล่อชี้ไปบริเวณหนึ่งที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น แต่เพียงไม่นานชาวบ้านก็แยกย้ายกันไปเมื่อพบว่าเป็นเพียงการไล่ตีขอทานเท่านั้น
“ขอทานน้อย ออกไปจากหน้าร้านข้า!”
“นายท่าน แต่ท่านยังไม่คืนปิ่นให้ข้าเลย ข้าเพียงนำปิ่นมาขายเท่านั้นแต่ท่านกลับไล่ข้าออกมาเช่นนี้ แถมยังยึดปิ่นของข้าไปอีก” เด็กชายแต่งตัวปอนๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถึงอย่างนั้นเนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน คิดว่าคงเป็นผู้อพยพมากกว่าขอทาน
ฉีหรานเห็นเหตุการณ์ก็ชวนพี่ชายเข้าไปหยุดดูอยู่ห่างๆ ตอนนี้คนบ้านฉีสวมเสื้อผ้าใหม่เนื้อผ้าปานกลาง ฝีมือท่านแม่ฉีหนิง และพี่สะใภ้เซี่ยฉินตัดเย็บให้ เลยดูเหมือนเด็กๆจากตระกูลคหบดีขึ้นมาบ้าง
เมื่อถูกจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านก็มีสีหน้าไม่ดีนัก มันอยากจะยึดปิ่นเงินนี้เอาไว้จริงๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะทำเช่นนี้มาก็หลายครั้งแล้ว
“นายท่าน นายท่านทหาร ช่วยนำตัวขอทานน้อยผู้นี้ออกจากเมืองทีขอรับ” สายตาหลุกหลิกของเสี่ยวเอ้อร์ร้านเครื่องประดับเปล่งประกายทันทีที่เห็นทหารมุ่งหน้ามา มันใช้แผนนี้มาหลายรอบแล้ว รอบนี้ก็ย่อมรอดตัวไปได้เช่นเคย
เสี่ยวเอ้อร์ยื้อเวลาให้ขอทานน้อยอยู่ในร้านนานขึ้นโดยอ้างว่าจะทำปิ่นไปประเมินราคา จากนั้นเมื่อผ่านไปสองชั่วโมงแล้วจึงไล่ขอทานน้อยออกจากร้านไป ทหารก็จะมาจับเจ้าขอทานน้อยส่งออกนอกเมือง ทำให้สุดท้ายเครื่องประดับก็จะกลายเป็นของมัน
“นายท่านทหาร พี่ชายคนนี้โกงข้าขอรับ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อทหารสี่คนเดินทางมาถึงพวกเขาก็ขอบัตรเข้าเมืองจากเขาทันที
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนยื่นให้ เมื่อนั้นทหารจึงจำต้องจับเขาออกจากเมืองตามมาตรการ เสี่ยวเอ้อร์ร้านเครื่องประดับยิ้มพึงพอใจ คิดแล้วเชียวว่าแผนการนี้ยังคงใช้ได้ ความจริงมันใช้แผนนี้เพียงปีละครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้โชคร้ายเองที่มาขายของให้มันพอดี
ฉีหรานเห็นประกายตาของเสี่ยวเอ้อร์ก็รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร นางไม่ใช่คนโง่ ทหารเหล่านั้นก็เช่นกัน แต่เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีหลักฐานใดใดว่าปิ่นเป็นของตัวเองจริงๆ ดังนั้นแม้ร้องเรียนไปก็ไม่ได้ของคืนแถมยังจะโดนโบยซ้ำอีกด้วย
“เจ้าคนโกง ร้านนี้เป็นคนโกง” เด็กหนุ่มเองก็ฉลาดไม่น้อย เมื่อรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ตัวเองเสียเปรียบก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นตัวสั่นตาแดงก่ำ
ฉีหรานมองเด็กหนุ่มด้วยความเห็นใจ เมื่อเขาถูกทหารนำตัวออกจากเมืองไป ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่วันหากไม่มีเงินซื้อข้าวกิน
“อาหรานไปกันเถอะ” ฉีเล่อเห็นน้องสาวสะเทือนใจกับเรื่องเลวร้ายมากพอแล้วจึงเรียกนาง
“พี่ชาย ตามข้ามาหน่อยเจ้าค่ะ” ฉีหรานเดินตามกลุ่มทหารไปจนออกจากเมือง นางเห็นเด็กหนุ่มยืนกอดตัวเองหนาวสั่นอยู่หน้าประตูเมืองและไม่ได้จากไปไหนก็เดินออกไปหาเขา
“พี่ชาย ท่านก็ดูไม่ได้โง่ เหตุใดจึงโดนโกง” ฉีหรานถามคำถามออกไปแล้วอยากจะตบปากตัวเอง เพราะพอจะรู้เหตุผลของเขาดี คนที่ไร้หนทางย่อมมีสติยั้งคิดน้อยกว่า นางเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นมาบ้าง
“ขออภัย ข้าไม่ได้คิดจะตอกย้ำท่าน”
“เจ้าคือ?” แทนที่เด็กหนุ่มจะมีอารมณ์กับคำถามตรงๆของเด็กสาว เขากลับมีท่าทางระมัดระวังและมองกลุ่มคนบ้านฉีตรงหน้า
“เจ้าหนู อย่าถือสาน้องสาวข้าเลย” ฉีเล่อไม่คิดว่าน้องสาวจะเสียมารยาทเช่นกัน จึงเสนอหน้าขอโทษขึ้นมา
“พี่ชาย ข้าขออภัยที่พลั้งปากพูดกับท่านเช่นนั้น ข้าชื่อฉีหราน”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว” เด็กหนุ่มตอบรับแค่นั้น ก่อนหันหลังเดินจากไปทันที ท่ามกลางคนบ้านฉีที่เอาแต่อ้าปากค้าง
“นี่…เขาไปอย่างนี้เลยหรือ”ฉีเล่อเอ่ยถามน้องๆ
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะขอรับ” ฉีปั๋วตอบด้วยเสียงน้ำนมน่ารัก
“อาหรานแล้วเจ้าจะพูดอะไรกับเด็กนั่นหรือ” ฉีเมิ่งหันไปถามน้องสาว
ฉีหรานก้มหน้าลงเล็กน้อย พี่ๆอาจจำเขาไม่ได้ แต่นางจำเขาได้ดี คนผู้นี้คือ ‘พี่ชายท่านนั้น’ ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้พบกันเร็วขนาดนี้
พี่ชายท่านนั้นคอยดูแลนางอยู่นับปี หากไม่มีเขานางคงผ่านความยากลำบากมาไม่ได้ แถมเขายังเป็นคนเดียวที่ดีกับนาง ผู้ชายคนเดียวที่จริงใจกับนางอย่างแท้จริง
‘พี่ชาย ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะอยู่ใกล้ขนาดนี้’
เมื่อชีวิตก่อนช่วงที่ฉีหรานอายุได้สิบขวบ บิดาได้นำผู้หญิงและเด็กผู้ชายกลับบ้านมา พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านร่วมเดือน ก่อนจะย้ายออกไปอยู่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน
สองคนนั้นหนึ่งคือภรรยาสหายร่วมรบของฉีหยง และลูกชายของสหาย น่าเสียดายที่สหายของบิดาไม่ได้โชคดี เขาเสียชีวิตในสนามรบทิ้งไว้เพียงภรรยาหม้ายและลูกชายหนึ่งคน
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนก่อนหน้านั้น แต่พี่ชายท่านนั้นมักจะเย็นชาอยู่เสมอราวกับฉีหยงที่สอง เพียงแต่เขาช่วยเหลือฉีหรานไว้มากเมื่อนางถูกแม่เลี้ยงและลูกสาวของนางรังแกเวลาพ่อและพี่ชายไม่อยู่บ้าน
ดังนั้นฉีหรานจึงสนิทสนมกับสองแม่ลูกมากๆในชีวิตนั้น แต่แล้ว…ก็เกิดเรื่องขึ้น
มารดาของพี่ชายปีนเตียงฉีหยง ไม่ผิด…ปีนเตียงบิดาของนางและประกาศเจตนาว่าต้องการมาแทนที่นางเซี่ย โดยอ้างว่าทำเพื่อฉีหนิง เพราะนางเซี่ยดูแลลูกๆของนางฉีหนิงได้ไม่ดี
พี่ชายท่านนั้นมีแซ่เจียง นางเจียงเป็นสหายกับท่านแม่ฉีหนิงจริงๆ แต่ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าตอนนั้นนางเจียงคิดเช่นที่พูดจริงๆหรือไม่ ขณะที่ฉีหรานกลับมีความสุขมาก นางเคยคิดเสมอว่าหากเปลี่ยนแม่เลี้ยงจากนางเซี่ยเป็นนางเจียง ตนอาจไม่ถูกรังแก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าความคิดเช่นนั้นถูกหรือผิดอย่างไร เพียงแต่ในตอนนั้นฉีหรานต้องทรมานจากนางเซี่ยอย่างมาก ไม่ว่าทางออกจะเป็นเหวนรกที่ลึกยิ่งขึ้น หรือสวรรค์ นางก็ขอเลือกทางอื่นดีกว่าทนอยู่เช่นนั้น
น่าเสียดายความหวังของฉีหรานในตอนนั้นไม่เป็นจริง เมื่อพี่ชายท่านนั้นกลับมาถึงบ้านเขาก็มาลานางและพามารดาย้ายไปอยู่เมืองอื่นทันที โดยอ้างว่าไปดูแลการค้าให้บ้านฉี แต่เหตุผลแท้จริงนั้นฉีหรานคาดว่าเป็นเพราะเรื่องที่นางเจียงปีนเตียงบิดานาง
หลังจากนั้นฉีหรานไม่ได้เจอพี่ชายเจียงท่านนั้นอีกเลย จนกระทั่งนางจบชีวิตลง
“อาหราน ว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเราไปดูร้านขายทาสกันดีกว่า เมื่อกลับไปท่านพ่อคงติดต่อซื้อที่ดินทุ่งด้านล่างภูเขาตะวันตกแล้ว จะได้เริ่มเตรียมเข้าฤดูเพาะปลูกกันด้วย”
“ตกลง”
ฉีหราน ฉีเล่อ ฉีเมิ่ง ไปร้านค้าทาส ขณะที่ฉีปิง ฉีปั๋วไปรวมตัวกับกลุ่มของพี่ใหญ่ เพื่อนำเกวียนไปซื้อชุดสำเร็จและของจำเป็นอื่นๆสำหรับทาส
ฉีหรานได้เปิดประสบการณ์การเลือกซื้อทาสครั้งแรก นางเกือบจะใจอ่อนไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ให้ระบบช่วยเลือกคนที่ดูนิสัยดีมาจำนวนสามครอบครัวสิบคน ล้วนเป็นทาสที่เกิดจากการติดหนี้ทางการทั้งสิ้น
แต่เดิมทาสหนี้ทางการเหล่านี้ล้วนเป็นเกษตรกร ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำงานในทุ่งได้อย่างดี ไม่ต้องพูดถึงว่าบ้านฉียังมีเจ้าอู่เจ้าลิ่ว วัวทั้งสองคอยทุ่นแรง แถมฉีหรานกำลังจะเพิ่มคอกเลี้ยงวัวอีกด้วย ดังนั้นปัญหาเรื่องแรงงานจึงไม่มี
แต่ปัญหาที่ต้องเจอคือเรื่องเด็กๆในครอบครัว พวกเขาเด็กเกินกว่าจะใช้แรงได้ แต่ก็ไม่โตพอจะมารับใช้ข้างกายเหล่านายน้อย ฉีหรานจึงต้องกลับไปปรึกษากับพ่อแม่อีกที