วันรุ่งขึ้นฉีหรงพาภรรยามุ่งหน้าไปยังทุ่งของบ้านเซี่ยตั้งแต่ยังเช้า เนื่องจากต้องดูแลภายในครัวด้วย นางเซี่ยจึงจะตามมาในภายหลัง ทำให้มีเพียงลูกสาวและพ่อเซี่ยติดตามมาเท่านั้น
ฉีหรานที่กำลังจะขึ้นเขากับพี่ชายที่ห้าและน้องชายที่หก บังเอิญเห็นพี่ชายพอดี อย่างไรก็อยู่หมู่บ้านเดียวกันย่อมพบกันกลางทาง
“พี่ใหญ่ ท่านกำลังจะไปที่ใดกันหรือ”
เมื่อถูกคนบ้านฉีถามเซี่ยฉู่พี่สาวของเซี่ยฉินก็อับอายเล็กน้อย รู้สึกเหมือนหน้าไหม้ขึ้นมา
“ไม่มีอะไรอาหราน พอดีบ้านแม่ยายยังเก็บเกี่ยวงาไม่เสร็จในปีนี้ พี่ใหญ่จึงพาพี่สะใภ้เจ้าไปดูด้วยกัน”
“เช่นนั้นข้าไปด้วยได้หรือไม่” ‘งา’ ยังเป็นสิ่งหายาก ในหมู่บ้านมีเพียงบ้านของนางเซี่ยที่ปลูกด้วยมองการณ์ไกล ว่ากันว่าขายในเมืองได้ราคาดีกว่าถั่ว อย่างไรก็ตามมันกินไขมันมากกว่า งานก็หนักกว่าโดยเฉพาะช่วงเก็บเกี่ยว ดังนั้นน้อยคนที่จะลงทุนปลูก
“อาหรานจะไปได้อย่างไร งานในทุ่งงาหนักกว่ามาก อย่าไป” ก่อนที่คนบ้านเซี่ยจะพูดอะไร ฉีหรงก็พูดขึ้นมาก่อน เขาเห็นว่าในแววตาของพ่อตามีประกายขึ้นมาเมื่อน้องสาวพูด
ฉีหรงจะยอมได้ที่ไหน ตอนนี้ฉีหรานไม่เคยได้แตะงานหนักในบ้าน ทำไมต้องไปช่วยงานหนักในบ้านคนอื่นแม้เป็นบ้านสะใภ้กันก็ตาม
“ตกลง เช่นนั้นให้น้องเล็กไปกับพี่ใหญ่” เมื่อเห็นน้องสาวยืนยันว่าจะให้คนตามมา ฉีหรงก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เมื่อเห็นว่าที่ตามมาเป็นเด็กไม่สามารถใช้แรงงานได้ หน้าของนายเซี่ยจึงดูไม่ดีเล็กน้อย
ฉีหรานไม่สนใจแยกทางกับพี่ชายขึ้นเขาไป เมื่อลงมาก่อนเที่ยงหญิงสาวยังกลับไปทำอาหารให้มารดาเหมือนทุกครั้ง แต่อาหารเที่ยงของครอบครัวนั้นเป็นอาหารแห้ง ไม่จำเป็นต้องกังวล
เมื่อนึกถึงพี่ใหญ่ที่กำลังทำงานหนักในบ้านเซี่ย ฉีหรานก็อดไม่ได้ ต้องหยิบข้าวปั้นที่ทำไว้เมื่อเช้าไปส่งพวกเขาสักหน่อย
ชาวบ้านมักกินข้าวเพียงสองมื้อ หากทำงานหนักย่อมมีอาหารเที่ยง แต่อาหารเที่ยงของพวกเขาเป็นอาหารหยาบทั้งหมด
ตอนนี้บ้านฉีไม่ได้กินอาหารหยาบมาเกือบเดือนแล้ว ฉีหรานไม่ยินดีให้พี่ชายต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน
“ท่านแม่ ข้าไปส่งข้าวพี่ใหญ่สักหน่อยนะเจ้าคะ”
“ไปส่งข้าวอะไรกัน บ้านเซี่ยไม่ได้เลี้ยงอาหารหรอกหรือ” นางฉีหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
“ข้า...ท่านแม่ พี่ใหญ่ทำงานหนัก จะทนกินธัญพืชหยาบแผ่นเล็กๆได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวฉีหนิงก็อ่อนลง ฉีหรานจึงห่อข้าวไปส่งพี่ชาย นอกจากข้าวปั้นเล็กๆยังมีผัดผักป่าที่เต็มไปด้วยน้ำมันเกลือและน้ำตาล
เดินจากบ้านฉีไปถึงทุ่งของบ้านเซี่ยค่อนข้างไกล หากไม่ใช่ว่าถนนในหมู่บ้านมีเส้นเดียวเมื่อเช้าคงไม่บังเอิญพบกัน กว่าจะไปถึงแดดก็ตรงหัวเสียแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปถึงเสียงพูดคุยกันก็ดังขึ้น
“จะแบ่งแผ่นแป้งให้น้องชายเจ้าได้อย่างไรกัน เขาไม่ได้ทำงาน ไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน” เสียงดุเดือดนี้ดูไม่คุ้นเคย ฉีหรานเดินเข้าไปและพบว่าผู้พูดคือเขยของตระกูลเซี่ย อาเซ่อ
“ข้าแบ่งส่วนของตนเองให้เขา ท่านมีปัญหาอะไรหรือไม่” ฉีหรงไม่ใช่สัตว์กินพืช เมื่อเขาดุขึ้นมาย่อมมีอำนาจมากกว่าคนขี้ขลาดตรงหน้า
ฉีปั๋วยืนอยู่ด้านหลังพี่ชายโดยถือแผ่นแป้งครึ่งหนึ่งไว้ในมือ เขายังยัดไว้ในอกเสื้อราวกับกลัวว่ามันจะหายไป
“เจ้าแค่จะแย่งแผ่นแป้งจากข้า ตัวขี้เกียจ ทำงานน้อยไม่คุ้มค่าข้าวอย่างเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกินเยอะเหมือนกัน” เสียงเล็กๆเต็มไปด้วยเสียงน้ำนมของฉีปั๋วดังขึ้น ฉีหรานอยากจะปรบมือให้น้องชายจริงๆ คมคายสมเป็นบัณฑิต ด่าคนได้เจ็บปวดใจดีแท้
“ใครสั่งใครสอนให้เจ้าสอดปากเวลาผู้ใหญ่คุยกัน”
“ใครเป็นผู้ใหญ่ ข้ากับเจ้ารุ่นเดียวกัน เจ้าไม่ใช่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของข้า ทำไมต้องกลัว” ฉีปั๋วยกแขนขึ้นกำหมัดใส่ แต่ยังหลบอยู่หลังพี่ชาย เป็นท่าทางที่ตลกสิ้นดี
เสียงคนทะเลาะกันเรียกผู้คนที่พักเที่ยงอยู่รอบๆให้เข้ามาดู นางเซี่ยนายเซี่ยรู้สึกหนักใจกับลูกเขยทั้งสองที่ทะเลาะกัน ได้แต่เกลี้ยกล่อมลูกสาวให้เข้าไประงับเท่านั้น
“เจ้า!” อาเซ่อโดนคนตัวเล็กข่มใส่ก็โกรธจนหน้าแดง เขาทำท่าจะพุ่งเข้าไปดึงตัวฉีปั๋วออกมา มีหรือฉีหรงจะยอมเขาผลักชายหนุ่มออกไปทันที
“พวกเจ้ารังแกคน” เมื่อสู้ไม่ได้อาเซ่อก็หงายไพ่คนอ่อนแอที่ถูกรังแกทันที ฉีหรานมองพ่อแม่เซี่ยก่อนเห็นพี่ใหญ่หันไปดึงภรรยากลับมาข้างตัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่บ่ายคล้อยแล้ว ที่บ้านยังมีงานอีกมาก สำหรับอาหารกลางวันนี้พวกเราไม่ขอกิน ในเมื่อคนบ้านท่านไม่ต้องการให้ เราก็ไม่เอา บ้านฉีเราไม่ได้ขาดแคลนข้าว” ว่าแล้วแผ่นแป้งที่เคยอยู่ในมือของฉีปั๋วและฉีหรงก็ถูกส่งคืนให้แม่ยาย ก่อนพวกเขาจะหันหลังกลับและพบฉีหราน
“อาหราน เจ้ามาทำอะไร” ขณะที่ฉีหรงพูดคุยกับน้องสาว อาเซ่อก็วิ่งเข้ามาด้านข้าง
“เจ้า! ฉีหรงอย่านึกว่าเจ้าจะรังแกคนอื่นแล้วจากไปง่ายๆ”
ฉีหรงหันไปและพบเพียงท่อนไม้ที่ฟาดลงมา
กรี๊ด~ เสียงกรีดร้องของผู้คนดังขึ้น ท่อนไม้ฟาดเข้าที่ศรีษะของฉีหรง เพียงไม่นานโลหิตสีแดงก็ไหลลงมา
“เจ้าทำอะไร” นายเซี่ยวิ่งไปจับลูกเขยคนโต ก่อนนางเซี่ยจะรู้สึกตัวและเข้าไปดูอาการฉีหรง แต่นางถูกฉีหรานกันเอาไว้
“พี่หรงเป็นอย่างไร” เซี่ยฉินเริ่มสะอื้นในอก นางมองพี่เขยอย่างไม่พอใจสุดขีด เห็นน้องสาวกั้นทางแม่ของตนเอาไว้ก็ไม่สนใจ พยุงสามีกลับไปทันที
ฉีปั๋วเร็วกว่า เขารีบวิ่งออกไปราวกับหนูตัวเล็กๆ ฉีหรานปิดกั้นนางเซี่ยจนอีกฝ่ายยอมแพ้ นางจึงรีบหันหลังกลับวิ่งตามพี่สะใภ้และพี่ชาย
.
เมื่อพวกนางมาถึงบ้าน ฉีปั๋วก็กลับมาพร้อมพ่อและพี่ชาย ในมือยังมีไม้คนละท่อน
“ข้าจะไปเอาเลือดหัวมันออก” ฉีเล่อเป็นคนแรกที่พูดเช่นนั้น ฉีหยงลากคอเขาเอาไว้แล้วชี้ไปที่พี่ชายคนโตของเขา
“ไปเตรียมเกวียนเทียมวัวเร็วเข้า มัวชักช้าอะไรอยู่” โรงหมอใกล้ๆหมู่บ้านไม่มีเนื่องจากอยู่ใกล้เมืองเกินไป เวลาเจ็บไข้ต้องเข้าเมืองเท่านั้น
กว่าจะรู้ตัวรถเกวียนก็ออกไปแล้ว ผู้ที่ไปกับรถมีเพียงฉีหยง พี่สะใภ้ และพี่ชายคนรองเท่านั้นนอกเหนือจากพี่ใหญ่ที่บาดเจ็บ คนอื่นๆรออยู่ที่บ้าน
ฉีหนิงเท้าอ่อนทันทีที่เห็นเลือดบนสนามหญ้า ฉีหรานกลัวอาการของนางกำเริบรีบพาเข้าไปในห้อง ด้วยเหตุนี้พวกพี่ชายจึงยังไม่ได้วิ่งไปเอาเรื่องคนบ้านเซี่ย
แน่นอนข่าวในหมู่บ้านก็เร็วมากเช่นกัน ผู้คนรู้ว่าอาเซ่อเป็นอันธพาลที่กล้ากับคนอ่อนแอ แต่กลัวคนแข็งแกร่ง ใครจะคิดว่าเขาถึงขนาดคว้าไม้ลอบโจมตีฉีหรงลับหลัง เขาไม่กลัวบ้านฉีแก้แค้นหรืออย่างไร
ขณะนั้นอาเซ่อที่อยู่ในข่าวกำลังคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มไม่กล้าออกจากห้องนอนแม้แต่น้อย แน่นอนตอนนั้นเขาโกรธจนขาดสติ แต่เมื่อฟื้นคืนสติกลับมาตอนนี้เสียใจมาก และหวาดกลัวมากเช่นกัน
แม้เขาจะมาจากนอกหมู่บ้าน แต่ยังเคยได้ยินเรื่องราวบ้านฉี ไม่ได้ยินหรือว่าช่วงนี้พวกทหารยังติดต่อทำกิจการกับบ้านฉี ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวจนหัวโกร๋น ล้มป่วยไปด้วยอีกคน
คนที่หนักใจกว่าคือแม่เซี่ยและพ่อเซี่ย อย่างไรก็ลูกเขยทั้งสองทาง แต่สุดท้ายพวกเขาก็เข้ากับลูกเขยคนโต เพราะอย่างไรก็เป็นผู้ที่อยู่กับตนเอง
ดังนั้นเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านมาถาม นางเซี่ยและนายเซี่ยจึงกล่าวว่าบ้านฉียั่วยุอาเซ่อของพวกเขาก่อน โดยเฉพาะฉีปั๋วตัวน้อยที่ไม่มีแม่สั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก
ฉีหยงที่กลับมาจากในเมือง ได้ยินคำพูดนี้จากเพื่อนบ้านที่กระจายข่าว ก่อนจะได้ไปแจ้งข่าวลูกชายคนโตกับคนในบ้าน เขาก็พาลูกชายคนรองและเกวียนวัวไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านทันที
“พี่ใหญ่เซี่ย” ฉีหยงทำความเคารพหัวหน้าหมู่บ้านด้วยท่าทางขึงขัง
“อาฉีอ่า เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมจู่ๆถึงไปทะเลาะกับบ้านเขยได้”
ฉีเล่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าบ้านเซี่ยโยนความผิดมาที่พวกเขาจริงๆ เขาจึงพูดอย่างไร้ความอดทนว่า
“ท่านลุง พวกเราไปทะเลาะกับบ้านเขยอย่างไร ถามใครๆในหมู่บ้านก็เห็น พี่ใหญ่พาพี่สะใภ้กลับบ้านเมื่อวาน วันนี้ยังอยู่ช่วยเกี่ยวงา ใครจะคิดว่าเจ้าเซ่อนั่นจะทะเลาะกับฉีปั๋วเพียงเพราะแผ่นแป้งเล็กๆ”
ได้ยินอย่างนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำหน้าเครียด ใครไม่รู้บ้างว่าบ้านฉีกำลังพัฒนา เผลอๆอาจทำให้หมู่บ้านพัฒนาไปด้วย ดังนั้นจึงได้รับการนับถือมากกว่า
หัวหน้าหมู่บ้านยังรู้สึกว่าพวกเขาอธิบายละเอียดกว่าเพราะไม่มีสิ่งที่ต้องการปกปิด แตกต่างจากบ้านเซี่ยที่ไม่ยอมพูดอะไรนอกจากบอกว่าบ้านฉีต้องการหาเรื่องทะเลาะก่อน ในเรื่องนี้ผู้หาเรื่องย่อมเป็นฝ่ายผิดแน่นอน นี่ไม่ได้บ่งบอกว่าบ้านเซี่ยกำลังโยนหม้อดำให้ลูกเขยคนเล็กแบกหรือ
“เรื่องเป็นมาอย่างไร”
“พี่ใหญ่เซี่ย วันนี้อาหรงพาภรรยาไปช่วยงานในทุ่งบ้านเซี่ยใครๆก็รู้ ในตอนเที่ยงเป็นอย่างไร จับคนแถวนั้นมาถามก็น่าจะรู้ได้เช่นกัน เรื่องข้าวนั้นไม่ใช่ปัญหาของบ้านฉี อาหรานของเราก็กำลังนำข้าวไปส่งพี่ชาย ใครจะคิด...”
ฉีหยงก้มหน้าลงอย่างหมดคำพูด ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านโกรธขึ้นมาเหมือนกัน
“อะไร! ให้เขยไปช่วยงานในบ้านหน้าด้านแค่ไหนแล้ว ยังไม่คิดจะให้ข้าวให้น้ำอีกหรือ บ้านเซี่ยเกินไปแล้วรึเปล่า”
“ใช่ หัวหน้าหมู่บ้าน อาเซ่อยังบอกว่าอาปั๋วของเราเป็นลูกไม่มีแม่สั่งสอน เช่นนั้นอาหนิงของพวกข้าเอาไปไว้ที่ไหนกัน หัวหน้าหมู่บ้านอาหรงยังไม่ทันได้ทำอะไรเขาเลยและถูกตีหัว เช่นนี้ควรทำอย่างไรกันดี”
“เรื่องนี้...” หัวหน้าหมู่บ้านชะงักไป “อย่างไรก็เป็นครอบครัวสะใภ้ คนยังอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เอาเช่นนี้แล้วกัน นางเซี่ยฉินยังต้องกตัญญูบิดามารดา แต่ไม่จำเป็นต้องไปค้างคืนบ้านเซี่ยอีกต่อไป อย่างไรก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน”
“ขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านที่คิดแทนลูกสะใภ้ข้า” บ้านสามีทะเลาะกับบ้านภรรยา มีหรือภรรยาจะอยู่สุขสบายเมื่อถึงคราวกลับบ้านเดิม เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป
“เอาล่ะๆ บ้านพวกเจ้าก็ไม่ได้ใกล้กัน ต่อไปหลีกได้ก็หลีก อย่าได้ปะทะกันเลยถือว่าข้าขอ”
“ข้าจะเอาเลือดหัวมัน...” ฉีเล่อกล่าวอย่างหงุดหงิดแต่โดนบิดาหยุดเอาไว้
“อาเล่อ!” ดุฉีเล่อแล้วฉีหยงก็หันไปทางหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้านอย่าสนใจเด็กๆเลย หนุ่มๆอารมณ์ร้อน”
“เอาล่ะๆ ข้าจะให้คนไปบอกบ้านเซี่ย หากพวกเขามีอะไรอีก ข้าจะบอกเจ้าอีกทีหนึ่ง แยกย้ายกันไปเถอะ”
ฉีหยงพาลูกชายกลับบ้าน ที่เขาไม่ได้ไปคุยตกลงในบ้านเซี่ยด้วยตนเอง เพราะรู้ว่าต่างก็จะใช้อารมณ์ พูดคุยผ่านหัวหน้าหมู่บ้านก่อนเป็นดีที่สุดแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านพ่อและลูกชายก็เห็นฉีหนิงยืนอยู่ในลานโดยมีฉีหรานประคองมา
“อาหรงล่ะ อาหรงเป็นยังไงบ้าง” ฉีหนิงใบหน้าซีดเผือดรีบถามอาการลูกชายคนโตทันที
“ท่านหมอกล่าวว่ารอดูอาการ นอนโรงหมอคืนหนึ่ง หากไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถกลับบ้านได้” ฉีหยงไม่ได้กล่าวว่าหากมีปัญหาคงกลายเป็นการรักษาเรื้อรัง
แต่ฉีหนิงคิดได้ นางนิ่งไปและหันหลังกลับเดินเข้าห้องโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรู้ว่านี่คือนางโกรธมากแล้ว ฉีหรานตามแม่ไปและพยายามให้นางใจเย็นลง สุดท้ายแม่และลูกสาวก็พูดคุยกันเบาๆในห้อง ขณะที่คนอื่นๆทำได้เพียงนั่งตบยุงอยู่หน้าบ้าน
เย็นนี้ฉีหรานไม่ได้ทำอาหารให้พ่อและพี่ชาย ยังมีอาหารจากสำรับเมื่อกลางวัน เพียงต้องทำอาหารเพิ่มสักสองจานก็เพียงพอให้กินกันอิ่มแล้ว ฉีหยงจึงไม่ได้พูดอะไร
.
ในตอนเช้าพวกเขาเดินทางเข้าเมืองด้วยเกวียนเทียมวัวอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับฉีหรงในตอนบ่าย ฉีหรานไม่ได้ออกไปไหน แม้พี่ชายทั้งสามจะไปทุ่งเพื่อทำงานต่อก็ตาม จึงมีเพียงแม่และลูกสาวในบ้านตอนนี้
“พี่ใหญ่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รีบไปให้ท่านแม่ดูเร็ว” เมื่อคืนนางฉีหนิงแทบนอนไม่หลับ วันนี้อาการย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อฉีหรงเห็นมารดาเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่ระวังจนเจ็บตัว ขณะที่เซี่ยฉินรู้สึกผิดกว่าใคร อย่างไรผู้ก่อเหตุก็เป็นพี่เขยของนางเอง
“ท่านแม่ลูกสะใภ้ขออภัย” เซี่ยฉินนั่งคุกเข่าลงทันที ฉีหรงไม่ได้ห้ามภรรยา เขาเข้าไปนั่งลงข้างๆและจับมือมารดาเอาไว้
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้บาดเจ็บหนักหนาท่านหมอกล่าวว่าเพียงบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น แผลแห้งแล้วและไม่ใหญ่ เย็บไม่กี่เข็มเท่านั้น”
“อาหรง เจ้าจะทำให้แม่ตกใจตาย” ฉีหนิงตำหนิลูกชาย ก่อนจะมองลูกสะใภ้ “ยังไม่ลุกขึ้นอีก เจ้าจะทำให้ข้าตายอีกคนหรือไม่”
“ท่านแม่ลูกสะใภ้ไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้นแน่นอน หวังว่าท่านแม่จะมีสุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน”
ฉีหรานมองพี่สะใภ้ที่ปากหวานก็พึงพอใจเล็กน้อย แต่ยังไม่เพียงพอ ต้องฉลาดด้วย
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า อาฉินแม่ถามเจ้า ตอนนี้เจ้าเป็นลูกบ้านไหน?” ฉีหนิงกล่าวถามลูกสะใภ้
เซี่ยฉินนิ่งไปหลายอึดใจ แต่ไม่ได้ลังเลที่จะพูดออกมาทันที
“ท่านแม่ ข้าแต่งเข้าตระกูลฉี แม้ตายก็เป็นผีตระกูลฉี”
“เช่นนั้นหากในภายภาคหน้า บ้านเดิมของเจ้ามาขอให้ไปช่วยที่ทุ่งอีกเจ้าจะทำอย่างไร” คราวนี้คำถามของฉีหนิงรุนแรงขึ้น ดวงตาเฉียบคมมองลูกสะใภ้
“ท่านแม่ ข้าย่อมไปช่วยพวกเขาหากครอบครัวเราไม่มีงานยุ่ง แต่ข้าจะไปช่วยเหลือบ้านแม่เพียงลำพังและไม่ให้พี่หรงต้องลำบากใจอีก”
“เอาล่ะ ข้าไม่ได้ห้ามไม่ให้ช่วยเหลือกัน แต่ก็ควรจะมีขอบเขต ดูท่าทางบ้านเจ้าจะชอบพี่เขยมากกว่าพี่สาว แต่การปฏิบัติของพวกเขาก็ไม่ควรส่งผลกับครอบครัวเราด้วย อย่างไรเจ้าก็แต่งงานออกมาเป็นของบ้านฉีเราแล้ว แม้ไม่ได้ไปช่วยเหลือก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร”
“ข้ารู้แล้ว ท่านแม่”
ฉีหนิงมองลูกสะใภ้ที่ก้มหน้ารู้สึกผิด ก่อนมองลูกชายที่ตัวสูงใหญ่แข็งแรงของตน
“ยังไม่ไปทำงานต่ออีก มีหน้าไปช่วยงานบ้านอื่น บ้านตนเองยังทำงานไม่เสร็จเลย คอกวัวสร้างเสร็จหรือยัง”
เมื่อโดนมารดาไล่ ฉีหรงก็ไม่ปฏิเสธเขาเดินออกจากห้องทันที ขณะที่เซี่ยฉินยังลังเลว่าควรอยู่หรือควรไป สุดท้ายฉีหรานก็พาพี่สะใภ้ออกไป
เมื่อมาถึงครัว ฉีหรานมองพี่สะใภ้ที่เริ่มเตรียมอาหารเย็นขณะที่นางยังนั่งอยู่หน้ากระดานไม้เล็กๆที่ฉีมู่ทำให้เช่นทุกวัน
“พี่สะใภ้ อย่าโทษท่านแม่เลย แม้บ้านเราไม่มีญาติ แต่ก็รู้ดีว่าญาตินั้นหากดีจริงๆจะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน แต่หากไม่ดีก็ไม่มีดีกว่า”
เซี่ยฉินคิดในใจเงียบๆ เมื่อทบทวนดูแล้วก็เป็นดังที่ฉีหรานกล่าวจริงๆ นางต้องทนทุกข์ใจตลอดสองสามปีเพราะพี่เขย อย่าพูดถึงพี่สาวของนางเลย แต่เดิมพี่สาวยังถือว่าหน้าตาดี ตอนนี้กลายเป็นดำก่ำไร้ซึ่งความงามแล้ว อย่าว่าแต่มีบุตรเลย ไม่รู้ว่าสุขภาพร่างกายยังดีอยู่หรือไม่เมื่อถูกใช้เป็นวัวเป็นม้าขนาดนั้น
ถูกใช้เป็นวัวเป็นม้าที่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย
“อาหรานพี่สะใภ้จดจำคำเจ้าแล้ว”
“ข้าไม่รู้หรอกนะพี่สะใภ้ แต่ท่านไม่สามารถเอากฎบ้านของท่านมาใช้ในตระกูลฉีได้ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าท่าน”
เซี่ยฉินไม่รู้ว่าน้องสาวพูดถึงเรื่องอะไร แต่เข้าใจดีว่ากฎของตระกูลฉีต่างออกไป นางจึงทำได้เพียงเงียบ และไม่ได้ตอบกลับ
แน่นอนฉีหรานย่อมหมายถึงกฎปิตาธิปไตยที่ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว บ้านฉีไม่มีกฎนั้นซ้ำยังคัดค้านอย่างยิ่ง แต่นางจะค่อยๆปล่อยให้พี่สะใภ้เข้าใจไปเองในภายภาคหน้า
‘คนเราต้องกินข้าวทีละคำ’